“ไอ้หนู เ้านี่ปลอมได้เหมือนจริง ๆ เลย แค่เสี้ยวความเกรงขามของผู้แข็งแกร่งนั่นก็ทำให้สี่คนนั้นกลัวหัวหดได้” ราชันมารชื่อเทียนกล่าวกับเย่เฟิง
“หากไม่ได้เสียงของท่านช่วยไว้ ข้าจะทำให้คนพวกนี้กลัวหัวหดได้อย่างไรเล่า?” เย่เฟิงกล่าว
ที่แท้หลังจากเย่เฟิงเปิดร่างเจตจำนง เขาก็ทราบเื่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสี่คนนั้นมาเยือนสำนักยุทธ์เทียนเสวียน จึงใช้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเปิดร่างเจตจำนงปลอมตัวเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาา แต่ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะดีเกินคาด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสี่คนนั้นกลัวจนตัวสั่น ทั้งยังทิ้งแหวนมิติของตนไว้แล้วจากไป ซึ่งแหวนมิติของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะต้องเป็คลังสมบัติที่ยากจะจินตนาการ
“เฒ่าจิงโดนโจมตีเก้าครั้งติด อาการคงสาหัสมาก ข้าขอตัวไปหาเขาก่อน” เมื่อเย่เฟิงฉุกคิดถึงเฒ่าจิงก็เผยสีหน้าตึงเครียด
โลกแห่งการบำเพ็ญ ผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสี่คนมาบุกสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทั้งยังเสนอให้เฒ่าจิงรับฝ่ามือของพวกเขาสี่คนคนละสามฝ่ามือ บัญชีนี้เย่เฟิงจะจดจำไว้ เมื่อเขามีศักยภาพมากพอ เวลานั้นเขาจะไปทวงคืนความเป็ธรรมให้กับเฒ่าจิง
จากนั้นเย่เฟิงมาถึงห้องที่เฒ่าจิงอยู่ เขาพบว่าเฒ่าจิงกำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง พร้อมใบหน้าชราและอาการถือว่าอยู่ในขีดอันตราย
“มาแล้วหรือ” ฉินเจิ้นถิงกล่าวกับเย่เฟิง
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว จากนั้นเอ่ยถามผู้าุโของหอสมุนไพริญญาที่กำลังรักษาอาการของเฒ่าจิงอยู่ข้าง ๆ เตียงว่า “เฒ่าจิงเป็อย่างไรบ้าง?”
“อาการสาหัสมาก” ผู้าุโหอสมุนไพริญญาคนนั้นคิ้วขมวดเป็ปม พร้อมกล่าวต่อว่า “ถูกโจมตีต่อเนื่องเช่นนี้ เส้นลมปราณหลักขาดสะบั้นหลายจุด อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนัก หากตบะของเ้าสำนักอ่อนแอ เกรงว่าคงขึ้น์ไปแล้ว แต่ตอนนี้จะต่อเส้นลมปราณที่ขาดสะบั้นเ่าั้ก็เป็เื่ที่ยากมาก”
เมื่อบุคคลระดับสูงหลายสิบคนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้ยินเช่นนั้นต่างก็เผยสีหน้าอึมครึม
“เช่นนั้นควรทำอย่างไร?” ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถาม
“ต้องอาศัยพลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดห้าคนปิดผนึกความเสียหายของเส้นลมปราณ จากนั้นก็ดูอาการว่าจะช่วยเ้าสำนักอย่างไร” ผู้าุโหอสมุนไพริญญากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ได้ ข้าจะเตรียมตอนนี้เลย” ฉินเจิ้นถิงกล่าว ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฉินเจิ้นถิงและอีกสี่คนก็มาถึง ซึ่งทั้งห้าคนล้วนอยู่ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด จากนั้นพวกเขารวมกำลังผลึกเส้นลมปราณของเฒ่าจิงทันที ส่วนทุกคนที่เหลือก็ออกจากห้องไป หลงเหลือเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดและเฒ่าจิงที่นอนไม่ได้สติ
เมื่อเ้าสำนักอาการสาหัส บรรยากาศในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนดูหดหู่อย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างเป็กังวล เย่เฟิงก็เช่นกัน ถึงอย่างไรเฒ่าจิงทำไปก็เพื่อปกป้องเขา จนต้องทำตามเงื่อนไขของอีกฝ่ายสี่คน นี่ทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อเฒ่าจิง แต่ด้วยตบะของเขาในเวลานี้กลับช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงออกจากหอสมุนไพริญญาและรอฟังข่าวเท่านั้น
จากนั้นเย่เฟิงมาหาฉินเยียนหราน แต่รู้มาว่า่นี้นางปิดด่านเพื่อเตรียมทะลวงขั้นยุทธ์แท้ พอไม่ได้พบกันนาน เย่เฟิงก็คิดถึงนางหนูคนนั้น ดังนั้นเย่เฟิงจึงกลับที่พักของตน
เมื่อตกดึก มีคนผู้หนึ่งมาหาเย่เฟิง คนผู้นี้คือทูตที่องค์าาจ้าวส่งมา ครบกำหนด 15 วัน องค์าาจ้าวจึงวานให้เขามาส่งวัตถุดิบตามใบสั่งยาที่เย่เฟิงให้ไว้ จากนั้นเย่เฟิงรับวัตถุดิบมาและตรวจสอบ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายทำตามที่เขา้าทั้งหมด วัตถุดิบทุกอย่างล้วนมีปริมาณเพียงพอ เขาจึงวางใจได้
“ตาเฒ่า วัตถุดิบพวกนี้ควรทำอย่างไรดี?” หลังจากทูตราชวงศ์ออกไป เย่เฟิงก็เอ่ยถามราชันมารชื่อเทียน
“วัตถุดิบพวกนี้เพียงพอจะแบ่งเป็สามชุด ส่วนวิธีการมีดังต่อไปนี้...” หลังจากราชันมารชื่อเทียนตรวจสอบวัตถุดิบก็บอกวิธีการทำให้กับเย่เฟิง
ต่อจากนั้นเย่เฟิงเริ่มปรุงยาโดยมีราชันมารชื่อเทียนคอยสั่งการ ในขั้นตอนทั้งหมดเย่เฟิงจะได้เรียนรู้การปรุงยาอย่างลึกซึ้ง
แม้วัตถุดิบบางชนิดจะดูเรียบง่าย แต่เมื่อผ่านการปรุงยาจากหมอ มันจะสำแดงฤทธิ์ที่น่าทึ่ง
หมอคืออาชีพที่เป็เอกลักษณ์ซึ่งหาได้ยากมาก ทั้งยังแตกต่างกับนักปรุงยา แต่สถานะสูงส่งเท่ากัน และได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้คน
ชาติที่แล้วราชันมารชื่อเทียนคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมาร แต่เขายังมีอีกหนึ่งตัวตน นั่นก็คือหมอชั้นอาจารย์ใหญ่ผู้มากฝีมือ ยาที่เขาใช้มักจะมีผงกระดูกของคนตาย ดังนั้นการใช้ยาเพื่อช่วยขจัดไอทมิฬที่อยู่ในกายองค์าาจ้าวก็ย่อมไม่มีปัญหา
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ยาก็ปรุงเสร็จ ซึ่งมีสามชุดไม่ขาดไม่เกิน
จากนั้นเย่เฟิงเรียกทูตราชวงศ์เข้ามา ก่อนกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ยาทุกชุดใช้เจ็ดวัน ต่อเนื่อง 21 วัน ไอทมิฬจึงจะขจัดออกไปได้”
เมื่อทูตราชวงศ์ได้ยินเช่นนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาไม่เชื่อว่าชายหนุ่มอย่างเย่เฟิงจะปรุงยาที่สามารถขจัดไอทมิฬในกายองค์าาจ้าวได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็พยักหน้า ก่อนจะออกไปจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนพร้อมกับยา
่เวลาต่อจากนั้น เื่ที่สี่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะมาเยือนสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว และข่าวที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาาก็กลายเป็หัวข้อสนทนาในยามว่างของชาวเมืองหลวง
เื่นี้เกิดขึ้นเพราะเย่เฟิงไปฆ่าศิษย์ของสี่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ จึงทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาาปรากฏตัว ส่งผลให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะทั้งสี่คนกลัวหัวหด เพราะเื่นี้จึงทำให้หลาย ๆ คนเริ่มคาดเดาถึงตัวตนของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาาคนนั้น รวมไปถึงเขาผู้นั้นจะเกี่ยวข้องกับเย่เฟิงหรือไม่
ผู้คนมากมายต่างคิดว่าเย่เฟิงอาจได้รับคำชี้แนะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาาคนนั้น ไม่เช่นนั้นจะมีศักยภาพที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ นามของเย่เฟิงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอีกครั้ง ผู้ชิงอันดับที่หนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่งมา ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะอย่างกงซุนเชียนเป็อาจารย์ บัดนี้เย่เฟิงยังได้รับคำชี้แนะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาา นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาอย่างมาก
ณ ที่ตั้งมั่นเทียนเซียงหลิน เมื่อได้ทราบข่าวว่าที่อาณาจักรจ้าวมีคนเปิดร่างเจตจำนง ผู้าุโเทียนเซียงหลินคนนั้นก็เผยสีหน้าอึมครึม สายตาที่เย็นเยียบมองมาที่ชิงเซียงและหลันเซียง “พวกเ้าทราบหรือยังว่าที่อาณาจักรจ้าวมีคนเปิดร่างเจตจำนงได้เมื่อวานนี้ ลือกันว่าเป็คนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน”
เมื่อชิงเซียงและหลันเซียงได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าไม่เป็ธรรมชาติ บัดนี้พวกนางยังอยู่ที่อาณาจักรจ้าวก็ย่อมทราบข่าวของที่นี่ พวกนางเองก็ทราบเื่ที่เกิดขึ้น ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเมื่อวานนี้เช่นกัน
“ทราบแล้ว น่าจะเป็ยอดฝีมือาุโที่เร้นกายอยู่ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน” ชิงเซียงกล่าวโดยพยายามปกปิดสีหน้าที่ไม่เป็ธรรมชาติ
“เื่พวกนี้ไม่สำคัญ ถ้าข้าจำไม่ผิด คนนั้นที่มีนามว่าเย่เฟิงก็เป็ศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนด้วยใช่ไหม?” ผู้าุโหญิงคนนั้นตาเผยประกายเย็นเยือก พร้อมแรงกดดันแผ่ออกจากร่าง ก่อนจะไปเยือนชิงเซียงและหลันเซียง ทำให้พวกนางตัวสั่นขึ้นมาทันที จากนั้นชิงเซียงตอบกลับว่า “ใช่”
“ในเมื่อเย่เฟิงคนนั้นคือศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียน แล้วผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาาที่เปิดร่างเจตจำนงก็มาจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ในใต้หล้านี้คงไม่มีเื่บังเอิญเช่นนี้กระมัง?” ผู้าุโหญิงตาเผยประกายคมกริบ ก่อนจะลุกพรวดจากที่นั่ง แล้วซักถามพวกนางว่า “พูดมา เ้าสองคนโกหกใช่หรือไม่? ส่วนเย่เฟิงนั่นเป็คนที่ชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มไปได้ ใช่หรือไหม?”
ถ้อยคำของผู้าุโหญิงเฉียบคมมาก จู่ ๆ ก็ทำให้ชิงเซียงและหลันเซียงตัวสั่นอีกครั้งพลางเหงื่อแตกพลั่ก จากนั้นเห็นชิงเซียงกล่าวพร้อมโค้งคำนับผู้าุโหญิงคนนั้นด้วยท่าทีร้อนรน “เรียนอาจารย์อา เย่เฟิงผู้นั้นมีบุญคุณกับข้าและหลันเซียง เพราะฉะนั้นเราสองคนจึงโกหกอาจารย์อาไปเช่นนั้น เื่นี้ข้าเป็คนกระทำเอง ไม่เกี่ยวกับหลันเซียงแต่อย่างใด หากอาจารย์้าลงโทษ ก็ได้โปรดลงโทษข้าเพียงคนเดียว!”
ชิงเซียงรู้ว่าความจริงจะต้องเปิดเผยออกมาในสักวัน นางจึงยอมรับความจริงที่ปิดบังเื่เย่เฟิง
“พวกเ้าสองคนช่างใจกล้ามาก เทียนเซียงหลินอุตส่าห์อบรมสั่งสอนพวกเ้ามาอย่างยากลำบาก แต่กลับโกหกหลอกลวงครูบาอาจารย์เช่นนี้ รู้ผิดหรือไม่?” ผู้าุโหญิงะเิโทสะ นางไม่คิดว่าชิงเซียงและหลันเซียงที่เป็เด็กดีเชื่อฟังอาจารย์มาตลอดจะโกหกหลอกลวงอาจารย์เพียงเพราะปกป้องผู้ชายคนหนึ่ง
“ศิษย์รู้ว่าผิด จึงยินดีรับโทษแต่โดยดี อาจารย์ได้โปรดปล่อยหลันเซียงไปเถอะ” ชิงเซียงคุกเข่าลงต่อหน้าผู้าุโหญิง เพียงเพราะการโกหกของชิงเซียงจึงทำให้ผู้าุโหญิงพลาดโอกาสที่จะได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มนั่นมา
อาศัยเพียงเื่นี้ โทษของชิงเซียงและหลันเซียงก็หนักกว่าการโกหกหลอกลวงผู้าุโแล้ว เกรงว่าแค่การถูกเทียนเซียงหลินปะาชีวิต ก็คงจะไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ
“ทหาร จับคนทรยศนี่ไปขัง แล้วรอฟังคำสั่งจากเทียนเซียงหลิน!” ผู้าุโหญิงออกคำสั่งด้วยโทสะ ทั้งยังไม่ขานชื่อหลันเซียง บางทีนางอาจรู้นิสัยของหลันเซียง และรู้ว่าชิงเซียงต้องเป็หัวโจก
“อาจารย์อาโปรดระงับโทสะ เย่เฟิงช่วยชีวิตเราสองคนไว้ ศิษย์พี่ทำไปเพื่อตอบแทนบุญคุณ จึงได้ทำผิดเช่นนี้ หวังว่าอาจารย์อาจะเมตตาให้อภัยศิษย์พี่สักครั้ง” หลันเซียงตาแดงก่ำพร้อมน้ำตาไหลอาบสองพวงแก้ม นางรู้ว่าเมื่อชิงเซียงถูกคุมขังจะต้องเจอกับบทลงโทษอะไร ดังนั้นนางจึงขอร้องผู้าุโหญิงอย่างสุดความสามารถ
“โกหกหลอกลวงครูบาอาจารย์ เ้ารู้หรือไม่ว่าการที่ชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมาไม่ได้ เทียนเซียงหลินข้าต้องสูญเสียมากแค่ไหน?” ผู้าุโหญิงดุด่าหลันเซียง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป
ดวงตาคู่งามของหลันเซียงว่างเปล่า ก่อนร่างจะล้มลงไปกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทำให้นางไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจเลือกในตอนนั้นของศิษย์พี่ถูกต้องหรือไม่
แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่รู้เื่ที่เกิดขึ้นในที่ตั้งมั่นเทียนเซียงหลิน เพราะเย่เฟิงในตอนนี้กำลังรอคอยอยู่ที่นอกห้องของเฒ่าจิง
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ฉินเจิ้นถิงเดินออกมาพร้อมลมปราณแตกซ่านเล็กน้อย เห็นชัดว่าใช้พลังหยวนไปมากแค่ไหนในการปิดผนึกเส้นลมปราณที่เสียหายของเฒ่าจิง
จากนั้นหัวหน้าพรรคทั้งสี่คนเดินตามหลังฉินเจิ้นถิงออกมา พร้อมกับส่ายหัวกันทุกคน
“ผู้าุโฉิน อาการของเฒ่าจิงเป็อย่างไรบ้าง?” เย่เฟิงเห็นฉากนี้ก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงเอ่ยถามฉินเจิ้นถิง
“เราห้าคนปิดผนึกเส้นลมปราณที่เสียหายของอาจารย์แล้ว แต่อาการก็ยังหนักอยู่ดี ต่อให้ฟื้นขึ้นมาได้ เกรงว่าจะรักษาตบะไว้ไม่ได้” ฉินเจิ้นถิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าไม่ค่อยดี “เช่นนั้นข้าขอเข้าไปเยี่ยมนะขอรับ”
เมื่อกล่าวจบ เย่เฟิงก็เดินเข้าห้องเฒ่าจิงทันที
เฒ่าจิงนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ภายนอกดูไม่เป็ไร แต่เมื่อสังเกตดูดี ๆ จะพบว่าเฒ่าจิงหายใจรวยริน บางครั้งก็ไม่หายใจด้วยซ้ำ นี่เป็สัญญาณของการาเ็ที่รุนแรงหนักมาก ๆ
“ตาเฒ่า เ้ามีวิธีรักษาอาการของเฒ่าจิงหรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถามราชันมารชื่อเทียน เขาไม่้าเห็นเฒ่าจิงสูญเสียตบะไปเช่นนี้
“อาการของเขาหนักมาก แต่ข้ามียาชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาอาการนี้ได้ เพียงแต่...” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว แต่จู่ ๆ ก็หยุดพูดไปกลางคัน
“เพียงแต่อะไร?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็ประกาย ก่อนจะเอ่ยถามเช่นนั้นด้วยความร้อนใจ
