ภัตตาคารเซียงเฟิงโหลวเป็หนึ่งในภัตตาคารที่มีชื่อของมณฑลเจียงซีทั้งอาหารอร่อย และมีบรรยากาศที่เงียบสงบ เป็ที่ชื่นชอบของพนักงานบริษัทเพราะเมื่อเทียบกับภัตตาคารชื่อดังอื่นๆ ราคาของอาหารเซียงเฟิงโหลวนั้นถูกที่สุดทำให้พนักงานส่วนใหญ่พอที่จะจ่ายไหว ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้สั่งเมนูจานเด็ดอาหารสำหรับ 3-5 คน ราคาก็จะอยู่ที่ราวๆ 400-500 หยวนต่อโต๊ะซึ่งมันก็ไม่ได้แพงและยังดูหรูหราอีกด้วยอาจเพราะว่าเซียงเฟิงโหลวอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยเจียงซีดังนั้นบางเวลาเราก็จะพบเห็นนักเรียนที่ครอบครัวมีฐานะมานั่งทานอาหารกันที่นี่ด้วย
เพราะว่าใกล้เวลาอาหารเย็นเมื่อกลุ่มของฉินโจ้วมาถึงที่เซียงเฟิงโหลวก็เหลือโต๊ะว่างเพียงแค่โต๊ะเดียวซึ่งไม่ได้ที่นั่งติดกับหน้าต่าง แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอย่างน้อยมุมที่ได้ก็เงียบสงบพอสมควรซึ่งเหมาะกับการพูดคุยแล้ว
สำหรับอาหารมื้อนี้ชูหลิงเป็เ้ามือ ฉินโจ้วและหวังโหรวต่างก็เป็แขกฉินโจ้วเพิ่งได้เคยมาที่เซียงเฟิงโหลวเป็ครั้งแรกเลยขอยังไม่สั่งอาหารส่วนหวังโหรวกินอะไรก็ได้ อีกอย่างมื้อนี้เธอเองก็ไม่ต้องจ่ายดังนั้นเมนูจึงวนกลับไปอยู่ที่มือของชูหลิงอีกครั้ง
ทันทีที่ทั้งสามคนนั่งลงบริกรก็เดินเข้ามาทางด้านหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มก่อนที่บริกรคนนั้นจะเอ่ยทักอย่างประหลาดใจว่า "อาจารย์หวัง เป็คุณนี่เองสวัสดีสุดหล่อ ประโยคสุดท้ายเพื่อทักทายฉินโจ้ว
ฉินโจ้วหันกลับมามองก็พบว่าเป็หยวี้หยวี้ สมาชิกของกลุ่มดอกไม้ร่วงโรยและมีเพื่อนที่ชื่อเสี่ยวถิงที่เคยมาที่บ้านของหวังโหรวและเกิดอุบัติเหตุล้มทับกันถึงแม้ว่าเธอจะเคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็ถือว่าได้รู้จักกันแล้ว
"หยวี้หยวี้นี่เธอทำงานที่นี่หรอกหรือ?" หวังโหรวรู้สึกมีความสุขเธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบนักเรียนของเธอที่นี่
"ใช่ค่ะ่นี้ไม่ค่อยมีวิชาเรียน ฉันเลยมาทำงานพิเศษที่นี่" หยวี้หยวี้อธิบาย"ถ้าคุณยังไม่ได้สั่งอาหาร ฉันจะแนะนำให้ค่ะวันนี้มีอาหารจานพิเศษบางรายการที่ลดราคา 40% ค่ะ"
"โชคดีที่มาทันเวลาพอดีถ้ามาหลังจากนี้ฉันคงจะต้องลำบากแล้ว" ชูหลิงรู้สึกดีใจพร้อมมีรอยยิ้มเธอเองเคยมากินอาหารจานเด็ดอยู่สองครั้ง และก็เป็บริษัทที่จ่ายให้เพราะว่าราคานั้นค่อนข้างแพงเลยทีเดียว เธอจึงรู้สึกลังเลที่จะกินแต่คราวนี้มีส่วนลด ดังนั้นเธอจึงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป
"ไม่ต้องเกรงใจนะพวกคุณคุยกันไปก่อน ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ" หยวี้หยวี้พูดทักทายอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไป
"เธอชื่อว่าอู๋หยูเป็นักเรียนปีที่สี่ ซึ่งมีผลการเรียนดีมาก ใน่ปีที่เธอนั้นเพิ่งเข้าเรียนครอบครัวของเธอประสบอุบัติเหตุ ทำให้เธอต้องทำงานหนักมาก ค่าเล่าเรียนสำหรับการเรียนทั้งสี่ปีนั้นเธอไม่ได้ให้ครอบครัวของเธอช่วยจ่ายเลยแม้แต่เหรียญเดียวทั้งหมดได้มาจากการทำงานในวันหยุด่ฤดูร้อนและก็ทำงานพิเศษตลอดทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เงินทุนการศึกษาก็เป็รายได้ส่วนหนึ่งของค่าเล่าเรียนด้วย เท่าที่ได้รู้มาเธอไม่เคยพลาดทุนการศึกษาใดเลยนิสัยของเธอเป็คนที่มองโลกในแง่ดีและมีความมั่นใจมากกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไปเธอเป็หนึ่งในนักเรียนที่ฉันชอบ" เมื่อเล่าจบ หวังโหรวก็ได้แต่ถอนใจ
"เธอเป็คนที่ฉลาดมากฉันเคยได้ทุนแค่ครั้งเดียวในสี่ปี รู้สึกอายไปเลย ว่าแต่ฉินโจ้ว ฉันเห็นนายมองจนตาแทบจะหลุดออกมาเลยพวกเธอไปไกลแล้ว" ชูหลิงกำลังชมเชยความเก่งของอู๋หยู๋แต่เธอเห็นฉินโจ้วมองตามหลังของคนที่กำลังเดินจากไป จึงไม่ได้คิดจะขัด
"นั่นมันก็เกินไปที่ผมมองตามก็เพราะว่า พวกเขาเป็เพื่อนโรงเรียนเดียวกับผม ไม่มีแบ่งแยกจึงควรที่จะทำความรู้จักกันไว้จึงเป็เื่ธรรมดาที่จะต้องมองดูด้วยความชื่นชมเป็พิเศษอยู่แล้ว"ฉินโจ้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังนี่เป็เื่ปกติที่ผู้ชายมักจะมองผู้หญิงอยู่แล้วและยิ่งเป็ผู้หญิงที่สวยเป็พิเศษแต่ถ้ามีความสวยงามอื่นๆ อยู่รอบๆ ก็จะทำให้ความโดดเด่นถูกบดบัง ถึงจะยากที่จะยอมรับถ้าไม่ทำอย่างนั้นคงได้ตายอย่างอนาถแน่
"ควรเรียกนายว่ารุ่นพี่สินะ"ชูหลิงส่ายหน้า คนหนุ่มสมัยนี้ช่างหน้าหนาเสียจริง
"อย่างไรก็เป็เพื่อนโรงเรียนเดียวกันไม่มีใครสนใจหรอกว่าจะเด็กกว่าหรือโตกว่า" ฉินโจ้วเถียงไปแบบข้างๆ คูๆ
"ทำไมถึงหน้าหนาอย่างนี้นายก็คือนาย คนอื่นก็ส่วนคนอื่นนายเป็ใครถึงคิดว่าคนอื่นจะเป็เหมือนนายทั้งหมดกัน พวกเธอน่ะเป็สาวงาม ลองดูนายสิคิดว่าพวกเธอคง้าคนที่นิสัยไม่ดี บุคลิกภาพก็แย่ จุ๊ จุ๊ จุ๊... อย่าให้พูดต่อจะดีกว่า"ชูหลิงส่ายหน้า ที่จริงก็ไม่ได้อยากพูดแต่ไหนๆ ก็พูดแล้ว ก็อย่างว่าแหละถึงไม่ฉลาดยังไงก็ต้องคาดเดาได้
"สาวงามส่วนใหญ่มีความคิดค่อนข้างอิสระหัวสมัยใหม่ ผมได้ยินว่าส่วนใหญ่สาวงามมักจะชอบผู้ชายที่น่าเกลียดนะ"ฉินโจ้วตอบไปแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร
"นายหมายถึงเราเหมาะจะเป็คู่กันใช่ไหม"ชูหลิงรีบตอบกลับประโยคของฉินโจ้วทันควัน
ฉินโจ้วจ้องมองสักครู่ก่อนจะพูดว่า"แบบคุณนี่คือสวยแล้ว?"
ทันใดนั้นชูหลิงถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะใบหน้าซีดขาว ก่อนจะเริ่มกลายเป็สีแดง และรู้สึกว่าหน้าชาขึ้นมาในทันทีตอนนี้เธอรู้สึกโกรธจัด ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากด่าทันใดนั้นเธอก็เห็นประกายล้อเลียนออกมาจากสายตาของฉินโจ้วเธอจึงหยุดอารมณ์โกรธในใจของเธอลงทันที ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดเขาเองรับปากว่าจะเก็บเื่นั้นไว้ในใจแล้วถ้าเขาเกิดทำให้แม่คนนี้โกรธขึ้นมาล่ะก็ นายไม่ตายดีแน่
"ถ้าอย่างนั้นโหรวโหรวกับนายล่ะเหมาะกันไหม?"
ชูหลิงพูดโดยไม่ได้คิดหลังจากที่ได้ยิน ทั้งฉินโจ้วและหวังโหรวถึงกับหน้าถอดสีทันที
"แน่นอนเหมาะสมที่สุด" ฉินโจ้วตอบอย่างรวดเร็วโดยปราศจากการลังเล
"นี่พวกนายพูดอะไรกันกินข้าวกันได้แล้ว" สีหน้าของหวังโหรวนั้นแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อยแต่ในใจของเธอกลับรู้สึกดี ถึงแม้จะรู้ว่าฉินโจ้วพูดเพื่อเอาชนะชูหลิงก็ตามแต่ลักษณะท่าทางดีใจเช่นนี้ไม่สามารถแสดงให้ชูหลิงเห็นต่อหน้าได้ไม่อย่างนั้นอารมณ์ของเธอคงจะไม่สงบลงเป็แน่
"ฮึ...นายนี่ขี้ประจบเสียจริง ก็นายเองเป็นักเรียนของโหรวโหรวนี่นาเป็ธรรมดาที่นายจะต้องเลือกเธออยู่แล้วอีกอย่างพี่สาวคนนี้ก็ไม่อยากรังแกเด็กน้อยอย่างนายหรอก" ชูหลิงเชิดคางขึ้นท่าทางยโส แต่สายตาของเธอนั้นกลับจ้องเขม็งไปที่จานอาหารที่อยู่บนโต๊ะซึ่งกำลังส่งกลิ่นหอม ทำให้ทุกคนอยากจะเอื้อมมือไปหยิบตอนนี้เื่สำคัญที่สุดก็คือการกินอาหารให้เต็มอิ่มการพูดคุยกับฉินโจ้วมีแต่จะทำให้หงุดหงิดเปล่าๆ
เป็เื่จริงที่อาหารของเซียงเฟิงโหลวนั้นขึ้นชื่อไม่ว่าจะเป็อาหารทั่วไปที่ทำกินเองที่บ้านได้ หรือจะเป็อาหารจานเด็ดล้วนแต่มีรสชาติไม่ต่ำกว่าสามดาว อาหารทุกชนิดทุกจานจัดเตรียมไว้อย่างดีความเร็วในการเสิร์ฟอาหารก็รวดเร็วดีไม่เกินครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็ถูกเสิร์ฟเรียบร้อยทั้งสามคนไมชักช้าที่จะลิ้มลองของอร่อย ทั้งหวังโหรว ฉินโจ้ว และชูหลิงพวกเขาทั้งหมดไม่มีฟอร์ม จึงกินอาหารกันอย่างมูมมามเลยทีเดียวจนกระทั่งอาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยงทุกจาน พวกเขาก็ยังไม่ยอมวางตะเกียบในมือลงขณะที่นั่งอยู่ พวกเขาเริ่มรู้สึกี้เีทั้งสามคนลูบท้องที่พองโตด้วยความอิ่มแปล้
ทั้งสามไม่ได้พูดอะไรกันอีกพวกเขายังคงนั่งเล่นเพื่อรอย่อย บริการของเซียงเฟิงโหลวนั้นดีมากมีบริการผลไม้ให้หลังอาหารด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผลไม้ราคาแพงอะไรแต่มันก็ดูดีและสดมาก
หลังจากที่กินแตงโมแล้วหวังโหรวได้ถามชูหลิงว่า ทำไมเธอถึงกลับมาก่อนกำหนด
"ฉันลาออกแล้วล่ะ"ชูหลิงพูดประโยคที่ทำให้เกิดความประหลาดใจ
ฉินโจ้วกำลังใช้ช้อนตักซุบขึ้นมากินในเวลานี้เขาค่อยๆ กินอย่างไม่เร่งรีบ เนื่องจากไม่มีใครแย่งเขาแล้วความอยากอาหารของหวังโหรวก็เหลืออยู่เล็กน้อยส่วนชูหลิงเองก็กินอะไรต่อไปไม่ไหวแล้ว
"มันเกิดเื่อะไรขึ้นหรือ?"หวังโหรวค่อนข้างประหลาดใจเพราะชูหลิงเคยบอกเธอไว้ว่าบริษัทจะเลื่อนตำแหน่งให้เธอถ้าเธอสามารถเจรจาธุรกิจได้สำเร็จ แต่นี่มันเหมือนผลลัพธ์จะตรงกันข้าม
"ครั้งนี้ฉันได้เซ็นสัญญากับบริษัทยาแห่งหนึ่งในอเมริกาใน่แรกก็ดูเหมือนว่าฉันน่าจะเป็ฝ่ายชนะ แต่แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อยที่จริงมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร พอดีคืนก่อนจะเซ็นสัญญาไอ้เลวเป็ตัวแทนของบริษัทยานั่นฉวยโอกาสจะลวนลามฉัน หนอย...คิดจะฉวยโอกาสกับฉันหรือ ผลลัพธ์น่ะเหรอ ตอนนั้นฉันก็จำอะไรไม่ค่อยได้รู้สึกว่ามึนหัวมาก จำได้แค่ว่าเตะกล่องดวงใจมันไป หลังจากนั้นก็ได้ยินข่าวว่าเขาไม่สามารถมีอะไรกับผู้หญิงได้อีกใน่ชีวิตที่เหลืออยู่
แกร๊ง…
ช้อนของฉินโจ้วหล่นลงไปโดนถ้วยซุปเขาอดไม่ได้ที่จะหนีบขาของตัวเองเอาไว้และเมื่อได้เห็นสายตาของชูหลิงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงที่ดูฉลาด น่ารัก ดูหน้าตาไม่มีพิษมีภัยทำไมถึงใช้เท้าทำเื่โหดร้ายทารุณแบบนั้นได้ในขณะที่เธอกำลังรู้สึกยินดีกับความลับของเธอเมื่อ่กลางวันดีที่เธอไม่มีโอกาสใช้เท้าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังสามารถนั่งกินข้าวได้อยู่อีกหรือเปล่า
"ฉินโจ้วเป็อะไรหรือเปล่า?" หวังโหรวเห็นสีหน้าของเขาดูไม่ปกติแลดูกังวลเธอคิดว่าขาของเขาอาจจะยังไม่หายดี
"ผมไม่เป็ไรทุกอย่างเรียบร้อยดี ผมแค่กินมากไปน่ะ" ฉินโจ้วตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ชูหลิงเหมือนจะรู้ทันว่าฉินโจ้วกำลังคิดอะไรอยู่ก่อนจะมองไปที่เขาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
"ถ้าอย่างนั้นถ้าเธอไม่ได้เซ็นสัญญา แล้วทำไมถึงต้องลาออกล่ะ?" หวังโหรวถาม
"นี่เป็แค่เื่ส่วนตัวการลงนามของ 2 บริษัทขนาดใหญ่ระหว่างประเทศไม่มาผิดใจกันด้วยเื่แค่นี้หรอกการเซ็นสัญญาเป็ไปด้วยความเรียบร้อยดีและใน่กลางคืนขณะที่กำลังมีงานเลี้ยงฉลอง ในตอนที่ฉันกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำก็ได้ยินผู้ช่วยของฉันคุยโทรศัพท์อยู่ว่าเหตุการณ์ที่ฉันถูกลวนลามนั้นเป็แผนที่มีการสมคบคิดกันเพื่อแทงฉันข้างหลังเพราะผู้ช่วยเองก็เป็หนึ่งในตัวเลือกที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเธอ้าใช้เหตุการณ์ที่ฉันทำเสียชื่อเสียงในการเซ็นสัญญาและให้เธอได้รับเครดิตของการเซ็นสัญญานี้ไปแทนและความคิดที่ชั่วร้ายนี้ก็มาจากผู้จัดการที่เคยจีบฉัน แต่ลูกๆของเขาอายุยังมากกว่าฉันอีก มันก็เป็เื่ธรรมดาที่ฉันไม่สนใจเขาฉันเองก็เพิ่งจะรู้ว่าผู้ช่วยนั้นเป็คนรักของผู้จัดการเขาเลยพยายามจะช่วยดันเธอขึ้นแทน ฉันจะทำให้เขาต้องชดใช้ในเื่นี้ดังนั้นฉันก็เลยบินกลับจีนในคืนนั้นก่อนจะเข้าไปเตะผู้จัดการก่อนแล้วค่อยขว้างใบลาออกใส่หน้า และฉันถึงค่อยกลับมา"
"ว่าแต่...คุณเตะผู้จัดการเข้าที่ไหนเหรอ?" ฉินโจ้วถามอย่างหวาดๆ
ชูหลิงกวาดตามองมาที่ใบหน้าของฉินโจ้วก่อนที่จะเคลื่อนสายตาลงต่ำถึงแม้ว่าจะมีโต๊ะบังอยู่ทำให้เธอมองไม่ค่อยถนัดแต่ถ้าไม่ใช่คนโง่จนเกินไปก็ต้องพอเดาได้ว่าหมายถึงอะไรก่อนที่ชูหลิงจะถามด้วยท่าทีไร้เดียงสาว่า"ฉินโจ้วดูเหมือนว่านายให้ความสนใจมากเกี่ยวกับเื่นี้นะ"
"เปล่านะแค่อยากรู้เฉยๆ" ฉินโจ้วรีบส่ายหน้า
"แล้วอย่างนี้ผู้จัดการเขาไม่ฟ้องเธอหรือ?" หวังโหรวถามด้วยความกังวล
"เขาคงกล้าหรอกฉันบอกเขาไปว่าตอนที่เขาพูดโทรศัพท์กับผู้ช่วย ได้อัดเสียงเอาไว้แล้วพอทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของเขาถึงกับซีดเผือด ดูเหมือนแทบจะฉี่ราดรดกางเกงใครที่ไหนจะกล้าแก้แค้นฉัน ไม่ต้องกังวลเื่ที่ฉันจะฟ้องเขาหรอก ฮ่าฮ่า...นึกถึงเื่นี้ทีไรแล้วฉันอยากจะหัวเราะ ช่างน่าสนุกเสียจริง"ชูหลิงพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม
"แล้วเธอได้บันทึกไว้จริงหรือเปล่า?"หวังโหรวถาม
"เปล่าหรอกผู้ช่วยเป็เพื่อนที่ดีที่สุดในบริษัทฉันก็ต้องปกป้องเธอจากการอัดเสียงไว้อยู่แล้ว" ชูหลิงในขณะที่ตอบกลับก็รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย
"ถ้าเธอออกมาแล้วก็ดีด้วยความสามารถของเธอ ไม่มีที่ไหนเขาจะไม่้าเธอหรอกอีกอย่างฉันเองก็ทำงานให้กับผู้จัดการเหมือนกัน เธอไม่ต้องกังวล"หวังโหรวตอบอย่างปลอบโยน
"พวกผู้ชายที่น่ารังเกียจพวกนั้นน่ากลัวไม่อย่างนั้นซี่เอ๋อร์ (ชื่อของผู้ช่วย) คงไม่ต้องทำอย่างนั้นพวกผู้ชายไม่มีใครดีสักคน แม้แต่นายด้วย"ชูหลิงจ้องมองฉินโจ้วอย่างดุร้ายและเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต
ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรกันเลย แม้แต่ซับไตเติลก็ไม่โชว์ให้เห็น ฉินโจ้วเองก็ไม่มีอะไรอยากจะพูดถ้าทำได้ตอนนี้เขาก็อยากจะหาหม้อมาคลุมหัวซะให้รู้แล้วรู้รอดไป
ในเวลานี้ที่หน้าประตูทางเข้ามีเสียงของผู้คนจำนวนมากก่อนจะมีเสียงะโเรียกดังขึ้น