ตลอดชีวิตสิบหกปีที่ผ่านมามีเพียงน้อยครั้งเท่านั้น ที่เขาได้เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้... ถูกคนนับร้อยจับจ้องเป็ตาเดียว
ครั้งก่อน เป็ตอนที่องค์าจักรพรรดิแต่งตั้งให้เขาเป็หนานเจว๋ที่เมืองฉางเหมิน
ครั้งนี้เป็ที่เมืองฉางอันภายในโถงกลางสำนักปาฮวง ในงานที่รวบรวมยอดอัจฉริยะจากทั่วทุกสารทิศเอาไว้
เขายังคงรู้สึกทำตัวไม่ถูกไม่ชินกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่ดี เขากำมือ และคลายออกอย่างต่อเนื่องไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไร ทั้งยังเงยหน้า และก้มหน้าลงครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้ว่าควรจะมองไปที่ไหนดี
ทว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้กลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการตกเป็เป้าสายตาเลยแม้แต่น้อยนางเป็องค์หญิงของแผ่นดินต้าเว่ยนางตกเป็เป้าสายตาของคนนับหมื่นแสนมาั้แ่เกิดทว่านางกลับไม่ได้รู้สึกดีกับเหตุการณ์นี้เลยสักนิดทันทีที่เสียงเย็นะเืของใครบางคนดังขึ้นเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็พุ่งสายตาไปที่อันดับมนุษย์บนแท่นสูงทันทีและนางก็พบกับความจริงที่น่าตกตะลึงว่าชื่อหนึ่งกำลังประกายแสงระยิบระยับอยู่ในตำแหน่งของอันดับหนึ่ง...ซูฉางอัน!
นางหวนนึกถึงนิทานเื่หนึ่งที่เคยอ่านเจอขึ้นมาทันที
ชายคนหนึ่งมีม้าอ้วนท้วนอยู่ตัวหนึ่งซึ่งใครๆ ต่างก็ชมว่าเป็ม้าที่ดีเยี่ยม เขาดีใจมาก จึงขี่ม้าตัวนั้นทุกวันและผลสุดท้ายก็คือ ชายคนนั้นตายเพราะม้า...
นางเคยถามเื่นี้กับองค์มหาจักรพรรดิถามว่านิทานเื่นี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ และคำตอบของมหาจักรพรรดิในตอนนั้นก็ยังตราตรึงอยู่กลางใจมาจนถึงทุกวันนี้... สังหารด้วยคำเยินยอ!
ถูกต้อง สังหารด้วยคำเยินยอ!
ในตอนที่ซูฉางอันเพิ่งมาถึงเมืองฉางอันในตอนนั้น เขายังหลอมจิตไม่สำเร็จ เซี่ยโหวฟ่งอวี้พาพวกมาหาเื่เขาถึงหน้าสำนักซูฉางอันจึงจำต้องแสดงฝีมือเพื่อปกป้องตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าในวันนั้นเขาเอาชนะซุนอิ้งหลงที่ขึ้นชื่อเื่ความไม่เอาไหนได้เพียงคนเดียวเท่านั้นแม้หลังจากนั้นจะเอาชนะฉู่ซีฟงมาได้ก็เถอะ แต่หลังเกิดเื่แค่ลองคิดสักนิดก็รู้แล้วว่าเขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากอวี้เหิงอย่างแน่นอนเื่เช่นนี้ แม้แต่นางยังคิดเองได้เลย นับประสาอะไรกับสำนักปาฮวง
อีกอย่าง ่ที่ผ่านมาแม้ซูฉางอันจะฝึกฝนจนก้าวหน้าขึ้นมาก ถึงขั้นต่อสู้จนเสมอกับนางได้ก็จริงแต่เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยออกมาจากสำนักเทียนหลานเลยสักครั้งคนนอกจึงยังไม่รู้เื่นี้และด้วยฝีมืออันต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่เขาแสดงตอนอยู่หน้าสำนักเทียนหลานแค่สามารถเข้ามาอยู่ในอันดับมนุษย์ได้ก็นับเป็ปาฏิหาริย์แล้วแล้วเช่นนี้เขาจะมีความสามารถมากพอจะนั่งอยู่ในอันดับหนึ่งได้อย่างไร?
เมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้วนางคิดว่ามีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นก็คือสำนักปาฮวงจงใจจัดให้ซูฉางอันที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครรู้จักอยู่ในอันดับหนึ่งเพื่อจุดประกายความโกรธเคืองของศิษย์ที่ผยองคิดว่าตัวเองเก่งเหนือใครพวกเขาอยากใช้งานหลอมดาวในครั้งนี้ ทำให้สำนักเทียนหลานเสียชื่อ โดยยืมมือของศิษย์คนอื่นคล้ายกับการยืมดาบของคนอื่นมาฆ่าคนนั่นเอง
นางเคยคิดจะจูงมือซูฉางอัน แล้วลากเขาออกไปจากงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยกับดักแห่งนี้แต่ตอนนี้ ทุกคนในงานล้วนจับจ้องมาที่ซูฉางอัน หากออกไปทั้งอย่างนี้ต้องถูกมองว่าขี้ขลาด ไม่กล้ารับศึกอย่างที่สำนักปาฮวง้าให้เป็อย่างแน่นอนดังนั้น เซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงได้แต่ทำใจดีสู้เสือ แล้วติดตามอยู่ข้างกายซูฉางอันเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยฝีมือของซูฉางอันในตอนนี้แม้จะฝืนไปหน่อย แต่ก็ น่าจะพอรับมือกับศิษย์ทั่วไปในอันดับมนุษย์ได้อยู่ทว่าหากมียอดอัจฉริยะที่มีพร์เหนืุ์อย่างสวีติ้งเยว่มาท้าประลองด้วยจริงๆอย่างมากนางก็แค่ยกฐานะองค์หญิงแห่งแผ่นดินต้าเว่ยของตัวเองออกมาปกป้องก็เท่านั้นแบบนั้น คาดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่กล้าทำอะไรที่รุนแรงจนเกินไป
ทว่าซูฉางอันกลับไม่ได้คิดอะไรมากมายหลังความอึดอัดจากการถูกจับตามองเริ่มคลายลง เขาก็เริ่มสอดส่องสายตาไปทั่วเพื่อตามหาเ้าของเสียงที่เย็นะเืซึ่งดังขึ้นเมื่อครู่
เ้าของเสียงเป็ชายชราคนหนึ่งเขามีเส้นผมขาวโพลน ทว่ากลับมีร่างกายที่ตรงตระหง่านโครงหน้าคมเฉียบราวกับถูกตัดแต่งมาอย่างดีดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยลำแสงอันแสนคมเฉียบ ทำให้จมูกโด่งๆราวจงอยปากของพญาอินทรีของเขาแลดูโดดเด่นสะดุดตาเหลือเกิน
“ท่านรู้จักข้ารึ?” ซูฉางอันเอ่ยปากถามขึ้นในที่สุดเขาจำไม่ได้ว่าตนเคยรู้จักชายชราคนนี้มาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าชายชรารู้จักตนซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก
“คุณชายซูเป็ถึงยอดอัจฉริยะที่ครองอันดับหนึ่งของอันดับมนุษย์ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร” ชายชราเ้าของจมูกโด่งตอบกลับมาโดยพูดเน้นคำว่า ‘อันดับหนึ่ง’ ด้วยเสียงหนักๆ เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์คนอื่นๆที่อยู่รอบข้างต่างก็ประกายความรู้สึกไม่พอใจออกมาทางสีหน้า ขึ้นอยู่กับว่าใครจะแสดงออกมามากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น พวกเขาดูออกั้แ่แวบแรกแล้วว่าซูฉางอันมีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตเท่านั้นทว่าทุกคนที่มีสิทธิ์ได้นั่งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ล้วนเป็ยอดอัจฉริยะที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีด้วยกันทั้งสิ้น แต่ซูฉางอันที่มีพลังเพียงระดับหลอมจิตกลับได้อยู่เหนือกว่าพวกเขาทั้งหลายแล้วเช่นนี้ มีหรือที่หนุ่มๆ สาวๆ จอมผยองทั้งหลายจะพอใจ?
ซูฉางอันไม่คิดว่าสิ่งที่ชายจมูกโด่งพูดมามีเหตุผลเลยสักนิดแต่เขาก็ไม่อยากจะถกเื่นี้ให้ลึกลงไปกว่านี้เพราะเขารู้สึกสนใจเื่อื่นมากกว่า ซูฉางอันมองดูชายชราแล้วกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ศิษย์ใหม่ที่มีอายุมากเช่นนี้หายากยิ่งนัก”
น้ำเสียงของซูฉางอันแลดูจริงใจเป็อย่างมากมากจนไม่อาจตั้งข้อสงสัยใดๆ ได้เลยราวกับว่าเขารู้สึกยกย่องในความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของชายจมูกโด่งจากใจจริงอย่างไรอย่างนั้น
เป็จริงดังนั้นซูฉางอันรู้สึกยกย่องชายชราตรงหน้าจากใจจริง ทว่าศิษย์ที่นั่งอยู่รอบๆกลับไม่คิดเช่นนั้น ชายชราเ้าของจมูกอินทรีเอง ก็ยิ่งไม่เชื่อไปใหญ่เลย
ดังนั้นหลังความเงียบงันเกิดขึ้นเป็เวลาสั้นๆ ก็มีเสียงหัวเราะปะทุออกมาจากกลุ่มคนอย่างรวดเร็วทว่าเพียงครู่เดียว เสียงหัวเราะก็เงียบลงอีกครั้ง เพราะจู่ๆชายชราก็มีสีหน้าบึ้งตึงและเย็นะเืมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเพราะชื่อเสียงเื่ความโเี้ที่เขามีในเมืองฉางอัน ศิษย์ทั้งหลายจึงรู้โดยทั่วกันว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาจึงไม่มีใครกล้าหักหน้าชายชราผู้นี้
แม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้เองก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดทันทีที่ซูฉางอันพูดประโยคนั้นออกมานางรู้จักศิษย์น้องของตัวเองดีกว่าใคร แม้เขาจะดูใสซื่อบริสุทธิ์แต่ทุกครั้งที่ถกเถียงกับผู้อื่น ซูฉางอันก็มักจะพูดอะไรที่น่าใออกมาเสมอเพียงแต่ ในตอนที่เขาพูดคำเ่าั้ออกมา ใบหน้าของเขาก็แลดูจริงจังเหลือเกินจริงจังจนดูไม่ออกเลย ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“หึๆ” ในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงหัวเราะที่คล้ายเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นภายในห้องโถงที่เงียบสงัด ทำให้ผู้คนภายในโถงเพ่งสายตาไปยังที่มาของเสียงอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาพบว่า สตรีในอาภรณ์บางๆ สีขาวกำลังเดินตรงไปที่ซูฉางอันอย่างเชื่องช้า ร่างนั้นมีสัดส่วนโค้งเว้าอย่างงดงามแลดูสูงโปร่ง ปากแดงฉ่ำ ฟันขาวประดุจหิมะ ดวงตาสุกใสราวกับสายธาราทว่าก็แฝงไปด้วยความน่าเย้ายวนใจเส้นผมสีดำที่มัดสูงเป็ทรงหางม้าคล้อยลงไปทางด้านหลังอย่างเป็ธรรมชาติทำให้นางแลดูสง่างามและเด็ดเดี่ยวขึ้นมาก
ทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้นสายตาทุกดวงภายในห้องก็ถูกร่างบางดึงดูดไปจนหมดแต่ดูเหมือนนางจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงมองมายังซูฉางอันด้วยรอยยิ้มสดใสและก้าวเข้ามาหาเขาอย่างต่อเนื่อง
ซูฉางอันมีสีหน้าประหลาดไปเล็กน้อยผิดกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่มีสีหน้าบูดบึ้งลงมาก
นางเดินมาหยุดอยู่ในจุดที่ห่างจากซูฉางอันเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตรในที่สุดพลันกลิ่นหอมที่นุ่มละมุนอย่างยากจะอธิบายก็กระจายเข้ามา
“คุณชายซู ไม่ได้เจอกันนานเลย” หญิงคนนั้นกล่าวขึ้น
“ก็ไม่ได้นานขนาดนั้นนี่” ซูฉางอันตอบ เขาหลบสายตาไม่กล้ามองสบตากับหญิงตรงหน้า
หญิงคนนี้ก็คือกู่เซี่ยนจวินจิ้งเทียนโหวแห่งตระกูลกู่ จากดินแดนทางเหนือนั่นเอง!
“แบบนี้ก็แสดงว่าข้าพะวงถึงท่านอยู่ข้างเดียวสินะ” กู่เซี่ยนจวินประกายความเศร้าเสียใจขึ้นทางสีหน้าแลดูน่าสงสารเสียจริง
กู่เซี่ยนจวินแตกต่างไปจากซูฉางอันแม้ทั้งสองจะมาจากดินแดนทางเหนือเหมือนกันแต่ความงามและพร์อันยอดเยี่ยมของนางเป็ที่ลือเลื่องไปทั่วแผ่นดินต้าเว่ยมีหนุ่มชนชั้นสูงแห่งแผ่นดินต้าเว่ยตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ที่ยกให้นางเป็นางในฝัน เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวที่นางเดินทางมาที่เมืองฉางอันทำให้หนุ่มๆ ที่แอบชอบนางบ้าคลั่งไปตามๆ กันมีหนุ่มชนชั้นสูงไปขอพบนางถึงที่หน้าบ้านตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แต่ทุกคนก็ต้องกลับมาพร้อมกับความผิดหวัง มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะโชคดีได้พบเจอกับนาง แค่ได้เจอนางเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้หนุ่มๆเ่าั้มีหน้ามีตาในกลุ่มเพื่อนๆ ขึ้นมากโขแล้ว
แต่มาบัดนี้ซูฉางอันกลับมีท่าทีราวรู้จักกับกู่เซี่ยนจวินมานานแสนนานรังสีแห่งความไม่พอใจที่คนรอบๆ ส่งไปยังซูฉางอันจึงรุนแรงและเพิ่มมากขึ้นทันตา
ทว่าซูฉางอันกลับไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิดเขาอายุสิบหก ซึ่งเป็วัยที่เริ่มรู้จักกับความรักแล้วและเขาก็มีหญิงที่ชอบอยู่แล้วเช่นกัน ดังนั้น เขาย่อมชอบที่จะอยู่ใกล้ๆผู้หญิงสวยๆ เป็ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่ของเขา เซี่ยโหวฟ่งอวี้นางเป็หญิงที่งดงามมาก กู่เซี่ยนจวินก็เช่นกัน นางสวยกว่าโม่โม่สวยกว่าศิษย์พี่ด้วยซ้ำ แต่ซูฉางอันกลับไม่ชอบที่จะอยู่กับนางเลยสักนิด
ในวันนั้นเพื่อไม่ให้ฐานะของตนถูกเปิดเผยและทำให้ซูฉางอันเดือดร้อนวู๋ถงจึงลบความทรงจำของทุกคนลงจนหมดจากนั้นซูฉางอันก็สร้างเื่หลอกทุกคนว่ามีคนลึกลับเข้ามาช่วยพวกเขาเอาไว้ซึ่งทุกคนก็ปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ประการที่หนึ่งเพราะพวกเขารอดพ้นจากความตายมาได้จริง ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะได้รับาเ็สาหัสแต่ทุกคนก็รอดชีวิตมาได้ ส่วนประการที่สอง...ทุกคนต่างก็คิดว่าซูฉางอันไม่มีเหตุผลที่ต้องสร้างเื่เพื่อหลอกพวกเขานั่นเอง
แต่ไม่รู้ว่าเป็เพราะวิชาของวู๋ถงเกิดปัญหาขึ้นหรือกู่เซี่ยนจวินคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นกันแน่เพราะนางมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเื่ในคืนนั้นอยู่มากมายเอาแต่เค้นถามซูฉางอันอยู่นั่นแหละ แม้ซูฉางอันจะพูดกลบเกลื่อนออกไปแต่ั้แ่นั้นเป็ต้นมา นางก็มีท่าทีคลุมเครือทำท่าราวมีใจให้ซูฉางอันอย่างไรอย่างนั้น ซูฉางอันจึงรู้สึกว่ากู่เซี่ยนจวินต้องรู้เื่ในวันนั้นไม่มากก็น้อยแน่ๆดังนั้นตลอดการเดินทางต่อจากนั้น ซูฉางอันจึงมักจะยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมาอ้างเพื่อเลี่ยงการอยู่กับกู่เซี่ยนจวินมาโดยตลอด ด้วยเกรงว่าหากพูดกับนางมากเท่าไรก็จะยิ่งส่อพิรุธออกมาให้เห็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอนางอีกครั้งในงานหลอมดาวครั้งนี้
“โหวเยน้อยแห่งตระกูลกู่ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่ยืนอยู่ข้างกันพูดขึ้น
“นี่มันองค์หญิงฟ่งอวี้นี่นาได้ข่าวว่าท่านได้เข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานแล้ว ยินดีด้วย” กู่เซี่ยนจวินทำท่าราวเพิ่งสังเกตเห็นเซี่ยโหวฟ่งอวี้นางประกายความตกตะลึงขึ้นทางใบหน้า แม้ปากจะพูดแสดงความยินดีออกมาแต่น้ำเสียงกลับไม่มีร่องรอยของความยินดีแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อยทว่ามันกลับแฝงไปด้วยรังสีแห่งการเยาะหยันที่น่าประหลาดต่างหาก
เซี่ยโหวฟ่งอวี้มีสีหน้าบูดบึ้งลงไปมากนางไม่ชอบกู่เซี่ยนจวิน หรือจะพูดให้ถูกก็คือ นางเกลียดกู่เซี่ยนจวินมากพวกนางทั้งสองคน คนหนึ่งเป็องค์หญิงแห่งแผ่นดินต้าเว่ยส่วนอีกคนก็เป็คุณหนูผู้สูงศักดิ์ของดินแดนทางเหนือ เรียกได้ว่าทั้งสองเป็สตรีวัยรุ่นที่สูงส่งมากที่สุดของแผ่นดินต้าเว่ยเลยทีเดียว
เพราะมีฐานะที่ใกล้เคียงกันทั้งยังมีรูปโฉมที่งดงามด้วยกันทั้งคู่ทั้งสองจึงถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่เป็ประจำและแม้เซี่ยโหวฟ่งอวี้จะมีพร์ด้านการฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมมากทว่ากู่เซี่ยนจวินที่เก่งผิดมนุษย์มนากลับยอดเยี่ยมยิ่งกว่านางก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับเก้าดาราั้แ่สองปีก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่าเมื่อไม่นานที่ผ่านมา นางก็สามารถก้าวข้ามระดับเก้าดาราแล้วเลื่อนขึ้นไปอยู่ในระดับอรุณรุ่งได้สำเร็จแล้วด้วยนั่นทำให้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่ยังคงกระเสือกกระสนอยู่ในระดับเก้าดารารู้สึกราวถูกซ้ำเติมรู้สึกคล้ายมีใครเอาค้อนมาตีหัวเช่นนั้น
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ใช้ชีวิตอยู่ในเงาของกู่เซี่ยนจวินมาั้แ่เล็กจนโตตอนที่อาจารย์สอนกระบี่ชมว่านางเป็ยอดอัจฉริยะกู่เซี่ยนจวินก็มีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตแล้ว พอนางก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับหลอมจิตได้ไม่นานกู่เซี่ยนจวินก็ไต่ขึ้นไปเป็นักรบระดับเก้าดาราเสียแล้ว แล้วมาตอนนี้นางต้องทนลำบากมามากมาย กว่าจะก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเก้าดาราได้ทั้งยังได้เข้าไปศึกษาในสำนักเทียนหลาน ได้เป็ศิษย์ของอวี้เหิงตามที่้าแต่ก็ดันมาพบว่ากู่เซี่ยนจวินกลายเป็ยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งเสียแล้ว
เซี่ยโหวฟ่งอวี้คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับเื่ชื่อเสียงที่ไร้ความหมายพวกนั้นแต่การที่ต้องเติบโตภายใต้เงาของคนอื่น ก็ยังทำให้นางทำใจให้มีความสุขไม่ได้เลยทั้งยังทำใจให้ญาติดีกับสตรีผู้นี้ไม่ได้อีกด้วย