อวิ๋นซีส่ายศีรษะ นางมองดูสภาพพื้นที่ทั้งสี่ทิศจากนั้นจึงพูดต่อ “วิธีเก็บเชียนเย่หลิงต้านนั้นถือว่าพิเศษมาก หากท่านไปและเกิดทำเสียหาย แม้จะเป็การเสียหายเพียงเล็กน้อยก็อาจได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นให้ข้าไปเองเถิด”
เมื่อพูดจบนางก็อาศัยแรงด้วยการถีบตัวจากหินขรุขระก้อนใหญ่ เพื่อทะยานขึ้นไปจนถึงชะง่อนผาที่มีเชียนเย่หลิงต้านงอกอยู่ จากนั้นจึงค่อยๆ ขุดเ้าสมุนไพรหายากนั้นอย่างระวังมือ
ตอนที่ขุดเชียนเย่หลิงต้านนั้น วิธีพิเศษที่ว่าคือการห้ามทำรากฝอยของมันขาด มิเช่นนั้นสรรพคุณทางยาก็จะลดลงเป็อย่างมาก ดังนั้น ทันทีที่อวิ๋นซีขุดเชียนเย่หลิงต้านออกมาแล้ว นางก็รีบร่อนเหินกลับลงมา โดยมีจวินเหยียนที่เตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว นำกล่องน้ำแข็งสีฟ้ามามอบให้นาง “เชียนเย่หลิงต้าน เมื่อเด็ดออกมาแล้วจำต้องเก็บรักษาไว้ในกล่องน้ำแข็งที่เย็นจัด และต้องนำไปทำยาภายในหนึ่งเดือน”
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ นางก็ได้กลิ่นที่ทำให้รู้สึกพะอืดพะอม นางกลืนน้ำลายแล้วเงยหน้ามองจวินเหยียน “ฉินเหยียน ข้าได้กลิ่นคาวลอยมา คลับคล้ายว่าจะมีงูหลามขนาดั์กำลังเข้ามาใกล้พวกเรา” ก่อนหน้านี้ที่โดนบังคับให้เรียกขานชื่อจวินเหยียน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการกระทำนี้เป็สิ่งที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งในจิตใต้สำนึกของนางเองก็ยังหวังอยากให้เขาเป็แค่ฉินเหยียนจริงๆ จึงได้ตัดสินใจเรียกขามนามปลอมๆ นี้ของเขา
เมื่อจวินเหยียนได้ยินดังนั้นก็รีบดมกลิ่มตาม จากนั้นจึงรีบลากตัวนางออกมาโดยเร็ว “ระวัง”
อวิ๋นซีถูกชายหนุ่มดึงให้หลบไปอีกทาง ทว่าจวินเหยียนที่หลบไม่พ้นกลับถูกหางขนาดใหญ่ของูตีเข้า และด้วยพละกำลังอันมหาศาลของงูหลาม ทำให้เขากระอักเืสดๆ ออกมา
ในตอนนี้เองอวิ๋นซีก็ถือโอกาสชักกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักข้างเอวของเขาออกมา และมุ่งโจมตีไปยังทิศทางของงูหลามั์ ยิ่งกว่านั้นนางยังจำได้ว่าจวินเหยียนยังคงาเ็อยู่ ทว่าเมื่อครู่นี้งูหลามบังเอิญตีเข้าที่แผลเก่าบริเวณไหล่เขาพอดี
จวินเหยียนกุมไหล่ไว้ขณะมองอวิ๋นซีพุ่งกายไปทางงูหลามอย่างไม่เกรงกลัว เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “อวิ๋นซี กลับมาเดี๋ยวนี้” สตรีผู้นี้ไม่ค่อยเชื่อฟังอะไรเลยจริงๆ เขากัดฟัน และฝืนร่างกายเพื่อพุ่งไปเบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง ในมือเขามีเพียงกระบี่สั้นที่พกติดไว้ข้างเอว
คนทั้งสองเข้าพัวพันกับงูหลามั์ คนหนึ่งอยู่ทางซ้าย อีกคนหนึ่งอยู่ทางขวา
แม้งูหลามจะร้ายกาจ แต่อย่างไรก็ยังเป็เพียงสัตว์เดรัจฉาน ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่นี้ที่มันสามารถทำร้ายจวินเหยียนได้ก็เป็เพราะเขาได้รับาเ็อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งเค่อ [1] หลังจากนั้น คนทั้งสองถึงจะสามารถจัดการกับงูหลามได้
อวิ๋นซีมองดูซากงูหลามที่จู่ๆ ก็ซวนเซ ก่อนจะล้มลงบนพื้น ชั่วขณะนั้นั์ตาของนางก็มีน้ำตาไหลเอ่อออกมา ส่วนจวินเหยียนเมื่อเห็นนางเป็เช่นนี้ก็เกิดความกังวลใจ ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้านางแล้วจึงเอ่ยถาม “ซีซี เ้าาเ็หรือ? ”
อวิ๋นซีส่ายหน้า “ข้ากลัวงูเป็ที่สุด” ์ย่อมรู้ดีว่า สิ่งที่ทำให้นางเป็ต้องพะอืดพะอมที่สุดก็คืองู หากไม่ใช่เพราะอยู่ในสถานการณ์คับขัน นางจะต้องกรีดร้องออกมาแน่
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทว่าตอนที่หลุดหัวเราะนั้น แผลที่ไหล่กลับโดนกระทบกระเทือนไปด้วย เขาขมวดคิ้วก่อนกล่าวว่า “ลุกขึ้น ข้าจะแบกเ้าออกไปเอง”
เมื่อพูดจบเขาก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้วว่า อวิ๋นซีจะปฏิเสธหรือไม่ จากนั้นจึงรีบแบกคนขึ้นหลังแล้วเดินเลียบแม่น้ำไปตามทางน้ำไหลในทันที อวิ๋นซีมองดูแผ่นหลังเขาแล้วรีบร้อนพูด “เมื่อครู่นี้งูหลามตีโดนไหล่ท่าน ข้าจำได้ว่าไหล่ท่านยังาเ็อยู่ ดังนั้นรีบวางข้าลงเถิด ขอแค่ไม่ต้องเห็นเ้าสิ่งนั้น ข้าก็ไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้แล้ว”
จวินเหยียนยิ้ม “ให้ข้าแบกไปเช่นนี้แหละ”
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีก็ไม่รู้ว่าจะให้คำจำกัดความความรู้สึกในใจของตนว่าอย่างไรดี ราวกับตอนนี้มีความรู้สึกนับร้อยที่แสนซับซ้อนสุมอยู่ในอก “ฉินเหยียน อย่าได้ทำดีกับข้ามากนักเลย ไม่แน่ว่าในวันหน้าพวกเราอาจเป็ศัตรูคู่แค้นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นเ้าลองบอกข้ามาสิว่าพวกเราจะเป็ศัตรูคู่แค้นกันด้วยเหตุใด? ” เขาถามอย่างนึกสนุก ทว่าในใจกลับขบคิดถึงถ้อยคำที่นางเพิ่งหลุดพูดออกมา เป็ศัตรูกันเช่นนั้นหรือ?
อวิ๋นซีเงียบไป และเป็นานกว่าจะกล่าวตอบ “ไม่แน่อาจเป็ความแค้นฆ่าล้างตระกูล ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าหากท่านยังคงดีกับข้านานวันเข้า ในวันหน้าท่านอาจจะต้องเสียใจแน่นอน” สิ่งที่โอวหยางเทียนหัวกระทำช่างน่าแค้นนัก นั่นก็เพราะเขาร่วมมือกับคนอื่นสร้างเื่ใส่ร้ายตระกูลเฉียว
ถึงกระนั้นฮ่องเต้เองก็เป็บุคคลที่น่าแค้นมากเช่นกัน เพราะหากไม่ใช่พระองค์ ตระกูลเฉียวคงมิต้องมีจุดจบเช่นนี้ อีกทั้งบุรุษที่กำลังแบกตนอยู่ในตอนนี้ก็บังเอิญเป็โอรสของฮ่องเต้พอดี หรือก็คือบุตรชายของคนที่สั่งฆ่าล้างตระกูลนาง
เมื่อจวินเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “งั้นหรือ ทว่าข้าสามารถบอกเ้าในตอนนี้ได้เลยว่า หากข้าปล่อยมือเ้าไปในตอนนี้ คงถึงคราวที่ข้าต้องเสียใจในภายหลังเป็แน่” เขาหยุดฝีเท้า หันศีรษะมาสบตากับนาง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “อาซี บางครั้งสิ่งที่เ้าเห็นก็ไม่แน่ว่าจะเป็ความจริง ดังนั้นเวลามองสิ่งใดหรือเื่ใด จงใช้ใจเ้ามองสิ่งเ่าั้”
อวิ๋นซีคิดว่าประโยคนี้ที่เขาพูดฟังดูแปลกประหลาดเสียเหลือเกินราวกับกำลังบอกใบ้บางสิ่งบางอย่าง แต่ว่าตอนนี้ตัวนางเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนไม่อยากจะเปลืองสมองไปขบคิดเื่นี้แล้ว
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จู่ๆ ชายหนุ่มก็เพิ่งพบว่าคนที่ตนกำลังแบกอยู่หลับไปเสียแล้ว เขายิ้มอย่างปลงๆ “เ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เชียว ไม่กลัวหรืออย่างไรว่าข้าจะทำอะไรกับเ้า? ”
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเดินเท้ามานานเพียงใดแล้ว และในตอนที่เขาเหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหวนั้นเองก็มองเห็นแสงสว่างที่เบื้องหน้า เขาก้มมองพื้นที่เฉอะแฉะ จากนั้นก็สูดลมหายใจเอากลิ่นที่สดชื่นเข้าไป ก่อนจะโค้งริมฝีปากเรียก “อาซี ยามนี้พวกเราออกมาจากแม่น้ำใต้ดินแล้ว”
หลังจากนั้นเขายังคงพูดต่อไปอีกหลายคำ แต่สตรีบนหลังกลับไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนอง ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดจะรบกวนนางด้วยนึกไปว่าคงเป็เพราะความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจึงทำให้นางยังไม่ตื่น จนกระทั่งแบกนางลงมาถึงตีนเขาและได้พบว่าที่นี่เป็หมู่บ้านเล็กๆ
และที่นี่มิใช่ตีนเขาเสี่ยวหยาง เขาคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ตนเดินเลียบริมแม่น้ำมา สุดท้ายแล้วก็โผล่มายังที่แห่งนี้ ว่าแต่ที่นี่คือที่ใดกัน? เขาเดินหาสถานที่สะอาดๆ ก่อนจะวางร่างของอวิ๋นซีลง ทว่าเป็ตอนนี้เองที่เขาเพิ่งพบว่าดวงหน้าของนางแดงก่ำราวกับคนเป็ไข้
ทันทีที่ยื่นมือไปััดวงหน้านั้น ความร้อนเบาบางก็แผ่ออกมา เขาขมวดคิ้วแล้วจึงเรียกขานเสียงดัง “อาซี อาซี” ต้องเป็เพราะก่อนหน้านี้นางต้องความเย็นเป็แน่ ทั้งยังถูกงูหลามนั่นทำให้ใอีก นางจึงได้ใเสียจนไข้ขึ้น
ชายหนุ่มหันมองรอบกาย แต่ก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใดกันแน่ แผนในหัวตอนนี้คงเป็เพียงต้องหาสถานที่ดีๆ สำหรับพักฟื้นก่อน จากนั้นก็ไปตามหาหมอเพื่อมาตรวจดูอาการของอาซี ทันทีที่วางแผนอย่างรวดเร็วในหัวเสร็จ เขาก็ไม่รอช้ารีบอุ้มนางเดินเข้าไปในหมู่บ้าน โชคดีที่มีชาวบ้านน้ำใจงามเดินเข้ามาไต่ถามเขา จวินเหยียนไม่แม้แต่จะคิด รีบกล่าวบอกคนทั้งคู่ตรงหน้า “พี่ชายทั้งสอง สตรีผู้นี้คือภรรยาข้า แท้จริงแล้วเราเป็คู่แต่งงานใหม่ เดิมทีข้าตั้งใจจะพาภรรยากลับบ้านเดิมมาเยี่ยมมารดาของนาง แต่ใครจะรู้ว่าระหว่างทางต้องเจอเข้ากับโจรป่า คนเ่าั้ปล้นชิงข้าวของของเราไปจนหมด ทั้งยังมาชอบใจภรรยาผู้งดงามของข้าอีก พวกเราสองสามีภรรยาจึงได้แต่หนีเข้ามาในป่าเขาภายใต้ความช่วยเหลือของผู้คุ้มกัน ทว่าพวกเราเดินวนไปเวียนมาในเขาแห่งนี้อยู่หลายวันแล้ว และไม่มีแม้อาหารติดกาย สุดท้ายภรรยาข้าที่ทั้งหนาวทั้งหิว คาดว่าคงถูกความเย็นเข้า ในตอนนี้ไข้จึงขึ้นสูง ไม่เห็นแววลดลงเลย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากขออาศัยค้างแรมในหมู่บ้านนี้พร้อมทั้งเชิญหมอมาช่วยตรวจดูอาการภรรยาของข้าจะได้หรือไม่”
เขามองดูสตรีในอ้อมแขนที่หน้าแดงก่ำอย่างไม่เป็ธรรมชาติ ในดวงตาปรากฏแววปวดใจและห่วงใยที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้ตัว และด้วยท่าทางนี้นี่เองที่ดูราวกับสามีแสนดีที่กำลังทุกข์ใจเพราะอาการป่วยของภรรยามิมีผิด ทำให้คนอื่นที่ได้เห็นเป็ต้องพากันทุกข์ใจไปตามๆ กัน
ชายหนึ่งในสองคนนั้นกล่าว “แค่ขอพักแรมเองมิใช่หรือ จะยากอันใดเล่า”
พูดจบบุรุษผู้นั้นก็มองไปยังสหายข้างกาย “โจวซาน ข้าจะพาพวกเขาสองคนกลับไปบ้านข้า ส่วนเ้าก็ช่วยเร่งไปที่หน้าหมู่บ้านเพื่อเชิญท่านหมอชรามาตรวจอาการฮูหยินท่านนี้เถิด”
บุรุษที่มีนามว่าโจวซานได้ยินแล้วก็พยักหน้า “ได้ ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งเค่อ(一刻)หมายถึง เวลา 15 นาที