อวิ๋นซีกับจวินเหยียนเสาะหาบริเวณที่มีหน้าผาทึบในส่วนลึกของเขาเสี่ยวหยาง ทว่าช่างน่าเสียดายที่เดินหาไปมากกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังหาหน้าผาทึบไม่เจอ ยามนี้จวินเหยียนยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เขามองไกลไปทั้งสี่ทิศ จากนั้นจึงกล่าวว่า “เขาเสี่ยวหยางไม่เสียทีที่ถือเป็หนึ่งในเขาที่อันตรายที่สุดของหานโจว เขาทึบ ทางเดินยากลำบาก ไม่ว่าจะเดินไปทิศทางใด ทิวทัศน์ที่เห็นก็ราวกับพิมพ์เดียวกันไปหมด”
“หากเจอทางน้ำไหลก็น่าจะพบร่องผาลึก” อวิ๋นซีมองดูเขาพลางกล่าวเรียบๆ
จวินเหยียนหัวเราะ “ใกล้ๆ นี้หาที่ที่มีน้ำไหลเจอยากยิ่งนัก” สิ่งที่นางสามารถคิดออก เขาเองก็คิดออกเช่นเดียวกัน ดังนั้นตลอดทางมานี้เขาจึงตั้งใจมองไปรอบๆ เพื่อหาว่ามีแหล่งน้ำไหลอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่
อวิ๋นซีถีบตัว โผนขึ้นสู่บนยอดไม้ จากนั้นก็มองไปรอบทิศที่เต็มไปด้วยป่ามืดทึบ นางทอดมองไปไกล ก่อนที่สุดท้ายจะค่อยๆ ร่อนกายลงบนพื้นอย่างมั่นคง “ฉินเหยียน หากเดินลึกเข้าไปด้านใน ป่าก็จะยิ่งรกทึบขึ้น แสงสว่างที่พาดผ่านแมกไม้ก็จะยิ่งน้อยลง”
“ไปเถอะ มีข้าอยู่ รับรองจะไม่ให้เ้าต้องาเ็” เมื่อพูดจบเขาก็ร่อนกายลงมายืนข้างนาง “ที่หานโจวนี้นอกจากเขาเสี่ยวหยางนี่แล้วก็ยังมีเขาฉีผิงที่มีลักษณะพื้นที่คล้ายกัน หากเดินลึกเข้าไปแล้ว ย่อมยากที่จะออกมาได้”
เขามองดูสตรีข้างกายแล้วพูดขึ้นเรียบๆ “ทว่าด้านในนั้นกลับมีสมุนไพรอยู่เยอะมาก”
อวิ๋นซีได้ยินก็เสมองเขา “ท่านแน่ใจนะว่าสิ่งที่ท่านเห็นคือสมุนไพรที่ให้คุณมิใช่สมุนไพรพิษ? ”
“สมุนไพรพิษก็คือสมุนไพร” สิ่งหนึ่งใช้ช่วยคน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งใช้ฆ่าคน ทว่าในสายตาเขาแล้ว ทั้งสองสิ่งมิได้ต่างกัน
เขาเดินอยู่ด้านหน้าและคอยฟังเสียงสิ่งต่างๆ ที่รอบด้านด้วยเกรงว่าฝูงหมาป่าจะเข้าโจมตี
อวิ๋นซีเองก็ระมัดระวังยิ่ง หากมิใช่เพราะเชียนเย่หลิงต้านมีอยู่แค่ที่เขาเสี่ยวหยางนี้ นางก็ไม่คิดอยากจะมายังสถานที่เช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ จู่ๆ เมฆดำก็แผ่กระจายเต็มฟ้า จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องที่ดังสนั่น กระแสลมแรงที่พัดพาให้ต้นไม้ในเขาสั่นไหวโงนเงน บรรยากาศเช่นนี้คลับคล้ายว่าพายุกำลังจะมาเยือน
จวินเหยียนมองดูนาง พูดเสียงเรียบ “หาที่หลบฝนเถอะ”
คนทั้งสองเดินหาอยู่เป็นาน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่พบแม้กระทั่วถ้ำที่ให้หลบฝน ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าฝนมีท่าทีจะเทลงมาแล้ว จวินเหยียนก็ไม่รอช้ารีบถอดเสื้อนอกของตนออกมา และยกขึ้นสูงบังไว้เหนือศีรษะของอวิ๋นซี “ต้องรีบหาที่หลบฝน ฟ้าผ่าเช่นนี้อันตรายเกินไป”
ทันทีที่เพิ่งพูดจบ ฝนก็เทลงมา อวิ๋นซีมองดูมือที่ยืดสูงอยู่เหนือศีรษะตน นางเม้มปากแน่น จากนั้นก็พูดอย่างเ็า “เอามือลงแล้วรีบไปกันต่อเถิด”
เมื่อพูดจบ นางก็เดินนำหน้าไป การกระทำของเขาทำให้ในใจนางถึงกับสั่นสะท้าน เดิมทีนางคิดมาตลอดว่าใจของตนยามนี้คงเ็า ไร้ซึ่งความรู้สึกใดด้วยตั้งใจจะไม่หวั่นไหวเพราะสิ่งใดอีกทั้งนั้น ทว่าการกระทำเพียงเล็กน้อยของจวินเหยียนกลับทำให้ใจนางเป็ต้องสั่นไหว
ในชาติก่อนนางยังคงจดจำได้ดี นางได้ออกท่องเที่ยวใน่ฤดูใบไม้ผลิที่นอกเมืองกับลู่หลิงฉิงในปีหนึ่ง ระหว่างนั้นจู่ๆ ก็มีฝนเทลงมาดังเช่นในยามนี้ และในตอนนั้นเองเป็โอวหยางเทียนหัวที่รีบมาหาพร้อมร่มหนึ่งคัน ซึ่งสุดท้ายก็เป็เขาที่ยกร่มคันนั้นให้ตนกับลู่หลิงฉิง ส่วนเขาก็ยอมตากฝนจนเปียกปอน
ตอนนั้นนางซาบซึ้งน้ำใจเสียจนอยากจะหลั่งน้ำตา ย้อนไปตอนมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน เพื่อที่ตนจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น นางจึงเป็คนที่รู้จักแต่ร่ำเรียน หาได้รู้เื่รู้ราวทางโลกใดๆ ทั้งยังไม่มีใครเคยพร่ำสอนนางเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต จนกระทั่งถึงวัยทำงาน ตัวนางก็ยังไม่เคยแม้แต่จะได้ลิ้มลองรสชาติของการมีความรัก ด้วยเหตุนี้ในชาติต่อมาเมื่อได้พบกับความอ่อนหวานของชายหนุ่มเข้า นางจึงได้ลุ่มหลงโอวหยางเทียนหัวถึงเพียงนั้น
เมื่อได้รู้สึกรัก นางก็ยินดีสละได้แม้กระทั่งหัวใจตน
ตอนนี้เมื่อหวนนึกถึงอีกครา เื่ราวทั้งหมดช่างเป็เื่ที่น่าขำ ในครานั้นที่เขายินดีมอบร่มให้ตนและลู่หลิงฉิง คนที่ซาบซึ้งใจคงไม่ได้มีเพียงตนคนเดียวเท่านั้น แต่คิดว่าั้แ่ครั้งนั้น หัวใจของลู่หลิงฉิงก็คงหวั่นไหวให้อีกฝ่ายด้วยกระมัง
โอวหยางเทียนหัวใช้ร่มหนึ่งคัน่ชิงหัวใจของสตรีไปได้ถึงสองนาง เช่นนั้นแล้วโอวหยางจวินเหยียนเล่า? เขาเองก็อยากเลียนแบบการกระทำนั้นของพี่ชายตนเช่นกันใช่หรือไม่? ใช้ลูกไม้เดียวกันงั้นหรือ? นางแค่นเสียงเ็าในใจ ความซาบซึ้งเล็กๆ เมื่อครู่หายไปเป็ปลิดทิ้ง
คนตระกูลโอวหยางมักเชื่อไม่ได้
คนทั้งสองเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ แต่เนื่องจากฝนฟ้ายังคงเทลงมาและเมฆที่ลอยล่องยังคงครึ้มสนิท ทัศนวิสัยโดยรอบจึงไม่ดีเท่าไรนัก ทำให้ท้ายที่สุดจึงเป็อวิ๋นซีที่เหยียบพลาด และร่างทั้งร่างร่วงหล่นลงไปในหลุม จวินเหยียนที่เดินตามหลังมาเมื่อได้เห็นอวิ๋นซีตกลงไปเบื้องล่างต่อหน้าต่อตาตน เขาก็ไม่รีรอรีบเดินหน้าเข้าไปดู ก่อนจะพบว่าด้านล่างนั้นทั้งลึกและมืดสนิทจนมองไม่เห็นก้น
“อาซี… ซีซี” เขาะโเรียกเสียงดัง ทว่าเสียงฟ้าร้องและเสียงฝนกลับกลบสิ้นทุกสุรเสียง เขาขบคิดเพียงชั่วลัดนิ้วแล้วจึงะโตามลงไป เพียงไม่กี่อึดใจร่างใหญ่หนาก็ตกลงไปอย่างรวดเร็ว...ก่อนจะพบว่าตนเองตกลงมาในน้ำ
ชั่วขณะนั้นเขาแปลกใจ เหตุใดตนจึงตกลงมาในน้ำได้? หรือว่านี่จะเป็บ่อน้ำลึก? แต่ว่า ในป่าทึบเช่นนี้ ใครจะมาขุดบ่อน้ำไว้ที่นี่กัน? ในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่นี่เอง เสียงของอวิ๋นซีก็ดังขึ้น “หากท่านอยากจะกลายเป็อาหารในท้องของปลากินคน ท่านก็อยู่ในน้ำต่อไปเถอะ”
เมื่อได้ยินเสียงของอวิ๋นซี เขาถึงได้มองไปรอบๆ ท่ามกลางความมืดมิด ก่อนที่สุดท้ายจะหยุดสายตาลงบนร่างของอวิ๋นซีที่อยู่บนฝั่ง เขารีบว่ายน้ำไปยังทิศทางนั้นเพื่อปีนป่ายขึ้นไปบนฝั่ง จากนั้นจึงรีบร้อนถาม “ซีซี เ้าาเ็ตรงไหนหรือไม่? ”
อวิ๋นซีได้ยินแล้วก็ตอบเพียงเรียบๆ ว่า “ข้าไม่เป็ไร”
เมื่อจวินเหยียนขึ้นฝั่งมาแล้ว เขาก็หยิบหินไฟมาจากในห่อที่พกติดตัวอยู่เสมอ เมื่อจุดไฟแล้วถึงได้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างได้อย่างชัดเจน เขาเลิกคิ้วแล้วจึงพูด “คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีแม่น้ำอยู่ใต้ดิน”
อวิ๋นซีพยักหน้า “อืม ไม่รู้ว่าแม่น้ำใต้ดินนี้มุ่งไปยังที่แห่งใด” ตัวนางเองก็ยังคิดว่าประหลาดเช่นกันที่ในเขาเสี่ยวหยางนี้มีแม่น้ำใต้ดินอยู่หนึ่งสาย พิศไปแล้วแม่น้ำนี้นับว่ากว้างใหญ่อยู่พอตัว ทว่าแผนที่ภูมิประเทศของภาคตะวันตกเฉียงเหนือกลับไม่ได้มีบันทึกเกี่ยวกับแม่น้ำสายนี้ไว้
จวินเหยียนคาดเดาถึงสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ในใจออก จึงช่วยไขความกระจ่างด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไม่ต้องคิดให้มากความหรอก แม่น้ำใต้ดินสายนี้ไม่ได้มีบันทึกไว้ บางทีพวกเราอาจเป็คนแรกๆ ที่ได้ค้นพบการมีอยู่ของมัน”
นางสูดหายใจลึกโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ในเมื่อจวินเหยียนยังกล่าวเช่นนี้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งล้วนเป็เช่นนั้นจริงๆ เพราะเขาคือหานอ๋องผู้ที่คุ้นเคยกับหานโจวมากที่สุด หากแม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่อาจทราบว่ามีแม่น้ำผุดอยู่ใต้ดิน ดังนั้นคนทั่วไปก็คงไม่มีใครทราบอีกแล้วจริงๆ
“พวกเราจะเดินไปตามทางน้ำไหล หรือว่า...? ” อวิ๋นซีมองเขา แล้วเอ่ยถาม
จวินเหยียนพิจารณาเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของอวิ๋นซี แล้วจึงเสนอ “หาที่ตากเสื้อผ้าให้แห้งแล้วค่อยไปเถอะ” เมื่อพูดจบ เขาก็หันมองรอบทิศทาง ก่อนจะพบว่าสิ่งที่จะช่วยให้จุดไฟได้ ณ ที่แห่งนี้มีอยู่ไม่มากนัก
อวิ๋นซีดึงๆ ชายเสื้อเขา “ไปกันต่อเถอะ ในสถานที่เช่นนี้ใครจะรู้ว่า...” ยังไม่ทันได้พูดจบ นางก็มองเห็นว่าขอบหินผาที่ตนตกลงมาเมื่อครู่มีดอกไม้สีแดงราวกับเปลวไฟกำลังเบ่งบานอยู่ นางส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น “เชียนเย่หลิงต้าน”
จวินเหยียนมองไปตามสายตาของนางพร้อมชูมือที่มีไฟให้สูงขึ้น กระทั่งมองเห็นสิ่งที่ขวนขวายตามหามานาน จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ซีซี มิคาดว่าเพียงเ้าล้มลงหนึ่งหน กลับปรากฏเชียนเย่หลิงต้านอยู่เบื้องหน้า”
พวกเขาเสาะหามาเนิ่นนาน แต่ก็หาร่องผาลึกไม่เจอ ทว่าเพียงอวิ๋นซีตกลงมายังสถานที่แห่งนี้ คนก็ถึงกับได้เจอกับเชียนเย่หลิงต้าน ทั้งยังได้ค้นพบแม่น้ำใต้ดินแห่งใหม่อีกด้วย
“สถานที่แห่งนี้ช่างน่าพิศวง อย่างไรพวกเราก็รีบเด็ดเชียนเย่หลิงต้าน แล้วรีบไปจากที่นี่กันเถอะ” อวิ๋นซีมองดูรอบทิศก็ให้รู้สึกขนลุกราวกับมีบางสิ่งกำลังจดจ้องมองพวกตนอยู่ในที่ลับอย่างไรอย่างนั้น
“เ้าบอกข้ามาว่าต้องเด็ดอย่างไร ประเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปเอง” จวินเหยียนมองดูเชียนเย่หลิงต้านที่อยู่บนชะง่อนหินผาแล้วถามเสียงเบา นี่เป็หนึ่งในสมุนไพรที่จะช่วยชีวิตหวานหว่านได้ หากเป็ในยามปกติ เขาคงให้คนที่รู้จักเชียนเย่หลิงต้านนี้เป็อย่างดีขึ้นไปเด็ดเพื่อจะได้เก็บกลับมาอย่างไม่เสียหาย ทว่าในยามนี้สมุนไพรชนิดนี้กลับอยู่สูงยิ่งนัก เขาจึงกลัวว่าอวิ๋นซีจะได้รับาเ็