จวินเหยียนเดินเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมบุรุษที่มีนามว่าโจวต้า และเมื่อมาถึงโจวต้าก็พูดเสียงเบาที่ข้างหูเขา “หมู่บ้านของเรามีชื่อว่า หมู่บ้านสกุลโจว พ่อข้าเป็ผู้นำของหมู่บ้านนี้ คนที่นี่ล้วนจิตใจดีมีเมตตาทั้งสิ้น ดังนั้นพวกท่านสามีภรรยาวางใจได้ พักผ่อนอยู่ที่นี่รอจนกระทั่งภรรยาท่านหายดีเถิด”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็พยักหน้ารับด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่านมาก” จากนั้นเขาก็ถามถึงที่ตั้งของสถานที่แห่งนี้และเมื่อได้รู้ว่าที่นี่เป็หมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลในอำเภอโจว จวินเหยียนก็พ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยๆ ตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้เดินห่างออกไปไกลเท่าใดนัก
ตลอดระยะทางที่เดินมา จวินเหยียนสังเกตเห็นว่าคนในหมู่บ้านสกุลโจวล้วนพักอาศัยอยู่ในบ้านดินหลังเล็กๆ ที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ แม้แต่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างโจวชุนก็ไม่ได้ดีไปกว่าใครเท่าไรนัก โจวต้าหัวเราะซื่อๆ ก่อนจะพูดพลางส่ายศีรษะเบาๆ ว่า “ชีวิตความเป็อยู่ของคนในหมู่บ้านสกุลโจวไม่ได้หรูหรา ข้าหวังเพียงว่าพวกท่านจะไม่รังเกียจ”
โจวต้าพาจวินเหยียนไปยังห้องห้องหนึ่งที่ถูกทำขึ้นอย่างหยาบๆ และเล็กแคบ ในตอนนั้นเองที่ภรรยาของโจวต้าเห็นว่าสามีตนพาคนกลับมาด้วยจึงได้รีบเก็บกวาดห้องของบุตรสาวเพื่อให้ผู้มาเยือนได้ใช้พักผ่อน อีกทั้งเ้าบ้านโจวยังได้หาเสื้อผ้าสะอาดๆ มาให้จวินเหยียนช่วยพลัดเปลี่ยนให้อวิ๋นซี ด้วยเดิมทีคนต้องปะทะกับลมเย็นมากพออยู่แล้ว หากยังสวมใส่เสื้อผ้าเปียกชื้นอีก ความหนาวเย็นในร่างก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
จวินเหยียนรับเสื้อผ้าไป ก่อนจะเสมองไปทางอวิ๋นซี ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อวิ๋นซีหรือ?
หากว่าพวกเขาเป็สามีภรรยากันจริงๆ เขาก็คงยินดีเป็อย่างยิ่งที่จะทำเื่เหล่านี้ให้ ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขาหาได้เป็เช่นนั้นไม่ หากว่าอวิ๋นซีตื่นขึ้นมาแล้วล่วงรู้ว่าตนเป็ผู้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ นางจะโกรธจนะเิเลยหรือเปล่านะ
เมื่อขบคิดรอบแล้วรอบเล่า เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปช่วยอวิ๋นซีถอดชุดออก เดิมคิดจะหลับตาเพื่อช่วยนางปลดเปลื้องอาภรณ์ ทว่าแต่เดิมตนก็เป็คนมือเท้าเงอะงะซุ่มซ่ามพออยู่แล้ว เมื่อต้องปิดตาก็ยิ่งยากจะช่วยนาง สุดท้ายเมื่อเปิดตามองก็ได้เห็นเรือนร่างของสตรีตรงหน้าที่ทำให้คนดวงตาแดงก่ำเสียจนคิดอยากจะพุ่งเข้าใส่ ถึงกระนั้นมือเขากลับต้องชะงักนิ่ง...
อวิ๋นซีที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือพอจะรู้สึกได้ว่าคล้ายมีใครบางคนกำลังจดจ้องนางอยู่ ทว่ายามนี้นางปวดศีรษะเหลือเกิน แม้ใจจะคิดอยากลืมตา แต่กลับเหนื่อยล้าจนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ในตอนนั้นจวินเหยียนเองที่พบว่าอีกฝ่ายคล้ายจะกำลังตื่น ในใจก็อดร้อนรนขึ้นมาไม่ได้ เขารีบช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลนลาน
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน โจวซานก็พาหมอมา
หมอช่วยจับชีพจรให้อวิ๋นซี ก่อนจะยืนยันว่าเป็เพราะนางถูกทำให้ใอย่างรุนแรง เมื่อประสมรวมกับโดนลมหนาว คนจึงได้ล้มป่วย เมื่อวินิจฉัยอาการเสร็จ หมอจึงเริ่มสั่งจ่ายยา “ร่างกายภรรยาท่านโดนลมหนาวรุกรานค่อนข้างรุนแรง ส่วนยาที่จำเป็ต้องใช้นั้นที่บ้านข้าก็มีไม่ครบ ดังนั้นท่านคงต้องไปหายาจากในตัวอำเภอแล้วล่ะ”
จวินเหยียนลูบคลำบนลำตัวของตนเอง ก่อนจะพบว่าไม่มีเงินสักตำลึงติดตัวมาด้วยเลย ขณะเดียวกันโจวต้าเองก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายบอกว่าบังเอิญเจอเข้ากับโจรป่า ถ้าเช่นนั้นคงมีความเป็ไปได้สูงว่าคนคงไม่มีเงินหลงเหลืออยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เ้าบ้านโจวจึงรีบพาตัวหมอชราออกไปด้านนอก จากนั้นก็ถามว่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด เขาจะช่วยจ่ายให้
จวินเหยียนเห็นเช่นนั้น ในดวงตาก็ปรากฏแววชื่นชม และรอจนกระทั่งโจวต้ากลับเข้ามาอีกครั้ง เขาค่อยดึงป้ายหยกประดับที่พกติดกายอยู่ตลอดออกมามอบให้อีกฝ่าย “พี่ใหญ่โจว ข้าอยากจะอยู่ดูแลภรรยาข้าที่นี่ คงต้องลำบากท่านให้ช่วยเข้าไปในอำเภอแทนข้า เพื่อนำป้ายหยกประดับนี่ไปจำนำ จากนั้นก็ช่วยซื้อยากลับมาให้ภรรยาข้า แล้วก็ซื้อพวกข้าวสารและเนื้อ รวมถึงผักต่างๆ มาด้วย”
โจวต้ามองดูป้ายหยกในมือ ก่อนจะหันมองจวินเหยียนด้วยสายตาไม่สบายใจ “นี่ ป้ายหยกนี่ ท่าน้าจะนำไปจำนำจริงๆ น่ะหรือ? ” ความหมายของเขาคือ คนมากมายล้วนยึดถือป้ายหยกเหล่านี้เป็ดั่งสมบัติประจำตระกูล เขาจึงเกรงว่าป้ายหยกที่อยู่ในมือตนนี้จะมีค่าต่ออีกฝ่ายเฉกเดียวกัน
จวินเหยียนจ้องมองสายตาลังเลของโจวต้าแล้วจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ภรรยาข้าสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”
ภรรยาของโจวต้าที่ยกโจ๊กเข้ามาสองถ้วยเห็นสามีตนยังยืนลังเลอยู่ นางก็รีบพูดขึ้น “เ้ายังจะมัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่อีก? เหตุใดจึงยังไม่รีบไปเล่า? ไม่ว่าอย่างไรยาของฮูหยินฉินก็สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”
ยิ่งกว่านั้นคุณชายฉินเองก็พูดชัดเจนถึงเพียงนั้นแล้ว แต่สามีท่อนไม้ของตนยังจะมัวรีรออยู่อีก
โจวต้าได้ยินคำพูดของภรรยาถึงได้รีบร้อนออกจากบ้านไป ทว่าด้วยเกรงว่าการเดินทางไปกลับนี้จะกินเวลานานเกินไป ดังนั้นทันทีที่เขาเดินไปถึงทางแยกของหมู่บ้านและได้เจอเข้ากับรถม้าขนาดใหญ่จึงรีบควักเงินจ่ายไปสิบอีแปะ เพื่ออาศัยรถม้าคันนั้นเดินทางเข้าไปในตัวอำเภอ
เมื่อไปถึงในตัวเมือง เขาก็เร่งรี่ไปยังร้านรับจำนำที่มีเพียงแห่งเดียวของอำเภอเป็อันดับแรก เพื่อจำนำหยกล้ำค่าชิ้นนั้น ทว่าในตอนที่อีกฝ่ายเห็นป้ายหยกในมือเขา คนผู้นั้นก็ไม่แม้แต่จะขบคิดก็ให้ราคาถึงหนึ่งพันตำลึงมาเลยทีเดียว ทำให้โจวต้าอึ้งค้างไป หนึ่งพันตำลึง? เขาที่โตมาจนมีอายุถึงเพียงนี้ แม้แต่เงินหนึ่งร้อยตำลึงก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็น แต่ป้ายหยกของคุณชายฉินเพียงชิ้นเดียวกลับมีราคามากถึงหนึ่งพันตำลึง?
ด้วยสีหน้าท่าทางเช่นนั้น เถ้าแก่ร้านรับจำนำกลับทึกทักไปเองว่าเขาคงรังเกียจที่ตนเสนอราคาน้อยเกินไปจึงเพิ่มให้อีกห้าร้อยตำลึงในทันที แต่โจวต้าเมื่อได้ยินเถ้าแก่ร้านเสนอเพิ่มเป็หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง ิญญาของเขาก็หลุดลอยออกไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังนึกขึ้นมาได้ว่าคุณชายฉินบอกให้ตนจำนำขาดไปเลย ด้วยเหตุนี้ เขาก็ได้แต่ต้องพยายามทำใจให้สงบนิ่งเข้าไว้แล้วจึงกล่าวต่อว่า หยกชั้นดีถึงเพียงนี้ทั้งยังจำนำขาดอีก แต่อีกฝ่ายกลับเสนอเงินให้เพียงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง? เมื่อพูดจบเขาก็คิดจะนำหยกกลับไป ไม่จำนำแล้ว
สุดท้ายเถ้าแก่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เนื่องด้วยนึกขึ้นได้ว่าวันเกิดของนายท่านเสี่ยนใกล้จะมาถึงแล้ว เขาที่กำลังปวดหัวอยู่กับเื่ของของขวัญที่จะให้ก็ถึงกับต้องไตร่ตรองอีกครู่หนึ่ง หากตนสามารถนำป้ายหยกมันแพะนี่ไปมอบให้นายท่านเสี่ยนเป็ของขวัญวันเกิดได้ ท่านผู้นั้นจะต้องพอใจมากแน่ๆ
สุดท้ายเถ้าแก่ก็ได้แต่ต้องทนรับกับความปวดใจเพื่อมอบเงินสามพันตำลึงให้เป็ค่าจำนำหยกชั้นเลิศ
อีกทั้งโจวต้าก็ไม่ลืมให้เถ้าแก่ร้านเปลี่ยนเงินร้อยตำลึงในสามพันตำลึงนั้นให้เป็เศษเงินสิบตำลึง จากนั้นก็นำเงินออกไปจากร้านจำนำอย่างระมัดระวัง
จวินเหยียนอดทนรอการกลับมาของโจวต้าอยู่ได้ราวๆ หนึ่งชั่วยาม ทันทีที่โจวต้ากลับมาถึง เขาก็ให้ภรรยาตนเข้าไปต้มยา ส่วนตนนั้นก็ไปหาจวินเหยียน
เมื่อจวินเหยียนรู้ว่าป้ายหยกของตนจำนำไปได้เงินมาเพียงสามพันตำลึง มุมปากเขาก็กระตุกน้อยๆ แท้จริงแล้วป้ายหยกชิ้นนี้มีราคากว่าหมื่นตำลึง แต่กลับจำนำมาได้ไม่เท่าไร ถึงกระนั้นเมื่อได้เห็นท่าทางตื่นเต้นถึงเพียงนั้นของโจวต้า เขาก็ทำได้แค่กล่าวขอบคุณพร้อมรับตั๋วเงินสองพันเก้าร้อยตำลึงมา ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้อยาและอาหารก็มอบให้โจวต้าไป โดยบอกว่าเป็ค่าที่พักอาศัยและค่าอาหารตลอด่ระยะเวลาที่ภรรยาตนยังพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ เดิมทีโจวต้าไม่คิดจะรับ แม้ก่อนหน้าจะซื้อของไปมากมาย แต่ก็ยังเหลืออีกเก้าสิบกว่าตำลึง ซึ่งสำหรับตัวเขาแล้ว นี่นับเป็เงินมหาศาล
ถึงกระนั้นจวินเหยียนกลับบอกว่า หากเขาไม่ยอมรับไว้ ตนจะพาภรรยาจากไปทันที
ทางด้านอวิ๋นซี เมื่อได้ดื่มยาเข้าไปแล้ว ในคืนเดียวกันนั้นนางก็ฟื้นขึ้นด้วยร่างกายที่ยังคงมีไข้ขึ้นสูง การรับรู้ยังไม่ค่อยแจ่มชัด นอกจากนี้ จากความทรงจำทั้งหมดของเ้าของร่างเดิม ทำให้นางพอจะทราบได้ว่า สตรีผู้นี้ไม่ได้ป่วยไข้มาหลายปีแล้ว เช่นนี้จะเรียกว่าไข้มาดังภูผาถล่ม [1] ได้หรือไม่?
“หากเ้ายังรู้สึกมึนหัวอยู่ก็รีบหลับตาแล้วพักผ่อนเสีย ส่วนข้าจะคอยอยู่ข้างๆ ตรงนี้ หากมีเื่อันใดก็จงเรียกข้าได้เลย” จวินเหยียนยื่นมือไปอังหน้าผากวัดอุณหภูมิให้นางอย่างใส่ใจ จากนั้นจึงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
อวิ๋นซีมองดูเขา ขยับริมฝีปากว่า “ท่านเป็ถึงท่านอ๋อง ไม่มีความจำเป็ต้องลดตัวลงมาเพื่อดูแลสาวชาวบ้านเยี่ยงหม่อมฉันหรอกเพคะ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทีไม่พอใจ “อวิ๋นซี นับแต่ที่รู้จักกันมาจนถึงวันนี้ เ้าเคยเห็นข้าเป็ท่านอ๋องั้แ่เมื่อใดกัน? แล้วเ้าเคยเห็นตนเป็เพียงสาวชาวบ้านด้วยหรือ? หากเป็เช่นนั้นก็คงเรียกได้เพียงว่า ช่างไม่รู้จักชั่วดี”
พูดจบเขาก็หมุนกายเดินออกไปอย่างไม่พอใจ
อวิ๋นซีมองดูแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไป นางเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วถอนหายใจ ด้วยไม่กล้าเชื่อใจผู้ใดอีกแล้ว โดยเฉพาะคนตระกูลโอวหยาง ดังนั้นไม่ว่าจวินเหยียนจะปฏิบัติกับตนเช่นไร นางก็จำต้องรักษาหัวใจตัวเองไว้ให้ดี
นางหลับตาลง ดวงใจสั่นไหวน้อยๆ โอวหยางจวินเหยียน ระหว่างเรามีแค่การร่วมมือกันเท่านั้น นางห้ามมีความรักต่อเขา เพราะไม่อยากกลายเป็คนที่ถูกคนตระกูลโอวหยางหลอกใช้อีกแล้ว ดังนั้นระหว่างนางและจวินเหยียนจะให้ดีที่สุดก็ควรต้องรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ไข้มาดังภูผาถล่ม(病来如山倒)หมายถึง ป่วยหนักอย่างกะทันหัน