ซูฉางอันเข้าพักในห้องพักที่นับว่าไม่เลวภายในสำนักแม้สำนักเทียนหลานจะไม่รับศิษย์มานาน แต่อาคารและสิ่งก่อสร้างยังอยู่ครบห้องแต่ละห้องก็นับว่าสะอาดสะอ้านเรียบร้อย แค่เก็บกวาดอีกนิดก็เข้าอยู่ได้แล้ว
คืนนั้นซูฉางอันไม่ได้หลับสนิทสักเท่าไร อย่างไรเสีย โลหิตเทพก็ยังอยู่ภายในตัวเขาอาจจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่ทราบ ซูฉางอันยังทำใจให้ปลงกับความตายไม่ได้เขานอนพลิกไปพลิกมาอยู่นาน กว่าจะหลับไปก็เป็เวลาดึกมากแล้ว
“เฮ้ๆ! ตื่นได้แล้ว!”
เสียงที่ดังราวเสียงจากระฆังั์ดังขึ้นที่ข้างหูซูฉางอันลืมตาขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักเปลือกตาบนและขอบตาล่างแทบไม่อยากจะแยกออกจากกันเลย เขาต้องพยายามเป็อย่างมากกว่าจะแยกเปลือกตาออกจากกัน เปิดช่องเล็กๆ ให้ดวงตาได้สำเร็จ
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเป็ใบหน้าสะสวยของใครบางคนซึ่งซูฉางอันรู้สึกคุ้นตาเป็อย่างมาก โม่โม่รึ? หรือไม่ใช่? ซูฉางอันยังรู้สึกสะลึมสะลือไม่สร่างเขาขยี้ตาตัวเอง จนมองเห็นเ้าของใบหน้าได้อย่างชัดเจนในที่สุดเป็หญิงสาวคนเมื่อวานนี่นา เซี่ยโหวฟ่งอวี้ องค์หญิงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าเว่ย
ซูฉางอันถอยกรูดไปทางด้านหลังของเตียงโดยสัญชาตญาณ “เ้า... เ้าอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”ซูฉางอันรู้สึกเขินอายเล็กน้อยพลันใบหน้าก็ประกายสีแดงระเรื่อขึ้นอย่างลืมตัว
“ทำไมข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?” เซี่ยโหวฟ่งอวี้รู้สึกว่าเมื่อหน้าแดงเช่นนี้ซูฉางอันก็น่าสนใจดีเหมือนกัน นางขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น “เ้าลืมไปแล้วรึ? เมื่อวานนี้ท่านปู่อวี้เหิงอนุญาตให้ข้าเข้ามาศึกษาในสำนักเทียนหลานเป็ที่เรียบร้อยแล้ว”
กลิ่นหอมจางๆ ลอยตลบอยู่ที่ปลายจมูกซูฉางอันหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้กำลังพูดอะไรอยู่แต่ก็ขานรับกลับไปตามสัญชาตญาณ “อ้อ งั้นรึ”
“รีบตื่นนอนได้แล้วผู้าุโฉู่ซีฟงให้ข้ามาปลุกเ้า” เซี่ยโหวฟ่งอวี้พูดเร่ง
เมื่อได้ยินชื่อของฉู่ซีฟงซูฉางอันก็ตาสว่างขึ้นมาทันที ทั้งยังรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมามากเขาอยากฝึกวิชาดาบมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีอาจารย์ดีๆ คอยสอน เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉางอันก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วเตรียมจะเปิดผ้าห่มออก ทว่าจู่ๆ เขาก็ชะงักลงอีกครั้งแล้วหันมามองอวี้โหวฟ่งอวี้อย่างเขินอาย “องค์หญิงใหญ่ท่านช่วย...ช่วยออกไปก่อนได้ไหม” ซูฉางอันกล่าวพึมพำตะกุกตะกัก
“เพราะอะไร?” เซี่ยโหวฟ่งอวี้เพ่งดวงตากลมโตมาที่ซูฉางอัน
“คือว่า...ชายหญิงควรรักษากิริยาต่อกัน...” ซูฉางอันรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเขามีโอกาสอยู่แบบสองต่อสองกับหญิงที่มีรุ่นราวคราวเดียวกันเพียงน้อยครั้งเท่านั้นจึงอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
ในตอนนั้นเองในที่สุดเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็รู้สึกตัวเสียที นางหน้าแดง แล้วพูดทิ้งท้ายเอาไว้ดังนี้ “งั้น... งั้นก็เร็วๆ หน่อยแล้วกัน” จากนั้นหญิงสาวก็พุ่งออกไปจากห้องของซูฉางอันด้วยความเร็วราวกับเหาะทันที
เมื่อซูฉางอันแต่งตัวเสร็จและเดินออกมาจากห้องเขาก็พบว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้ยังคงยืนรออยู่ที่หน้าประตู
นางยืนก้มหน้าอยู่กับที่จับชายเสื้อขึ้นมาขยี้แก้เขินไปพลาง พลางก็หน้าแดงไปด้วยนางในตอนนี้งดงามจนยากจะอธิบายเลยทีเดียว
ซูฉางอันเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วกล่าวขึ้น “องค์หญิงรอนานแล้ว”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมาแล้วกรอกตามองบนใส่ซูฉางอัน จากนั้นจึงกล่าวอย่างดุๆ “ไปกันได้แล้วท่านผู้าุโฉู่รอมาตั้งนานแล้ว” เมื่อพูดจบเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็เดินตรงออกไป โดยไม่รอให้ซูฉางอันได้พูดสิ่งใดออกมาอีก
ซูฉางอันรีบเดินตามออกไปทั้งสองเดินต่อไป โดยคนหนึ่งเดินนำ ส่วนอีกคนเดินตามเดินไปได้เพียงไม่ถึงสิบห้านาทีก็มาถึงลานหินที่มีลักษณะเป็รูปสี่เหลี่ยมแห่งหนึ่งซึ่งฉู่ซีฟงกำลังกอดดาบเอาไว้ในอ้อมแขน และยืนรออยู่ภายในลานเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองเดินเข้าไปทำความเคารพต่อฉู่ซีฟงตอนนี้ฉู่ซีฟงเป็อาจารย์สอนวรยุทธ์ของสำนักเทียนหลานทั้งสองย่อมต้องให้ความเคารพต่อเขาตามที่สมควรอยู่แล้ว
“อืม” ฉู่ซีฟงพยักหน้าเป็เชิงทักทาย แล้วจึงกล่าวขึ้น “ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปข้าก็คืออาจารย์ของพวกเ้า ข้ารับปากกับใต้เท้าอวี้เหิงเอาไว้แล้วย่อมต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ หากเ้าทั้งสองมีข้อสงสัยหรือปัญหาในการฝึกก็สามารถมาสอบถามหรือปรึกษาข้าได้เสมอ”เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ฉู่ซีฟงก็ชะงักไปเล็กน้อย เขามองไปที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้อย่างลังเลเล็กน้อยจากนั้นจึงกล่าวขึ้นในที่สุด “เพียงแต่วิชาที่ข้าฝึกเป็วิชาดาบ ทว่าองค์หญิงใหญ่ฝึกวิชากระบี่...”
“ผู้าุโฉู่โปรดวางใจท่านปู่อวี้เหิงสอนวิชากระบี่แก่ข้าเป็ที่เรียบร้อยแล้ว หากไม่เข้าใจตรงไหนข้าจะไปขอคำชี้แนะจากท่านปู่เองไม่รบกวนให้ผู้าุโฉู่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างแน่นอน” เซี่ยโหวฟ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ เช่นนั้นข้าก็วางใจได้แล้ว” ฉู่ซีฟงมองมาที่ซูฉางอันอีกครั้งทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเข้มงวดในพริบตา “ผู้าุโอวี้เหิงบอกข้าเอาไว้แล้ว ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปให้เ้าฝึกวิชาดาบกับข้าใน่เช้าส่วน่บ่ายก็ให้ไปฝึกวิชากระบี่กับองค์หญิงใหญ่ เื่อื่นข้าไม่รู้แต่หากจะฝึกวิชาดาบกับข้า ย่อมต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมายหากเ้าไม่มีความอดทน คิดว่าผ่านมันไปไม่ได้ เช่นนั้นก็จงพูดออกมาเสียตอนนี้เลยอย่าทำให้ข้าเสียเวลา”
“ผู้าุโฉู่วางใจได้ข้าจะพยายามอย่างแน่นอนขอรับ” ซูฉางอันรีบตอบกลับไปเขารอวันนี้มานานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้วย่อมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอยู่แล้ว ทว่าหลังพูดจบ จู่ๆสีหน้าของเขาก็แลดูพิลึกลงไปมาก ซูฉางอันพูดด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อย “เพียงแต่... เพียงแต่ว่า...”
“หืม? เพียงแต่อะไร? พูดออกมาได้เลย”
“เพียงแต่... ข้ายังไม่ได้กินมื้อเช้าขอ...” ซูฉางอันพูดเสียงเบาหวิว
“หึ!” ฉู่ซีฟงสะบัดมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “่เช้าเป็เวลาที่สำคัญที่สุดของวันตอนนี้เราจะเริ่มฝึกกันแล้ว ต่อไปหากอยากกินมื้อเช้า ก็จงตื่นให้เช้ากว่านี้”
ซูฉางอันขานรับด้วยใบหน้าสลดทว่าท่าทางของเขากลับทำให้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่อยู่ข้างกันหัวเราะขึ้นเบาๆ
ในที่สุด่เวลาแห่งการฝึกยุทธ์ของซูฉางอันในเมืองฉางอันก็เริ่มต้นขึ้นเสียที
เขาไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนสำหรับเขาแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็ความแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนแม้ฉู่ซีฟงจะเข้มงวดมาก แต่เพราะผลกระทบจากมั่วทิงอวี่ซูฉางอันจึงชื่นชอบดาบเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกว่าการฝึกเหนื่อยยาก หรือลำบากสักเท่าไรนัก เพียงแต่ เขาไม่ค่อยมีพร์สักเท่าไรทั้งฉู่ซีฟงก็เป็ยอดอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ย่อมมีมาตรฐานสูงเป็ธรรมดาเขาไม่ค่อยพึงพอใจกับความก้าวหน้าของซูฉางอันสักเท่าใดจึงเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นไปอีก
ด้านวิชากระบี่เองแทนที่จะบอกว่าเขากับเซี่ยโหวฟ่งอวี้ฝึกกระบี่ด้วยกันให้บอกว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้เป็คนสอนวิชาเขายังจะถูกเสียกว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้เป็องค์หญิงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าเว่ยมหาจักรพรรดิจึงเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนวรยุทธ์ให้ั้แ่เด็กอีกทั้งตัวนางเองก็มีพร์มาก ย่อมชี้แนะมือใหม่อย่างซูฉางอันได้สบายๆ อยู่แล้วแต่จะว่าไปแล้วก็น่าแปลก ทั้งที่ซูฉางอันไม่ได้ชื่นชอบหรือสนใจในวิชากระบี่สักเท่าไร แต่ดูเหมือนเขาจะมีพร์ในด้านนี้มากมีหลายอย่างที่เพียงได้รับคำชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ เขาก็เข้าใจได้ในทันทีแม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ยังรู้สึกประหลาดใจกับเื่นี้เลย ในตอนแรกเซี่ยโหวฟ่งอวี้ยังต้องชี้แนะเขาบ้างเป็บางครั้ง ทว่าต่อมาทั้งสองกลับมีฝีมือสูสีกันเสียแล้ว
เพียงพริบตาเดียวเขาก็ฝึกเช่นนี้มานานร่วมสองเดือนแล้ว
วันนี้การฝึกกระบี่ใน่บ่ายของซูฉางอันสิ้นสุดลงแล้ว
อวี้เหิง ฉู่ซีฟง ซูฉางอันและเซี่ยโหวฟ่งอวี้นั่งล้อมรอบโต๊ะเดียวกันทั้งสี่กำลังรับประทานอาการค่ำด้วยกันนั่นเองเซี่ยโหวฟ่งอวี้เองก็อาศัยอยู่ภายในสำนักเทียนหลานแล้วเช่นกันและห้องของนางก็อยู่ข้างห้องของซูฉางอันนั่นเอง
บัดนี้เซี่ยโหวฟ่งอวี้กำลังคีบผักเข้าไปในปากด้วยท่าทางแค้นเคืองจากนั้นก็ออกแรงเคี้ยวแรงๆราว้าจะบดบางสิ่งให้แหลกเป็เสี่ยงอย่างไรอย่างนั้นขณะที่สายตาซึ่งแทบจะมีไฟลุกของนางก็กำลังจ้องมองไปที่ซูฉางอันอย่างไม่ละสายตา
ซูฉางอันถูกมองจนรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเขารู้สึกกระวนกระวายที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป
“ฟ่งอวี้วันนี้เ้ากับฉางอันประลองกระบี่กันแล้วใช่ไหม? ผลเป็เยี่ยงไรบ้าง?” อวี้เหิงหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางกล่าวถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“หึ!” เมื่อได้ยินดังนั้นเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมามาก นางใช้ตะเกียบกวนชามข้าวในมืออย่างแรงแล้วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“...” เมื่อเห็นเช่นนั้นซูฉางอันก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก เขาเกาหลังหัวตัวเองอย่างงุนงงแล้วกล่าวขึ้น “ข้าเอาชนะศิษย์พี่เพราะโชคช่วยมาได้เล็กน้อย”
เพราะเซี่ยโหวฟ่งอวี้มีอายุมากกว่าซูฉางอันหนึ่งปีนางจึงบังคับให้ซูฉางอันเรียกตัวเองว่าศิษย์พี่
“ดูเหมือนซูฉางอันจะมีพร์ด้านวิชากระบี่มากกว่าวิชาดาบมาก” ฉู่ซีฟงที่มักจะนิ่งเงียบเริ่มพูดขึ้น
“อาจารย์ลุง ่ที่ผ่านมาข้าฝึกทั้งวิชาดาบและวิชากระบี่ควบคู่กันมาโดยตลอด แต่กลับพบว่าวิชาดาบของตนเองยากจะก้าวหน้าได้ผิดกับวิชากระบี่ ที่เพียงฝึกเล็กน้อยก็ก้าวหน้าไปได้มากมาย ข้าชอบดาบมากกว่าจึงตั้งใจศึกษาวิชาดาบมากกว่ากระบี่ แต่ทำไมแม้จะพยายามไปมากแต่ก็ยังได้รับผลตอบแทนที่น้อยนิดเช่นนี้ ข้าไม่มีพร์ด้านการใช้ดาบจริงๆหรือขอรับ?” ขณะกล่าวถามซูฉางอันคล้ายจะอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ในบรรดาคนที่เขาเคยพบเจอมามีเพียงมั่วทิงอวี่คนเดียวเท่านั้นที่สามารถเทียบชั้นกับวีรบุรุษในหนังสือนิยายที่ตนอ่านได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นเขาจึงยกมั่วทิงอวี่ขึ้นมาเป็เป้าหมาย เขาอยากจะเป็นักดาบเหมือนกับมั่วทิงอวี่ แต่พอได้มาฝึกวิชาเข้าจริงๆกลับพบว่าทุกสิ่งไม่ได้เป็ไปตามที่คิดเอาไว้เลยคล้ายกับความฝันที่วาดเอาไว้แหลกสลายลงอย่างไรอย่างนั้น เหตุนี้เขาจึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
อวี้เหิงทำราวกับไม่รับรู้ถึงความผิดหวังของเขาคนชราหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางกล่าวขึ้น “ในการฝึกวิชานั้นแม้จะมีผู้ที่มีพร์มาแต่กำเนิด แต่หลายปีมานี้ข้าเห็นยอดอัจฉริยะที่มีพร์ถูกแซงหน้าไปหลายคน และเห็นผู้ที่ไม่มีพร์แต่กลายเป็บุคคลที่ไม่ธรรมดามามากเช่นกัน”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาหรี่เล็กถูกเพ่งไปที่ร่างของซูฉางอันพร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะตีความหมายคนชรากล่าวถามขึ้น “เ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงให้เ้าฝึกกระบี่?”
“ไม่ทราบขอรับ” ซูฉางอันส่ายหน้า
“ดาบและกระบี่ต่างก็เป็อาวุธเหมือนกัน ไม่ว่าจะใช้ดาบหรือกระบี่ สุดท้ายพวกมันก็เป็เพียงเครื่องมือในการต่อสู้เท่านั้น ‘กระบวน’ดาบหรือกระบี่ที่คนทั่วไปฝึกฝน เป็การฝึกอาวุธด้วยร่างกายซึ่งถือเป็วิธีระดับล่าง ทว่า ‘ศาสตร์แห่งดาบ’ ที่ฉู่ซีฟงสอนเ้า รวมไปถึง ‘ศาสตร์แห่งกระบี่’ ที่ข้าสอนฟ่งอวี้แล้วให้เ้าไปฝึกพร้อมๆ กับนาง ล้วนเป็การฝึกอาวุธด้วยใจ นับเป็วิธีฝึกยุทธ์ระดับสูง”
“กระบวนดาบของฉู่ซีฟงเน้นความแข็งแกร่งรุนแรงตรงไปตรงมา ถอยเพื่อจู่โจม โจมตีเพื่อป้องกัน เป็กระบวนท่าที่เน้นความทรงพลังซึ่งไม่เหมาะกับเ้า”
ซูฉางอันราวจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วเขาเอียงคอพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วข้าเหมาะกับอะไรหรือขอรับ? ข้าฝึกกระบวนกระบี่ได้รวดเร็วเช่นนี้ก็แสดงว่าศาสตร์แห่งกระบี่เป็เส้นทางที่เหมาะกับตัวข้าสินะขอรับ”
อวี้เหิงส่ายหน้า แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “อาวุธนั้นไร้ซึ่งชีวิต แต่มนุษย์มีหากยึดมั่นอยู่กับกระบวนดาบหรือกระบี่ กระบวนใดกระบวนหนึ่งเพียงด้านเดียวจะถือเป็การยึดติดมากจนเกินไป จึงมิอาจทำการใหญ่ได้”
“เช่นนั้น สิ่งที่ข้าต้องมุ่งฝึกเป็ศาสตร์แห่งกระบี่หรือขอรับ?” ซูฉางอันรู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นในพริบตาในเมื่อยึดกระบวนกระบี่เป็หลักไม่ได้เช่นนั้นก็ยึดเอาศาสตร์แห่งกระบี่เป็หลักอย่างเดียวก็พอ เพราะศาสตร์แห่งกระบี่จะทำให้เราแสดงกระบวนท่าได้อย่างหลากหลายเมื่อไม่ยึดติดกับกระบวนใดกระบวนหนึ่งมากจนเกินไป อีกทั้งตนยังเรียนรู้เื่การต่อสู้ด้วยกระบี่ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเป็เช่นนี้ดูเหมือนกระบี่ จะเป็ศาสตร์ที่เหมาะกับตนมากที่สุดแล้ว
ทว่าหลังได้ฟังจนจบอวี้เหิงก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
“กระบวนกระบี่ที่เ้าฝึกอยู่ มีชื่อว่า ‘วิชามาลุตวสันต์’ เป็กระบวนกระบี่ที่ข้าคิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนและที่เ้าเรียนรู้กระบวนวิชานี้ได้รวดเร็วเป็เพราะมันมีกระบวนท่าที่แลดูอ่อนโยนและพริ้วไหว ทว่าความจริงแล้วมันเป็กระบวนท่าที่อ่อนนอกแข็งใน มีความคล้ายคลึงกับตัวเ้าอยู่บ้างเ้าจึงฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว แต่นี่เป็เส้นทางแห่งยุทธ์ของข้า แม้จะคล้ายกับเ้าแต่ก็ไม่ใช่ตัวเ้าอยู่ดี เ้าต้องตามหาเส้นทางแห่งยุทธ์ของตัวเองให้เจอด้วยตนเองซึ่งข้าช่วยเ้าไม่ได้”
ซูฉางอันฟังสิ่งที่อวี้เหิงกล่าวออกมาด้วยความสับสนมึนงงเส้นทางแห่งยุทธ์ยังเป็สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขาเขาจึงไม่อาจทำความเข้าใจได้ “เช่นนั้น ข้ายังต้องฝึกดาบต่อไปไหมขอรับ? ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับดาบสักเท่าไรข้ามักจะทำให้ผู้าุโฉู่โมโหอยู่เรื่อยเลย” ขณะกล่าวซูฉางอันก็แอบมองไปที่ฉู่ซีฟงไปด้วยเมื่อเห็นว่าฉู่ซีฟงยังคงกินอาหารด้วยสีหน้าราบเรียบ จึงรู้สึกโล่งอกขึ้นในที่สุด
“หากไม่ฝึกวิชาดาบเ้าก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเหมือนอย่างตอนนี้แล้วรึ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูฉางอันก็คิดไตร่ตรองอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าในที่สุดก็ส่ายหน้าขึ้นอีก “ข้าชอบดาบ”
“ชอบก็ไปศึกษามันเสีย ไม่แน่หากฝึกมันต่อไปเรื่อยๆ เ้าอาจหาเส้นทางของตัวเองจนเจอก็ได้” อวี้เหิงพูดเป็นัย
ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรแต่สำหรับเขาแล้ว แค่ได้รับการอนุญาตจากอวี้เหิง ให้เขาได้ฝึกดาบต่อไปแค่นี้ก็น่าดีใจมากแล้ว
“ฉางอัน เ้าหลอมจิตสำเร็จหรือยัง?” อวี้เหิงถามขึ้น
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้า เขาหลอมจิตสำเร็จั้แ่หลายวันก่อนแล้วเขาทำสำเร็จได้ด้วยเวลาประมาณครึ่งเดือนเท่านั้นนี่นับเป็ความก้าวหน้าที่รวดเร็วจนน่าใเหลือเกิน
การหลอมจิตที่ว่าก็คือการดูดซับพลังิญญาจากพื้นพิภพและท้องนภาเข้ามาในร่างกายแล้วเปลี่ยนให้มันกลายเป็ปราณดารานั่นเอง โดยทั่วไปแล้วขั้นนี้ถือเป็ขั้นที่ต้องใช้เวลายาวนานเป็อย่างมากเพราะแต่ละคนมีการฝึกฝนและความสามารถในการผสานพลังิญญาที่แตกต่างกันออกไประยะเวลาในการสร้างปราณดาราของแต่ละคนจึงแตกต่างออกไปด้วยในบางคนอาจต้องใช้เวลาหนึ่งปี หรือหลายปีเลยทีเดียว
ทว่าซูฉางอันกลับไม่จำเป็ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเพราะในร่างของเขา มีปราณดาราของนักรบดาราจักรอยู่ถึงสองดวงด้วยกัน
ปราณดาราของนักรบแห่งดาราจักรแตกต่างไปจากปราณดาราที่นักรบทั่วไปสร้างขึ้นเองซึ่งหากจะเปรียบว่าปราณดาราเป็เมล็ดพันธุ์เช่นนั้นปราณดาราที่ได้รับการสืบทอดมาจากนักรบแห่งดาราจักรก็เป็เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่เพียงมีสารอาหารที่เพียงพอก็จะสามารถเติบโตไปเป็ต้นไม้ใหญ่ได้อย่างแน่นอน
เพราะมีปราณดาราของนักรบแห่งดาราจักรถึงสองดวงการหลอมจิตจึงไม่ถือเป็เื่ยากสำหรับเขาแค่เปลี่ยนให้ปราณดาราภายในร่างกลายมาเป็ของตัวเองได้ เขาก็หลอมจิตได้สำเร็จแล้วและในตอนนี้ แม้เขาจะมีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตแต่เพราะในร่างกายมีปราณดาราของนักรบแห่งดาราจักรซึ่งแฝงไปด้วยพลังของนักรบแห่งดาราจักรผู้เป็เ้าของถึงสองดวง ดังนั้นหากจะว่ากันด้วยเื่ของความแข็งแกร่ง เขาในตอนนี้ก็สามารถรับมือกับนักรบระดับเก้าดาราได้แล้วซึ่งนี่ก็เป็หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เขาเอาชนะเซี่ยโหวฟ่งอวี้ได้ด้วยระดับพลังอันแสนต้อยต่ำที่มีนั่นเอง
“เมื่อวาน ข้าได้รับบัตรเชิญจากสำนักปาฮวงพวกเขากำลังจะจัดพิธีหลอมดาวครั้งใหม่ขึ้น สำนักเทียนหลานของเราปิดรับศิษย์มานานถึงสิบปีแล้วครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องไปร่วมงานอย่างหนีไม่พ้น พรุ่งนี้เ้ากับฟ่งอวี้ไปร่วมงานเสียหน่อยเถิด” อวี้เหิงกล่าวขึ้น
“สำนักปาฮวง? งานหลอมดาว?” ซูฉางอันถามขึ้น
“สำนักปาฮวงเป็สำนักอันดับสองของเมืองฉางอันงานหลอมดาวเป็พิธีใหญ่ที่สำนักต่างๆ จะจัดขึ้นทุกครั้งที่รับศิษย์เข้ามาใหม่สำนักทุกแห่งจะส่งศิษย์ที่ดีที่สุดออกมาเป็ตัวแทน เพื่อประลองในงานหลอมดาวจากนั้นก็นำผลการประลองไปจัดอันดับต่อไป” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่อยู่ข้างๆตอบแทน
“เดิมทีงานหลอมดาวจะถูกจัดขึ้นโดยสำนักเทียนหลานของเรา แต่เพราะสิบปีที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้รับศิษย์ใหม่เข้ามาแม้แต่คนเดียว ดังนั้นสิทธิ์นั้นจึงถูกส่งต่อไปให้สำนักปาฮวงที่เป็สำนักอันดับสองแทน”
“เกรงว่าการประลองครั้งนี้จะไม่ง่ายดายอย่างที่คิดเอาไว้” ฉู่ซีฟงที่นั่งอยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “ข้าได้ยินมาว่าหลายปีมานี้สำนักปาฮวงหมายจะชิงตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งของเมืองฉางอันไปเป็ของตนเองมาโดยตลอดพวกเขาคงลอบสำรวจรายชื่อศิษย์ของเรามาก่อนแล้ว ที่ส่งคำเชิญมาคงเพราะอยากจะทำลายชื่อเสียงของสำนักเรากระมัง”
“เหอะๆอันดับเป็เพียงของนอกกายเท่านั้น ไยต้องเก็บมาใส่ใจด้วย” อวี้เหิงผายมือออกไปข้างๆอย่างไม่ใส่ใจ
“ตราบใดที่ข้า อวี้เหิงยังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าใครก็แย่งหอเทียนเต้าไปไม่ได้เด็ดขาด” เขากล่าวเช่นนั้นแล้วหรี่ตาลงจนกลายเป็เส้นตรง ทันใดนั้นประกายแสงที่น่าสยดสยองก็ส่งผ่านออกมาจากช่องเล็กๆระหว่างเปลือกตาคู่นั้นอย่างน่าหวาดกลัว