หลังออกจากเมืองมู่เอ่อร์ได้ครึ่งวัน รถม้าที่โม่จ้านโดยสารมาก็ไล่ตามกลุ่มคนตระกูลไอเส่อเอ่อร์ได้ทัน
ระหว่างทาง ป๋อเก๋อเล่าถึงเื่ราวในอดีตของตระกูลเอิร์ลให้โม่จ้านฟัง ภรรยาท่านไอเส่อเอ่อร์สุขภาพอ่อนแอ ย่างวัยกลางคนถึงตั้งครรภ์ ทันทีที่สองแฝดชายหญิงถือกำเนิดเกิดมาก็อาการมิสู้ดีนัก ท้ายที่สุดกลับมีชีวิตรอดอย่างปาฏิหาริย์ ท่านเอิร์ลรักใคร่เอ็นดูเด็กทั้งสองคนอย่างมาก ถูกเลี้ยงดูจนมีนิสัยเอาแต่ใจ หวังว่าโม่จ้านจะมิถือสาและใจกว้างให้มาก
ความจริงคือเครื่องพิสูจน์ว่าเป็เช่นนั้นจริง เดิมทีโม่จ้านมิได้อยากจะเผยโฉมหน้า ทว่าหลังจากคุณชายน้อยไอเส่อเอ่อร์ได้ยินว่าอัศวินท่านนี้ล้มโจรเจ็ดคนด้วยตัวคนเดียว ความสนใจใคร่รู้บังเกิดขึ้นโดยพลัน จะให้ป๋อเก๋อเชิญคนออกมาเพื่อขอบคุณด้วยตนเองให้ได้ โม่จ้านจนปัญญา ทำได้เพียงตามป๋อเก๋อไปยังหน้ารถม้าของเด็กทั้งสองคน
“สวัสดี ท่านอัศวินผู้กล้าหาญ ข้ามีนามว่าฉิวอิน ไอเส่อเอ่อร์ นี่คือน้องสาวของข้าปาอิน ไอเส่อเอ่อร์”
เด็กน้อยที่ถูกป๋อเก๋อเรียกว่า ‘คุณชายน้อย’ ผิวพรรณขาวเนียนละเอียด น่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก สองพี่น้องนั่งอยู่ตรงริมด้านในรถม้า ดวงตากลมโตทั้งสองคู่เปล่งประกายวิบวับ จับจ้องโม่จ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นยิ่ง
“โม่...โม่เจ๋อเอ่อร์” โม่จ้านมิอยากให้เกิดปัญหาใดยิ่งกว่าเดิม ตนจึงแสดงออกเฉยชา
ป๋อเก๋อเห็นบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนจึงคลี่ยิ้มคลี่คลายสถานการณ์
“คุณชายน้อยฉิวอิน ป๋อเก๋อเคยรับปากท่านโม่เจ๋อเอ่อร์เอาไว้ว่าจะมอบอาวุธติดมือให้เขาหนึ่งชิ้นเพื่อเป็การตอบแทน หวังว่าคุณชายน้อยจะอนุญาตขอรับ”
“อือ เขาช่วยเ้าเอาไว้ แน่นอนว่าย่อมได้”
ฉิวอินโบกมืออย่างมิใส่ใจเพื่อแสดงออกว่าเห็นด้วย จากนั้นจึงะโลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วก่อนบิดเอวไล่ความเกียจคร้าน
“แต่ว่า ผู้อื่นคุ้มกันเ้ามาถึงที่นี่ตลอดทาง ป๋อเก๋อจำต้องจ่ายเงินค่าจ้างเป็การตอบแทนด้วยตัวเอง”
“ขอรับ ข้าจะตอบแทนเขาด้วยสามเท่าของค่าจ้างขอรับ”
ป๋อเก๋อพยักหน้าพลางค้อมเอว เตรียมจะเดินจากไปพร้อมกับโม่จ้าน ทว่าจู่ๆ ฉิวอินกลับสาวเท้าก้าวยาวมาอยู่ตรงหน้าโม่จ้าน ก่อนจะยื่นมือมาคว้าชายอาภรณ์ของโม่จ้านเอาไว้
“ท่านอัศวิน หากข้าจ้างท่านด้วยค่าแรงห้าเท่าเพื่อคุ้มกันพวกเราไปยังเมืองเยวียหนา ท่านจะตกลงหรือไม่?”
“แต่นายน้อย ผู้คุ้มกันของพวกเรามีเพียงพอแล้ว อีกทั้งเย็นวันพรุ่งพวกเราก็จะไปถึงเมืองเยวียหนาแล้ว มิมีความจำเป็ที่จะต้อง...”
ป๋อเก๋อขมวดคิ้วทันใด ตนเพิ่งจะนึกในใจว่าคุณชายน้อยจะมิเล่นแง่ ทว่าวินาทีต่อมากลับตบหน้าตนเสียแล้ว
“ป๋อเก๋อหุบปาก ข้าอยากจะดูว่ายามปกติอัศวินแห่งราชวงศ์ของราชอาณาจักรข่ายเจ๋อปฏิบัติหน้าที่อย่างไรบ้าง! ยังต้องให้เ้ายุ่งงั้นรึ!”
ฉิวอินหันไปทำหน้าั์ใส่ป๋อเก๋อ จากนั้นหันกลับมาทำหน้าตาลิงโลดใส่โม่จ้าน
“เป็อย่างไร? เพราะถึงอย่างไรเ้าก็ต้องผ่านเมืองเยวียหนาไปยังเมืองหลวง นับว่าผ่านทาง”
โม่จ้านลังเลครู่หนึ่ง เขาหันไปส่งสายตาถามพ่อบ้านอย่างป๋อเก๋อ
ป๋อเก๋อถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าทั้งรอยยิ้มอย่างจนปัญญา เห็นทีคุณชายน้อยของตนจะอัดอั้นยามอยู่ข้างกายนายท่านกับนายหญิงมากพอดู หากออกมาข้างนอกแล้วจะเอาแต่ใจก็นับว่าพอเข้าใจได้
โม่จ้านส่งเสียง “อืม” หนึ่งเสียง ค่อยๆ แกะมือของเด็กน้อยออกจากชายอาภรณ์ของตนแ่เบา ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวกลับไปยังรถม้าของตน ทิ้งฉิวอินที่เบะปากทำหน้ามิพอใจเอาไว้
มีประโยชน์ให้กอบโกยแล้วมิเอาก็นับว่าโง่เต็มที นั่นคือเงินค่าจ้างตั้งห้าเท่าเชียว ส่วนความสนใจใคร่รู้ที่เอ่อล้นกับความอัธยาศัยดีนั้น ทำเป็มองข้ามไปก็พอ
สองพี่น้องกลับพูดแล้วต้องทำให้ได้ กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นยังไปแอบอยู่มุมหนึ่งเพื่อลอบสังเกตโม่จ้านที่กำลังกินข้าวหม้อใหญ่ ทำเอาพวกอัศวินของกองคุ้มกันพากันแอบหัวเราะ โม่จ้านยักไหล่สื่อว่ามิถือสาแต่อย่างใด แค่เพียงถูกล้อมดูทั้งวัน เนื้อหนังมิได้หายไปสักชิ้น
ตกดึก พระจันทร์สีขาวนวลผสานเสียงร้องของจักจั่นเข้าปกคลุมสถานที่ตั้งค่าย เสียงกรนภายในกระโจมใหญ่เริ่มดังขึ้นทีละคน ผู้เฝ้ายามอ้าปากหาวเป็ทอดๆ คล้ายกับมิมีผู้ใดสังเกตเห็นเงาร่างเล็กที่ย่องออกมาจากบนรถม้า จากนั้นก็แทรกกายเข้าไปในกระโจมเล็กส่วนตัวของโม่จ้าน
ด้วยนิสัยระแวดระวังของสิบเอกในอดีต แน่นอนว่าโม่จ้านมิมีทางนอนหลับลึกอย่างสบายใจในสถานที่เช่นนี้ ทันทีที่มีคนก้าวเข้ามาในกระโจม เขาก็รู้สึกตัวแล้ว โม่จ้านหรี่ดวงตา ค่อยๆ ล้วงเอากริชใต้เบาะ รอกระทั่งแขกที่ย่างกรายเข้ามาก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าวจะได้ฉวยโอกาสสังหารโดยมิทันตั้งตัว
อย่างไรก็ตาม คล้ายกับว่าผู้มาเยือนจะมิได้มีเจตนาเข้าใกล้ หลังวาดวงเวทย์ใส่โม่จ้านก็ถอยห่างออกไปเสียแล้ว
รอกระทั่งเสียงฝีเท้าหายลับไป โม่จ้านพลิกกายขึ้นแล้วเริ่มคลำทั่วทั้งร่างของตนอย่างละเอียด อีกทั้งยังเดินรอบเตียงเพื่อสำรวจอย่างถ้วนถี่ ตนมิเข้าใจวิชาเวทอันใดสักอย่าง อีกทั้งยังมิรู้ว่าอีกฝ่ายทำสิ่งใดลงไป ไม่ว่าจะตรวจดูอย่างไรก็ดูมิออกว่ามีสิ่งใดมิชอบมาพากลหรือไม่
“เ้าเด็กสองคนนั้นแปลกประหลาดอย่างที่คิดมิมีผิด...ั้แ่เห็นคราแรกก็ให้ความรู้สึกประหลาดนัก”
โม่จ้านลูบคางพลางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่ง นึกย้อนไปถึงส่วนสูงของเงาคนที่พอจะเห็นลางๆ
“แยกมิออกว่าเป็เด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย เพียงแต่คนทั้งสองนอนด้วยกัน หากหนึ่งในนั้นมีความเคลื่อนไหว อีกคนมิมีทางมิรู้กระมัง”
หลังจากรออีกพักหนึ่งก็ยังมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น ท้ายที่สุดโม่จ้านก็ต้านทานความง่วงงุนมิไหว ทิ้งศีรษะลงก่อนจะผล็อยหลับไป
อีกด้านหนึ่ง สายตาดูลึกลับของเด็กหนุ่มกับเด็กสาวสบมองกันพร้อมกับยกยิ้ม วงเวทย์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเริ่มทอแสงสีชมพูอมม่วงน่าประหลาดออกมา
ปาอินเลียริมฝีปาก มองบุรุษร่างกำยำที่ฟุบอยู่บนเตียงตรงหน้าด้วยสีหน้ามิแน่ใจ ท่อนแขนแน่นวางอยู่ข้างกาย กล้ามเนื้อกระชับไร้สิ่งใดเปรียบแฝงไว้ด้วยพละกำลัง รูปร่างงดงามทรงสามเหลี่ยมคว่ำของบุรุษช่างองอาจห้าวหาญ ผนวกกับท่อนขาเรียวยาวล่ำสัน ทำเอาดวงตาทั้งสองข้างของแม่นางน้อยมองจนเป็ประกาย
บุรุษร่างกำยำที่เอาชนะคู่ต่อสู้หนึ่งต่อเจ็ด รสชาติในความฝันคงจะมิเลวกระมัง ทว่า...
“คล้ายจะมีบางอย่างมิถูกต้อง..? ที่นี่คือที่ใด?”
เด็กสาวดวงตาสีม่วงเผยสีหน้าฉงนพลางกวาดสายตามองสถานที่มิคุ้นเคยรอบกาย เมื่อตอนกลางวันตนเห็นเป็อัศวินหนุ่ม เหตุใดยามนี้จึงดูมิค่อยเหมือนกับคนผู้นี้ที่นอนอยู่บนเตียงสักเท่าใด?
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดสถานการณ์ไม่ปกติก็ยังมิอาจต้านทานความสนใจที่มีต่อบุรุษตรงหน้าได้ ปาอินขยับกายเข้าใกล้เตียง คิดอยากจะร่ายวงเวทย์บนกายโม่จ้าน ทว่ากลับถูกโม่จ้านที่ลุกขึ้นจากเตียงกะทันหันกดลงบนเตียงโดยมิทันตั้งตัวแม้แต่น้อย
“ย่าห์! เ้า แท้จริงแล้วเ้าเป็ใคร!”
“...นั่นคือสิ่งที่ข้าควรจะถาม”
แสงจันทร์ส่องผ่านกระจกของบานหน้าต่างโลหะเงินแวววาว สาดส่องลงบนแผ่นหลังกว้างของบุรุษ กริชบริเวณข้างลำคอของเด็กสาวทอประกายเย็นเยียบ รูม่านตาสีดำราวน้ำหมึกคมกริบมิต่างกับนกเหยี่ยว จดจ้องเด็กสาวที่ดูตื่นตระหนกมากกว่าหวาดกลัวตรงหน้าอย่างเ็า
“เ้าเป็สายลับของฝ่ายตรงข้าม? มิใช่ จะมีสายลับที่ใดโง่เพียงนี้?...หือ?”
มือของโม่จ้านมิขยับ ในใจกลับเริ่มพูดพึมพำ จากนั้นกวาดสายตามองโดยรอบอย่างคนเพิ่งรู้ตัว
“...เ้ามิใช่เ้าตาแดงผู้นั้น! แท้จริงแล้วเ้าคือผู้ใด?”
ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กสาวเบิกกว้าง ส่งเสียงกรีดร้องพลางออกแรงขัดขืน ทว่ากลับถูกหัวเข่าของโม่จ้านกดแผ่นหลังเอาไว้จนมิอาจขยับ
“ทั้งๆ ที่ที่นี่คือกระโจมของโม่เจ๋อเอ่อร์...”
ปาอินหุบปากฉับทันที เผยสีหน้า ‘คล้ายเกือบจะหลุดปาก’ ออกมา
โม่จ้านเผยสีหน้าตะลึงงัน หลังนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก็เผยสีหน้ากรุ้มกริ่มออกมา เมื่อเห็นเด็กสาวเม้มปากแน่นด้วยสีหน้าประหม่า โม่จ้านแค่นหัวเราะเสียงเย็น เขาก้มหน้าลงมองพิจารณาเด็กสาวตรงหน้า มุมปากหยักยกเป็องศาอันตราย
“ในเมื่อเ้ามิคิดจะบอกตัวตนของเ้ากับข้า เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไร้ปรานี”
โม่จ้านยกมือขึ้น กริชสะท้อนประกายเย็นเยียบ ก่อนพุ่งตรงไปยังลำคอขาวผ่องของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว
“โม่เจ๋อเอ่อร์ ปล่อยปาอิน!” ขณะเผชิญหน้ากับวิกฤต เสียงร้องะโของเด็กหนุ่มขัดจังหวะการกระทำของโม่จ้านเอาไว้
“มิซ่อนตัวแล้วงั้นรึ? ข้ายังนึกว่าเ้าจะมิโผล่ออกมาเสียด้วยซ้ำ” โม่จ้านหันหน้ามา เผยรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว “คุณชายน้อยฉิวอิน มิคิดจะอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยหรือ?”
“....”
สิ่งที่ตอบกลับโม่จ้านคือความเงียบ คุณชายน้อยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางมองโม่จ้าน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอม
“พวกเ้าบุกเข้ามาในความฝันของข้าแล้วยังคิดลงมือกับข้า นี่นับว่าเป็เหตุผลที่มากพอจะให้ข้ากำจัดพวกเ้าแล้ว คิดมิถึงว่าคุณชายน้อยตระกูลสูงศักดิ์จะเชี่ยวชาญเวทมนตร์พิสดารเช่นนี้ คิดจะสังหารอัศวินลี้ภัยผู้หนึ่ง หรือว่าตระกูลของพวกเ้ายากจนถึงขั้นมิมีเงินจ่ายค่าจ้างหรืออย่างไร?”
โม่จ้านจำได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่คือสถานที่ที่เขาจับกุมสายลับหลบหนีในโลกก่อน ในเมื่อมิได้ทะลุมิติกลับไป เช่นนั้นจะต้องเป็ความฝันแน่นอน
“พวกเรามิได้คิดจะฆ่าเ้า! พวกเราแค่ แค่...”
เด็กหนุ่มกัดฟันพลางกำมือทั้งสองข้างแน่น ท้ายที่สุดยังคงมิได้เอ่ยออกมาจนจบประโยค
“แค่อันใด?” โม่จ้านกระชับข้อมือ คมมีดอันคมกริบแนบสนิทกับลำคอของเด็กสาว
“เ้าอย่าทำร้ายนาง ข้า ข้ายอมพูดแล้ว”
เด็กหนุ่มที่เกือบจะร้องไห้ออกมาโบกมือเป็พัลวัน หลังพยายามดึงดันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังเลือกที่จะประนีประนอม ทั้งๆ ที่มิว่าจะอยู่บนกายผู้ใดก็ล้วนเป็เวทมนตร์ที่ไร้ช่องโหว่โดยแท้ เหตุใดจึงต้องขายหน้าในความฝันของอัศวินประหลาดผู้นี้ด้วยเล่า?
หลังเค้นถามระคนข่มขู่ โม่จ้านพอจะเข้าใจสถานการณ์ในยามนี้ ขณะเดียวกันโลกทัศน์ของโม่จ้านก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นกัน --- มีเผ่าปีศาจ มีเวทมนตร์ มีสัตว์กลายร่างตนก็ได้รับรู้มาแล้ว เพียงแต่… ปีศาจแฝงฝัน [1] นี่มันคือสิ่งใดกัน?
เชิงอรรถ
[1] ปีศาจแฝงฝัน 梦魔 หมายถึงปีศาจที่เข้าไปร่วมเสพสังวาสกับมนุษย์ในความฝัน หากเป็ปีศาจผู้หญิงเรียกว่าซัคคิวบัส หากเป็ปีศาจผู้ชายจะเรียกว่าอินคิวบัส