เมื่อจวินเหยียนออกไป เขาก็กลับมาอีกที่ต้นยามไห่ [1] ในตอนนั้นอวิ๋นซีที่อาบน้ำชำระกายเรียบร้อยและเตรียมตัวจะพักผ่อนแล้ว เมื่อได้เห็นคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น นางก็ถึงกับอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าท่านออกไปแล้วหรือ? เหตุใดจึงได้กลับมาเร็วถึงเพียงนี้? ”
ก่อนหน้านี้นางนึกไปว่าเขาจะไม่กลับมานอนที่นี่แล้ว ดังนั้นในตอนที่เห็นเขาอยู่ในห้องจึงใเป็อย่างยิ่ง ถึงขนาดรู้สึกต้องเว้นระยะห่างเล็กน้อย หญิงชายไร้พันธะอยู่ร่วมกันในห้องเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะสม
จวินเหยียนยิ้มบางๆ “เห็นข้ากลับมาแล้ว เ้ากลับไม่ชอบใจหรือ? ”
นางไม่คิดที่จะปิดบัง รีบพยักหน้าแล้วตอบคำ “ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เห็นท่านกลับมา ข้ายิ่งไม่พอใจ” การได้อยู่ในห้องเพียงลำพังดีจะตาย ตอนนี้พอต้องเป็เช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด ทั้งยังลอบสาบานในใจว่าวันหน้าจะไม่ปลอมตัวเป็สามีภรรยากับบุรุษผู้นี้อีกแล้ว หากต้องออกมาด้านนอก นางจะแต่งกายเป็ชาย
“เห็นเ้าไม่พอใจ ข้าก็วางใจแล้ว” เขายิ้มบางจากนั้นก็ถอดเสื้อนอกออก และเดินไปหยิบเบาะและผ้าห่มที่วางไว้อีกด้าน ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่ตั่ง “ห้องพักอย่างดีในโรงเตี๊ยมเช่นนี้ล้วนมีเบาะและผ้าห่มให้ ดังนั้นเ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะไปนอนบนเตียงเดียวกับเ้า”
อวิ๋นซีเห็นท่าทางของเขาเป็เช่นนี้ มุมปากก็ถึงกับกระตุก จากนั้นนางก็หัวเราะ “ไม่ร่วมเตียงเดียวกับข้านั้นดีที่สุดแล้ว” เมื่อเื่ราวจบลงด้วยดี นางก็ห่มผ้านอนหลับอย่างเป็สุข
ทว่าอันที่จริงคืนนี้นางนอนไม่หลับแม้แต่น้อย ทำให้เช้าวันต่อมา สีหน้าท่าทางนางไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก และทันทีที่ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น เขาก็เลิกคิ้วถาม “ท่าทางเ้าเป็เช่นนี้ยังจะไปเขาเสี่ยวหยางได้อีกหรือ? ”
“วางใจเถอะ ข้าไหว” นางไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปอีกวันหนึ่ง และ้าเพียงจัดการเื่นี้ให้เสร็จสิ้นโดยไวเพื่อจะได้กลับบ้านโดยเร็ว เพราะหากยังต้องอยู่ร่วมห้องกับบุรุษผู้นี้ต่อไป นางก็เกรงว่าตนคงจะสติแตกเป็แน่
พวกเขาทั้งคู่ขี่ม้าไปยังเขาเสี่ยวหยาง ซึ่งนี่ก็เป็ครั้งแรกที่จวินเหยียนได้เห็นทักษะการขี่ม้าของนางจนอดสงสัยไม่ได้ว่าที่บ้านอวิ๋นซานไม่มีแม้กระทั่งม้า ทว่าทักษะการขี่ม้าของอวิ๋นซีกลับดีถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะมองจะคิดอย่างไรล้วนรู้สึกว่าประหลาดทั้งสิ้น
ละจากอำเภอโจวไปยังเขาเสี่ยวหยาง คนทั้งสองต้องใช้เวลาขี่ม้ากว่าหนึ่งชั่วยามและเมื่อไปถึงตีนเขาเสี่ยวหยาง อวิ๋นซีจึงรู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว “พวกเราพักกันก่อนแล้วค่อยขึ้นเขาเถิด”
พื้นฐานร่างกายของร่างนี้นับว่าไม่เลวเลย ทว่าการขี่ม้าก็ยังถือเป็เื่ที่กินแรงยิ่ง นางยืนดื่มน้ำอยู่ใต้ร่มไม้ จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อหลายปีก่อนก็เคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น ตอนนั้นโอวหยางเทียนหัวตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรู เมื่อนางได้รับข่าวก็มิได้หวั่นกลัวความเหนื่อยยาก เร่งรุดเดินทางมายังแนวหน้า จากนั้นก็ติดตามพี่ชายแฝงตัวเข้าไปในกองทัพศัตรูและช่วยโอวหยางเทียนหัวออกมาได้สำเร็จ
ปีนั้นนางอดทนต่อความเ็ปจากต้นขาทั้งสองข้างเพื่อเข้าช่วยเหลือบุรุษแซ่โอวหยาง ทว่าวันนี้ตัวนางเองก็กำลังฝืนทนนำพาร่างที่ไม่สบายมายังเขาเสี่ยวหยางเพื่อค้นหาสมุนไพรนำไปทำยาถอนพิษช่วยจวิ้นจู่น้อยของตระกูลโอวหยาง นางแค่นเสียงเ็า ผ่านพ้นมาอีกชีวิตก็ยังคงวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็คนตระกูลโอวหยางที่ดับชีวิตคนตระกูลเฉียวกว่าหลายร้อยชีวิต สุดท้ายกลับเป็นางที่ออกตามหาสมุนไพรเพื่อช่วยโอวหยางหวานหว่าน
เื่ทั้งหลายบนโลกนี้ช่างน่าเยาะหยันใครสักคนเสียจริง
ในเวลาเดียวกันนั้น จวินเหยียนสังเกตเห็นรอยยิ้มของนางทำให้ในใจรู้สึกประหลาดยิ่ง เหตุใดนางถึงได้เผยรอยยิ้มเ็าเช่นนี้ออกมา? หรือว่านางกำลังคิดถึงเื่อะไรที่ทำให้ตนไม่มีความสุขถึงขนาดที่ต้องเยาะหยันตัวเองเช่นนั้นออกมา?
เขาค้นพบว่า นางแอบซ่อนเื่ราวไว้มากมายจริงๆ
“ซีซี ไปได้หรือยัง? ” เขาตบๆ ม้าของตนเองเบาๆ จากนั้นก็พูดต่อ “ไปกันเถิด”
เมื่อเขาส่งเสียงออกคำสั่ง ม้าทั้งสองตัวก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางอื่น ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีเห็นเป็เช่นนั้นจึงรีบถาม “พวกมันวิ่งไปหมดแล้ว แล้วเราจะกลับอย่างไรหลังจากที่เก็บสมุนไพรเสร็จ? ”
“จิงเฟิงและจี๋เฟิงล้วนฉลาดยิ่ง พวกมันไม่ไปไหนไกลหรอก” พูดจบเขาก็หันมองนาง “เ้าเล่า ไปได้หรือยัง? ” สตรีผู้นี้ช่างกล้านัก นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่เขาต้องเอ่ยถามซ้ำ
นางพยักหน้า “ไปเถอะ” หากให้ยืนอยู่เช่นนี้ย่อมนับว่าเสียเวลาเปล่า ดังนั้นค่อยๆ เดินไปก็แล้วกัน
แม้เขาจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ก็ยังมองออกว่าสตรีที่ยืนอยู่เคียงข้างดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาครุ่นคิดเพียงครู่แล้วจึงกล่าว “วิชาตัวเบานับว่าไม่เลว ทว่าพละกำลังยังต้องฝึกฝนเพิ่ม หากเ้าต้องพบเจอคนที่มีวรยุทธ์แกร่งกล้า ตัวเ้าคงหลบไม่พ้นและต่อกรด้วยไม่ได้”
อวิ๋นซีมองดูเขา ต่อให้จะรู้ว่าที่เขากล่าวมานั้นถูกต้อง แต่ก็ยังอดตอกกลับไปเรียบๆ ประโยคหนึ่งไม่ได้ “ใครๆ ก็หวังจะเหาะเหินเดินบนหลังคา ข้ามกำแพง หรือต่อสู้ได้ด้วยกันทั้งนั้น หากข้ามีวรยุทธ์ดังเช่นท่านก็คงไม่ต้องเปลืองแรงวางแผนล่อลู่เหวินเจิ้นเช่นนี้หรอก เพราะหากข้าเก่งกาจ เพียงลอบเข้าไปจวนตระกูลลู่กลางดึกและจัดการเขาเสียก็สิ้นเื่แล้ว”
เมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังของนาง เขาก็ยิ้มให้บางๆ “วันหน้าข้าจะสอนวรยุทธ์เ้า ต้องมีสักวันที่เ้าจะสามารถฆ่าลู่เหวินเจิ้นได้”
อวิ๋นซีมองดูเขาด้วยสายตาแปลกใจ “เขาเป็ถึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าการพูดเช่นนี้จะเหมาะสม? ” อย่างไรเสียลู่เหวินเจิ้นก็เป็นายอำเภอหานโจวที่พระบิดาเขาให้การยอมรับ แต่เขากลับกล้าบอกว่าให้ฆ่าเสีย
“ขอแค่เ้ากล้าฆ่า ข้าก็จะรับผิดชอบช่วยเ้าฝัง” เขายิ้มพลางเดินนำหน้า การที่ได้พูดคุยกับนางเช่นนี้ทำให้รู้สึกสบายใจยิ่งนัก เขาไม่จำเป็ต้องพูดจาอะไรให้อ้อมค้อมเหมือนตอนสนทนาร่วมกับเหล่าขุนนาง เขาสามารถพูดได้ทุกอย่างอย่างเปิดเผยและไร้ซึ่งความวิตกกังวล
เหมือนว่าในสายตาของนาง ฐานะหานอ๋องของเขาจะไม่มีประโยชน์เลย นางไม่เคยเกรงกลัวเขา ไม่เลยสักครั้ง
“ข้าจดจำประโยคนี้ของท่านไว้แล้ว” นางพูดเรียบๆ ประโยคหนึ่ง จากนั้นก็รีบเร่งความเร็วให้ทันเขา
พวกเขาทั้งสองไปถึงยังตีนเขาในจุดที่ไม่มีคนสังเกตเห็นแล้วจึงเปลี่ยนมาใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปจนถึงครึ่งไหล่เขาในคราวเดียว และเมื่อไปถึงครึ่งไหล่เขาแล้ว จวินเหยียนก็หยุดฝีเท้า “เชียนเย่หลิงต้านเติบโตในพื้นที่มืดทึบ เราไม่ควรขึ้นเขาไปอีกแล้ว เข้าไปในเขาเสี่ยวหยางกันเลยเถอะ”
อวิ๋นซีส่งเสียงอืมออกมาหนึ่งเสียง เขาพูดถูกต้อง เชียนเย่หลิงต้านจะเติบโตอยู่บนมุมอับมืดทึบในร่องผา ยิ่งขึ้นไป้า รัศมีที่ดวงอาทิตย์จะส่องมาถึงก็ยิ่งมีมาก อัตราการมีอยู่ของเชียนเย่หลิงต้านก็จะยิ่งลดน้อยลง ดังนั้นการเลือกเข้าไปในส่วนลึกของเขาั้แ่่บริเวณครึ่งไหล่เขานี้ถือเป็สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่ง
ถึงกระนั้นเมื่อต้องเห็นอีกฝ่ายเดินเปิดทางอยู่ด้านหน้า นางก็อดเอ่ยปากเตือนไม่ได้ “จวินเหยียน ในส่วนลึกของเขาเสี่ยวหยางมีพืชพิษร้ายแรง ดังนั้นท่านต้องระวังตัวให้มาก” อวิ๋นซีหยิบขวดกระเบื้องสีขาวออกมาและมอบให้อีกฝ่าย “ในนี้มียาถอนพิษอยู่ ขอแค่สิ่งนั้นเป็พิษธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนขับออกได้หมด”
โอวหยางจวินเหยียนหันกายกลับมามองนางด้วยสายตากระเซ้าเย้าแหย่จนนางรู้สึกเกร็งและไม่เป็ธรรมชาติ จากนั้นเขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่นี้เ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? ”
ตอนนี้เองที่อวิ๋นซีถึงได้รู้สึกตัว และนึกใ เพราะเมื่อครู่ตนเผลอเรียกขานนามบุรุษผู้นี้ว่า จวินเหยียน แค่จวินเหยียนเฉยๆ ...ยามนี้นางคลับคล้ายจะสับสนนิดหน่อยแล้ว “เป็ข้าที่ละเลยตำแหน่งและฐานะของท่านไป ต้องขออภัยเป็อย่างยิ่ง วันหน้าข้าจะระวังให้มาก”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินเช่นนั้น ในใจที่เดิมอารมณ์ดียิ่งก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “ข้าโทษเ้าเมื่อใดกัน? ข้าชอบใจนักที่เ้าเรียกข้าเช่นนี้ ดังนั้นในวันหน้าก็ให้เรียกข้าว่าจวินเหยียน และหากเรียกผิด ข้าจะลงโทษเ้า”
อวิ๋นซีได้ยินแล้วก็พูดเสียงเบา “เผด็จการ วิปริต” คราวแรกนางยังนึกไปว่าตนเรียกขานนามเขาเช่นนี้คงจะทำให้เ้าตัวไม่พอใจ อย่างไรเสียพระนามขององค์ชายหรือท่านอ๋องก็ใช่ว่าจะเรียกได้ง่ายๆ แต่เ้าหมอนี่กลับบังคับให้นางเรียกเช่นนี้?
เขากวาดตามองนางด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ซีซี อย่าบังคับให้ข้าต้องทำเื่ที่เผด็จการเลย”
อวิ๋นซีได้ยินก็กัดริมฝีปากตน สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินนำลิ่วไปอยู่ด้านหน้าชายหนุ่มแทน ในเมื่อหาเื่ไม่ได้ แล้วนางจะยังหลบไม่ได้เลยหรือ? ไม่ว่าใจคิดจะพูดสิ่งใดออกไปก็ล้วนเกรงว่าจะไปล่วงเกินเขา เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว แบบนี้คงได้กระมัง
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ยามไห่(亥时)คือ เวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม