ภายในรถม้าที่ค่อนข้างสั่นะเื คนทั้งสองมิพูดจากันแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเงียบขรึมพูดน้อยเกินกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้ โม่จ้านเองก็มิถนัดเป็ฝ่ายชวนคุยเช่นกัน ตลอดทางคนทั้งสองมิได้พูดคุยกันแม้แต่ประโยคเดียว โม่จ้านในยามนี้นึกขอบคุณหมวกเหล็กบนหัวคนทั้งสอง---เพราะการมีอยู่ของหมวกเหล็กมิต่างกันผนังกั้นห้องน้ำ สามารถสกัดกั้นความกระอักกระอ่วนอันยากจะบรรยาย
ร้านมีขนาดเล็กมาก คุณภาพของอาภรณ์ก็มิสูงนัก ตรงตามความ้าของโม่จ้านพอดิบพอดี ทว่าดูคล้ายอัศวินอีกท่านจะมิค่อยพอใจนัก หยิบอาภรณ์ที่สีจืดไม่สะดุดตามิกี่ชิ้นก่อนลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน โม่จ้านกลั้นหัวเราะขณะนึกภาพอัศวินใหม่ผู้นี้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเป็ปม
“รบกวนถามท่าน อาภรณ์นี้ราคาเท่าใดหรือ?” โม่จ้านเอ่ยถามเ้าของร้านอย่างระมัดระวัง ตนตั้งใจหยิบชุดที่ดูราคาถูกทำจากผ้าหยาบ คงมิแพงมากนัก
“ท่านอัศวิน ชุดนี้ราคาเจ็ดเหรียญเงินสองเหรียญทองแดงขอรับ” เ้าของร้านคลี่ยิ้มตอบกลับ
โม่จ้านถอนหายใจโล่งอก เขาล้วงเอาเหรียญเงินแปดเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาส่งให้อีกฝ่าย ทว่าหลังอีกฝ่ายรับเงินไปก็คลำถุงเงินข้างเอวครั้งแล้วครั้งเล่า พบว่าด้านในเหลือเหรียญทองแดงเพียงแค่เจ็ดเหรียญ เ้าของร้านเผยยิ้มเจื่อนด้วยความเขินอาย น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิด “ต้องขออภัยท่านอัศวิน ข้ามีเหรียญทองแดงมิพอ ท่านพอจะมีเศษเงินหรือไม่?”
โม่จ้านเองก็ชะงักเช่นกัน ทรัพย์สินทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาก็มีอยู่เพียงเท่านี้ จะไปเอาเศษเงินมาจากที่ใด?
“ชุดนี้ราคาเท่าใด?”
ขณะสถานการณ์ตึงเครียด อัศวินเกราะเงินหยิบชุดสำหรับใส่นอนหนึ่งชุดเดินเข้ามาวางลงตรงหน้าเ้าของร้าน เ้าของร้านรีบคลายปมคิ้วแย้มยิ้ม กระทั่งโม่จ้านยังรับรู้ได้ถึงความเป็มิตรที่ปะทุออกมาอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย
“อ่า ท่าน้าชุดนี้หรือ? นี่คือชุดนอนที่ทำขึ้นจากผ้าไหมพิเศษ ฤดูหนาวอบอุ่น ฤดูร้อนโปร่งสบาย ราคาคือเก้าเหรียญทอง”
....แม่เ้า คนมีเงินนี่มันต่างออกไปจริงๆ
โม่จ้านเบะปากเล็กน้อยก่อนถอยห่างเว้นตำแหน่งให้ ขณะมองถุงเงินที่มีเสียงกระทบกันในมืออีกฝ่าย ดวงตาของโม่จ้านเปี่ยมด้วยความริษยา สายตาเหลือบไปเห็นคอเสื้อชุดนอนในมืออีกฝ่ายโดยมิตั้งใจ ก่อนเอ่ยประจบหนึ่งประโยคอย่างอดมิได้
“ท่านคิดเผื่อภรรยาถึงเพียงนี้ นางจะต้องดีใจมากเป็แน่”
ทว่าหลังจากได้ยินคำกล่าวของโม่จ้าน มืออัศวินเกราะเงินถึงกับกระตุกแล้วหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว โม่จ้านใจนสะดุ้ง ตนพูดสิ่งใดผิดไปหรือ?
“...เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าซื้อชุดนี้ให้ภรรยา” น้ำเสียงของอัศวินยังคงเย็นะเืดังเดิม ทว่าครานี้ในน้ำเสียงกลับเผยความขุ่นเคืองอย่างมิอาจอธิบาย
หางตาของโม่จ้านมองเห็นสีหน้าเปี่ยมด้วยความตื่นตระหนกของเ้าของร้าน เขาแบมือทั้งสองข้างออกเพื่อสื่อว่าตนมิได้มีเจตนาจะหยาบคาย
“หากท่านซื้อให้หญิงอื่นสวมใส่ เช่นนั้นได้โปรดอภัยที่ข้าคาดเดาซี้ซั้วด้วยเถิด ผู้น้อยมิได้มีเจตนาอื่นใด”
“...มิใช่ เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าซื้อให้สตรี”
โม่จ้านนิ่งงันไปหลายอึดใจ ตนสบตากับเ้าของร้านที่งงงวยมิต่างกัน จากนั้นชี้ไปยังชุดนอนในมือของอัศวินเกราะเงิน
“กระดุมชุดนอนอยู่ทางด้านซ้าย แน่นอนว่าจะต้องเป็ชุดนอนของสตรี”
คนทั้งสามนิ่งเงียบ บรรยากาศอบอวลด้วยความเงียบสงัดน่ากระอักกระอ่วน
“อ่า อะแฮ่ม คือ...ท่านพอจะมีเหรียญทองแดงสักสองเหรียญหรือไม่? ผู้น้อยมิมีเศษเงิน รอกลับไปถึงโรงเตี๊ยมจะคืนให้ท่าน”
โม่จ้านกระแอมไอมิกี่ครั้งก่อนฝืนเบี่ยงหัวข้อสนทนา คิดจะใช้โอกาสแก้ไขปัญหาของตนไปด้วย อัศวินเกราะเงินนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะส่งมือไปตรงเอว ล้วงเอาเหรียญทองแดงสองเหรียญจากตัวยึดทำจากหนังที่ยึดเสื้อเกราะตรงหน้าท้องเอาไว้ จากนั้นส่งไปทางเ้าของร้านที่เผยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“อือ พวกเราพักโรงเตี๊ยมเดียวกัน กลับไปค่อยคิด เอาตามนี้เถิด”
โม่จ้านที่คลี่ยิ้มอย่างค่อนข้างฝืนใจหันไปอธิบายกับเ้าของร้านหนึ่งประโยค จากนั้นวิ่งหนีออกจากร้านเล็กอย่างรวดเร็ว อัศวินเกราะเงินที่ตัวแข็งทื่อวางเงินเก้าเหรียญทองลงบนโต๊ะก่อนจะตามโม่จ้าน ‘หนี’ ออกมาจากร้านเล็ก
ระหว่างทางกลับไป คนทั้งสองที่นั่งหันหน้าชนกันยังคงมิปริปากพูดสักคำ จากแผ่นกั้นห้องน้ำกลายเป็กระจกทางเดียว โม่จ้านแอบกลั้นหัวเราะอยู่ด้านในหมวกเหล็ก ทว่าอัศวินเกราะเหล็กฝั่งตรงข้ามกลับยังคงนิ่งขรึมดังเดิม
ผู้ที่สามารถจ่ายเงินเก้าเหรียญทองเพื่อซื้อชุดนอน อย่างน้อยๆ ก็คงเป็ชนชั้นสูงกระมัง ชนชั้นสูงให้ความสำคัญกับอาภรณ์และพิธีการ ทว่าอีกฝ่ายกลับแยกแยะระหว่างชุดนอนของสตรีกับบุรุษมิออก เห็นทีคงยังเป็เด็กหนุ่มทึ่มทื่อที่เพิ่งกลายเป็อัศวิน
...ที่สำคัญยังห่วงหน้าตาเป็พิเศษ
ขณะมองชุดนอนสตรีที่ห่อเอาไว้อย่างดีในมือของอีกฝ่าย โม่จ้านกลั้นหัวเราะจนหน้ากระตุกเสียแล้ว
มิใช่เื่ง่ายกว่าจะกลับมาถึงโรงเตี๊ยม มิรอให้โม่จ้านไปปลุกป๋อเก๋อ อัศวินเกราะเงินพลันะโลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วก่อนหนีขึ้นไปชั้นบนราวกับเหาะได้ โม่จ้านที่หัวเราะมิได้ร้องไห้มิออกทำได้เพียงปล่อยผ่านไปก่อน หลังอาบน้ำจนสาแก่ใจ เขานั่งยองลงตรงมุมหนึ่งของห้อง หยิบดาบที่เก็บมาทาบลงบนศีรษะ คำนวณว่าต้องใช้องศาใดจึงจะสะดวกต่อการตัดเขาทั้งสองข้างบนหน้าผากออก
หลังจัดองศาและตำแหน่งเสร็จเรียบร้อย โม่จ้านกลืนน้ำลายหลายอึก นี่นับเป็งานอันตรายที่ติดกับศีรษะเชียว...เกรงว่าหากมิทันระวังจะได้ความสำเร็จเป็ ‘ข้าสังหารตัวข้าเอง’ ขึ้นมาจนเกิดเป็หัวข้อสนทนาหลังอาหารของพวกมนุษย์ว่า ‘เผ่าปีศาจฆ่าตัวตายในโรงเตี๊ยมเพราะกลัวความผิด’ ไว้บนโลกต่างมิติ
“ปั่ก!! ตึง!! ปั่ก!! ปั่ก!!...”
ปึ้งๆ ปั้งๆ สั่นะเืจนเวียนหัว อีกทั้งยังเกือบจะเรียกเสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมให้แห่มาโขยงใหญ่เหตุเพราะเสียงดังเกินไป โม่จ้านสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมหาศาลทั้งสับทั้งทุบ จนในที่สุดก็สามารถนำเขาลงมาได้ข้างหนึ่ง เมื่อมองเขาเป็ประกายมันวาวสีเทียนไขในมือ โม่จ้านจิ๊ปากอย่างมิอาจหักใจอยู่บ้าง
เขาอ่าเขา มิใช่ว่าข้ามิอยากเก็บเ้าเอาไว้ เพียงแต่หากมีเ้าข้าก็มิอาจเอาชีวิตรอดต่อไปได้...
ยังคงเป็เสียงตึงตังที่ดังขึ้นอีกรอบ ข้อแขนของโม่จ้านสั่นะเืจนปวดเมื่อย มิใช่เื่ง่ายกว่าจะนำเขาอีกข้างลงมาได้เช่นกัน โม่จ้านใช้ผ้าห่มเขาทั้งสองข้างแล้วซ่อนไว้ในห่อผ้า จากนั้นนำผ้าขนหนูมาพันรอบหน้าผากก่อนจะผลักประตูออกไปอีกครั้ง
เนื่องจากตื่นตาตื่นใจไปกับความหล่อเหลาภายนอกและร่างกายแข็งแรงกำยำของเด็กหนุ่ม เด็กรับใช้สตรีที่รอรับคำสั่งมิกี่คนรีบแย่งกันพุ่งเข้ามาทันที ทว่านั่นกลับทำให้โม่จ้านรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง โม่จ้านบอกให้หญิงรับใช้เตรียมของว่างมื้อดึกให้ตนก่อนลงชั้นล่างไปหาเถ้าแก่อีกครั้ง ใช้เงินจำนวนสองตำลึงที่เหลืออยู่ซื้อกริชเล่มหนึ่ง ทั้งยังฉวยโอกาสยืมเลื่อยเล็ก
ท้ายที่สุดยามโม่จ้านกลับเข้าห้องก็เป็เวลาดึกมากแล้ว โม่จ้านใช้มือข้างซ้ายถือขนมปังธัญพืช ส่วนมือข้างขวายกเลื่อยแนบกับหน้าผาก จากนั้นเริ่มจัดการกับตอทรงกระบอกของเขาที่ถูกตัดออกไปทิ้งเอาไว้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังออกไปมิหยุด มีอยู่่หนึ่งที่แขกห้องข้างๆ คิดว่ามีหนูออกมารบกวน
ท้ายที่สุดโม่จ้านผู้แสนเหนื่อยใจส่องกระจกอยู่ครึ่งค่อนวัน ถูกบังคับให้ยอมรับผลลัพธ์ของ ‘การศัลยกรรมตนเอง’ บนหน้าผากเกลี้ยงเกลาเหลือเพียงรูกลมๆ สองรู ภายในรูยังหลงเหลือสีเทาอมเหลืองของกระดูก
...เหตุใดดูแล้วคล้ายจะน่ากลัวกว่าเดิม
โม่จ้านจนปัญญา ท้ายที่สุดทำได้เพียงตัดผ้าผืนหนึ่งมาพันรอบหัวทำเป็ผ้าคาดหน้าผาก แม้จะดูประหลาด ทว่าอย่างน้อยก็มิถูกผู้ใดจับได้ รอกระทั่งผมยาวอีกสักหน่อยค่อยเหลือหน้าม้าไว้บังรู
สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย โม่จ้านที่ภารกิจสำเร็จลุล่วงทิ้งหัวลงบนเตียง จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสบายใจ
......
ยามเช้าตรู่ของเมืองมู่เอ่อร์มีหมอกหนายิ่งนัก ทว่าป๋อเก๋อที่ห่วงหน้าที่ยังคงเช่ารถม้าหนึ่งคัน จากนั้นก็ลากโม่จ้านที่กึ่งหลับกึ่งตื่นให้ออกเดินทาง
ป๋อเก๋อที่ได้เห็นใบหน้าของโม่จ้านเป็ครั้งแรกถูกกระตุ้นความสนใจใคร่รู้ เพราะไม่ว่าจะเป็ผมสีเงินหรือตาสีแดง ล้วนแต่เป็สิ่งที่พบเห็นได้ยากในมนุษย์
“ขอบังอาจถาม ท่านอัศวินเป็ชาวเืผสมใช่หรือไม่?”
คิ้วของโม่จ้านขมวดเข้าหากัน “เหตุใดจึงถามเช่นนี้?”
“ต้องขออภัย ข้าเพียงใคร่รู้เท่านั้น”
ป๋อเก๋อมองอัศวินหนุ่มที่ดูคล้ายจะยังหงุดหงิดหลังตื่นนอน ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าน่าเอ็นดูอยู่บ้าง
“อาจเป็เพราะความรู้ของข้าตื้นเขินกระมัง เนื่องจากมนุษย์ผมเงินมีมิน้อย ทว่าดวงตาสีแดง ข้าเคยพบแค่ในเผ่าอื่นเท่านั้น”
“ข้าถูกเก็บมาเลี้ยง ดังนั้นข้าเองก็มิรู้เช่นกัน”
โม่จ้านชะงักก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลง ตามด้วยนึกเหตุผลเรียกคะแนนความน่าสงสาร
“ข้าก็อยากรู้เื่ชาติกำเนิดของตนเองเช่นกัน ท่านมีความรู้กว้างขวาง พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเผ่าใดมีดวงตาสีนี้?”
เฮ้อ ที่แท้ก็เป็คนน่าสงสารนี่เอง...
ขณะมองสายตาเอาจริงเอาจังของโม่จ้าน ป๋อเก๋อที่ถูกประจบทางอ้อมถึงกับใจอ่อนจนเลอะเลือน
“มีเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ [1] จำนวนมิน้อยที่ตาสีแดง เช่น เผ่าสิงโตไฟ เผ่ามนุษย์กระต่าย เผ่ามนุษย์หนู เผ่าสัตว์ทะเลกลุ่มหนึ่งและเผ่าแมว เป็ต้น ท่านมิต้องรีบร้อน เื่เช่นนี้ทำได้เพียงค่อยๆ สืบหาเท่านั้น เบี้ยเลี้ยงของอัศวินแห่งราชวงศ์ดีมิน้อย หากแม้นหาครอบครัวมิพบ อดออมเพียงมิกี่ปีก็เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในภายหน้าแล้ว”
ข้ารู้ว่าเ้าหวังดี ทว่าเหตุใดคำพูดนี้จึงฟังดูมิรื่นหูนัก
โม่จ้านพยักหน้าอย่างจำยอม ใบหน้ายุ่งเหยิงมองไปทางห่อผ้าตรงปลายเท้า ก่อนออกเดินทางตนได้ยืมเงินป๋อเก๋อสองเหรียญทองแดง คิดอยากจะคืนให้อัศวินเกราะเงินผู้นั้น ทว่าหลังถามเถ้าแก่จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายจากไปั้แ่ฟ้ายังมิสางเสียแล้ว
...ก็ใช่ ถุงเงินของผู้อื่นมีเงินตั้งหลายสิบเหรียญทอง คงมิได้สนใจเงินสองเหรียญทองแดงนั้นสักนิด โม่จ้านในยามนี้ทำได้เพียงกังวลว่าเมื่อใดจะได้เงินค่าตอบแทนมาไว้ในมือ จะได้ซื้อชุดเกราะที่พอดีตัวสักชุด
เอาคนมาเทียบกับคน คงเทียบกันจนตายไปข้างหนึ่ง...ไม่ว่าจะโลกไหนต่างก็เป็เช่นนี้ โม่จ้านเผยสีหน้าห่อเหี่ยวก่อนจะทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
เชิงอรรถ
[1] เทอเรียนโทรปี 兽人 Therianthropy คือครึ่งคนครึ่งสัตว์ในความหมายกว้าง แต่สามารถแยกย่อยลงไปได้อีก เช่น Lycanthropy คือครึ่งคนครึ่งหมาป่า, Cynanthropy คือครึ่งคนครึ่งสุนัข, Ailuranthropy คือครึ่งคนครึ่งแมว เป็ต้น