่บ่ายของวันต่อมาซูฉางอันเก็บกระบี่ในมือลงด้วยลมหายใจหอบ ขณะที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่อยู่ข้างกันก็กำลังเพ่งสายตามาที่เขาอย่างโกรธเคือง
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ไม่พอใจเป็อย่างมากที่ตนแพ้ในการประลองกระบี่ให้กับซูฉางอันเมื่อวานนี้ อย่างไรเสียนางก็ถือเป็หนึ่งในอัจฉริยะแห่งวิชากระบี่ของเมืองฉางอันมีพลังอยู่ในระดับเก้าดารา แถมยังเกือบจะไต่ไปถึงระดับอรุณรุ่งได้สำเร็จแล้วทว่ากลับมาแพ้ให้กับซูฉางอัน เด็กหนุ่มที่มีพลังอยู่เพียงระดับหลอมจิตผู้ซึ่งเพิ่งฝึกกระบี่มาได้เพียงไม่ถึงสองเดือนเท่านั้นนาง้าจะกู้หน้าตัวเองกลับคืนมาจึงประลองกับซูฉางอันอีกครั้งเมื่อบ่ายที่ผ่านมา แต่สุดท้าย การประลองก็สิ้นสุดลงที่นางเป็ฝ่ายพ่ายแพ้อีกครั้ง
“ศิษย์พี่ ได้เวลาไปที่งานหลอมดาวแล้ว” ซูฉางอันลองคำนวณเวลาดูจึงพบว่าใกล้ถึงเวลาที่อวี้เหิงระบุเอาไว้ระหว่างมื้อค่ำของเมื่อวานแล้วเขารู้สึกคาดหวังกับงานนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เพราะ้าจะประลองกับใครหรอกนะเขาเพียงรู้สึกสนใจ อยากไปเปิดหูเปิดตาในงานเท่านั้น
“รู้แล้ว!” เซี่ยโหวฟ่งอวี้มองบนใส่เขาอย่างขุ่นเคือง “ข้าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อยเ้าเองก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ! ฝึกกระบี่มาทั้งบ่ายแล้วมอมแมมอย่างกับอะไรดี หากไปทั้งอย่างนี้จะถูกหัวเราะเยาะเอาได้”
“อืม” ซูฉางอันเห็นว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้พูดมีเหตุผล จึงขานรับนาง
เมื่อทั้งสองเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยจึงพากันมุ่งหน้าไปที่สำนักปาฮวง
ซูฉางอันไม่คุ้นกับเมืองฉางอันสักเท่าไหร่หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เขาอยู่แต่ในสำนักเทียนหลานเท่านั้นไม่ได้ออกไปที่ไหนเลย ทางด้านเซี่ยโหวฟ่งอวี้เอง เพราะเป็องค์หญิงจึงมักจะมีคนคอยนำทางให้ หรือเดินทางด้วยรถและเกี้ยวมาโดยตลอด ดังนั้นนางเองก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับเมืองฉางอันที่แสนกว้างใหญ่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ทั้งสองเดินอ้อมไปอ้อมมา เสียเวลาและแรงกายไปมากกว่าจะมาถึงที่สำนักปาฮวงในที่สุด
“นี่น่ะหรือ สำนักปาฮวง?” ซูฉางอันยืนอยู่หน้าประตูสำนักเมื่อมองไปที่ประตูสำนักซึ่งมีความสูงเทียบเท่ากับคนสี่ห้าคนเบื้องหน้าก็นึกชื่นชมขึ้นอย่างอดไม่ได้
เซี่ยโหวฟ่งอวี้นึกขันขึ้นแม้ซูฉางอันจะมีพร์เื่การฝึกกระบี่ที่ล้ำเลิศ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็เพียงเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยเผชิญโลกคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อคิดมาถึงตรงนี้จู่ๆ ความขุ่นเคืองที่พ่ายแพ้ให้กับซูฉางอันก็ลดลงไปมาก
“ยิ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ?” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ถามด้วยรอยยิ้มพลางคิดขึ้นในใจว่าขนาดแค่นี้ยังตกตะลึง หากได้เข้าไปในพระราชวังมีหวังได้มองกันจนตาลายแน่... แค่จินตนาการถึงภาพของซูฉางอันในใจเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“อืม” ซูฉางอันตอบกลับไป เขาทอดมองเข้าไปในสำนัก อาจเป็เพราะมีการจัดงานหลอมดาวขึ้นสำนักเบื้องหน้าจึงมีทั้งหนุ่มๆ และสาวๆ เดินขวักไขว่อยู่เต็มไปหมด
“ครึกครื้นกันจริงๆ” ซูฉางอันกล่าวขึ้น
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เตรียมจะพูดแซวซูฉางอันทว่าชายวัยกลางที่แต่งกายด้วยชุดองครักษ์ก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน
เขาถามด้วยท่าทางเคารพ “ทั้งสองท่าน เป็ศิษย์ที่มาร่วมงานหลอมดาวใช่หรือไม่?”
“ใช่” เซี่ยโหวฟ่งอวี้พยักหน้าตอบ
“มีบัตรเชิญหรือไม่?” ชายวัยกลางถามขึ้นอีกครั้ง
“มี” เซี่ยโหวฟ่งอวี้หยิบบัตรเชิญออกมาจากเสื้อบริเวณหน้าอกแล้วยื่นไปให้ชายตรงหน้า
เมื่อเห็นชื่อของสำนักเทียนหลานภายในบัตรเชิญชายวัยกลางก็ปรายตามองทั้งสองด้วยสายตาประหลาดแวบหนึ่งจากนั้นจึงกล่าวขึ้นในที่สุด “งานหลอมดาวเริ่มขึ้นแล้วทั้งสองท่าน ตามข้าเข้าไปด้านในเถอะ” พูดจบเขาก็ยื่นบัตรเชิญกลับไปให้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ แล้วหมุนตัว พาทั้งสองเข้าไปในสำนัก
ทั้งสองเดินทะลุเฉลียงยาวหน้าสำนักและเดินผ่านูเารวมไปถึงลำธารจำลองด้วยการนำทางของชายวัยกลางคนจนมาถึงหน้าโถงตำหนักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ทว่าซูฉางอันกลับพบว่ากลุ่มชายวัยรุ่นที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนกำลังยืนล้อมห้องโถงตรงหน้าอย่างมิดชิดต่างก็เขย่งเท้าเพื่อชะเง้อมองเข้าไปด้านในอย่างต่อเนื่อง
“คนพวกนี้... ?” ซูฉางอันถามชายวัยกลาง
“อ้อ คนเหล่านี้ล้วนเป็ศิษย์ที่เป็ตัวแทนจากสำนักต่างๆ” ชายวัยกลางหันกลับมาตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าไปล่ะ?” ซูฉางอันประหลาดใจ
“หึๆ ผู้ที่จะเข้าไปนั่งด้านในได้หากไม่ใช่ศิษย์จากสำนักระดับแนวหน้า ก็ต้องเป็ศิษย์ที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่ในอันดับเท่านั้น คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าไปได้เยี่ยงไร?” ชายวัยกลางตอบ
“เช่นนั้นรึ?” ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่น แต่โบราณว่ากันว่า ‘ผู้มาเยือน ล้วนถือเป็แขก’ ในเมื่อเชิญให้ทุกคนมาร่วมงานเหตุใดถึงไม่ยอมให้เข้าไปนั่งด้านใน จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่างานหลอมดาวในครั้งนี้ไม่ได้น่าสนุกอย่างที่ตนคิดเอาไว้เสียเลย
“การจัดอันดับต้องเกิดขึ้นหลังการประลองไม่ใช่รึ? ทำไมตอนนี้ถึงมีอันดับได้?” ซูฉางอันถามขึ้นอีกครั้ง
“ศิษย์ที่จะอยู่ในอันดับได้ต้องเป็คนที่มีชื่อเสียงมาั้แ่ก่อนเข้าศึกษาในสำนักปัจจุบันสำนักปาฮวงจะจัดอันดับขั้นแรกตามเื่ราวที่ศิษย์ทั้งหลายเคยทำมาก่อนหน้านี้และในงานหลอมดาว หากใครไม่พอใจในอันดับของตน ก็สามารถท้าประลองในงานเพื่อแก้ไขอันดับของตนเองได้ และนี่ก็เป็ความน่าสนใจอีกอย่างของงานหลอมดาว” ชายวัยกลางอธิบายอย่างใจเย็นไม่มีท่าทางรำคาญ หรือไม่พอใจเลยสักนิด
ระหว่างบทสนทนา ทั้งสามเดินเข้าไปในโถงท่ามกลางสายตาแห่งความอิจฉาของศิษย์ที่ยืนล้อมอยู่ด้านนอก
ในที่สุดซูฉางอันก็เห็นสภาพภายในห้องโถงชัดๆเสียที คนนับร้อยนั่งขัดสมาธิอยู่รอบโถงที่มีพื้นที่กว้างมากกว่าสิบเมตรโดยที่เบื้องหน้าของแต่ละคนมีโต๊ะยาว ซึ่งมีอาหารและสุราชั้นเลิศตั้งอยู่ด้วยที่จุดกึ่งกลางของโถงมีหนุ่มวัยรุ่นสองคนกำลังประลองกันอยู่คนหนึ่งถือกระบี่เอาไว้ด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกคนถือหอกยาวเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างพวกเขาสลับกันรุกบ้างรับบ้างอย่างไม่มีใครยอมใคร หนุ่มสาว รอบๆต่างส่งเสียงร้องชมว่า ‘ดี’ ขึ้นเป็ระยะๆ ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงร้อนระอุและครึกครื้นเสียยิ่งกว่าอะไรดี
ที่จุดกึ่งกลางด้านในสุดของโถงมีแท่นสูงตั้งอยู่ และบนแท่นก็มีโต๊ะตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน ทว่าบนนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีใครนั่งอยู่เลยสักคน ที่หลังโต๊ะ มีธงขนาดใหญ่วางอยู่ บนธงนั้นมีชื่อของคนนับร้อยเขียนอยู่เต็มไปหมด
“บนธงนั่นเป็อันดับมนุษย์” เซี่ยโหวฟ่งอวี้กระซิบข้างหูซูฉางอัน
ไอร้อนที่พ่นออกมาจากปากของนางกระทบลงบนใบหูของซูฉางอันอย่างจัง ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ข้างในหัวใจซูฉางอันปรายตามองไปที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้อย่างลืมตัว บัดนี้เซี่ยโหวฟ่งอวี้หน้าแดงไปหมดอาจเป็เพราะอากาศภายในโถงร้อนอบอ้าวกว่าด้านนอกก็เป็ได้มันทำให้นางดูสวยเหลือเกิน ซูฉางอันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามเขาขยับออกไปข้างๆ เว้นระยะห่างออกจากเซี่ยโหวฟ่งอวี้โดยสัญชาตญาณจากนั้นก็แสร้งทำเป็ใจเย็น แล้วถามขึ้น “อันดับมนุษย์? การจัดอันดับในงานหลอมดาวมีหลายประเภทรึ?”
“อืม” ดูเหมือนเซี่ยโหวฟ่งอวี้ยังไม่สังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของซูฉางอันนางขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง “การจัดอันดับถูกแบ่งออกเป็สามประเภทได้แก่ระดับผืนฟ้า ปฐี และมนุษย์ การจัดอันดับมนุษย์จะถูกจัดโดยสำนักเทียนหลานแน่นอนว่าตอนนี้มันตกเป็หน้าที่ของสำนักปาฮวงไปแล้ว คนในอันดับล้วนเป็ศิษย์ที่เพิ่งเข้าศึกษาในสำนักต่างๆไม่เกินหนึ่งปี การจัดอันดับปฐี จะถูกจัดโดยราชสำนัก คนในอันดับเป็ศิษย์ที่เข้าเรียนครบหนึ่งปีแล้วแต่ยังไม่จบการศึกษา ส่วนประเภทสุดท้าย การจัดอันดับระดับผืนฟ้า จะถูกจัดโดยหอดาราซึ่งคนที่อยู่ในอันดับเป็ศิษย์ที่จบการศึกษาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ก็เหมือนกับผู้าุโฉู่ซีฟงไงล่ะเขาเป็ยอดอัจฉริยะที่ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของการจัดอันดับระดับผืนฟ้าเชียวนะ”
“อย่างนี้นี่เอง” ซูฉางอันพยักหน้า “แล้วคนที่ได้อันดับหนึ่งในอันดับผืนฟ้าเป็ใครกัน?”
“ก่อนหน้านี้เป็อาจารย์ของเ้ามั่วทิงอวี่” เซี่ยโหวฟ่งอวี้กล่าวขึ้น
“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ซูฉางอันถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ อันดับหนึ่งถูกปล่อยว่างอยู่”
“ปล่อยว่าง? ทำไมล่ะ?”
“สิบอันดับของอันดับผืนฟ้าในตอนนั้นล้วนออกไปจากเมืองฉางอันนานเป็สิบปีแล้ว กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลยเมื่อพวกเขาไม่กลับมา ย่อมหาผู้แทนอับดับหนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว”
“จากเมืองฉางอันไปกันหมดเลยรึ? พวกเขาเป็ใครกัน?”
“เซี่ยโหวฟ่งอวี้กรอกตามองบนแล้วร่ายรายชื่อของบุคคลที่เคยทำให้คนทั้งแผ่นดินต้าเว่ยยกย่องนับถือออกมา “มารพิฆาต-สวีรั่งกระบี่พิรุณ-หลัวอวี้เอ๋อ คุณชายเกศเงิน-โฮ่วหรูอี้ นักรบชุดเพลิง-ฮวาเฟยจั๋วแล้วก็จอมดาบ-ฉู่ซีฟง อาจารย์วิชาดาบของเ้าที่เพิ่งกลับเมืองฉางอัน”
ซูฉางอันกำลังจะถามบางอย่างแต่ก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นภายในห้องโถงเสียก่อน
“อ้าวนั่นมันคุณชายซูที่ถูกจัดให้อยู่อันดับหนึ่งของอันดับมนุษย์ไม่ใช่รึ? ทำไมเพิ่งมาถึงเอาป่านนี้ล่ะพวกเรายังคิดว่าคุณชายซูทะนงตัวจนไม่อยากจะมาร่วมวงกับคนต้อยต่ำอย่างพวกเราเสียแล้ว”
โถงขนาดใหญ่เงียบสงัดลงในพริบตาแม้แต่สองหนุ่มที่กำลังประลองกันอยู่ที่กลางโถงก็ยังต้องหยุดการต่อสู้ลงแล้วหันมามองซูฉางอันกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้เป็ตาเดียว