เซี่ยโหวฟ่งอวี้ไม่พอใจเป็อย่างมาก
นางพาเหล่าหนุ่มชนชั้นสูงที่มักจะประจบประแจงตัวเองมาด้วยเพราะอยากจะสั่งสอนคนที่มันมาแย่งสิทธิ์ในการเข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานของน้องชายตนไปแต่เ้าโง่ซุนยิ่งหลง แม้แต่คนที่ยังหลอมจิตไม่สำเร็จก็ยังจัดการไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้น ยังไปเป็เพื่อนกับศัตรูอีก
“ซุนยิ่งหลง! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ตวาดเสียงแหลมซุนยิ่งหลงที่กำลังพูดคุยหยอกล้ออยู่กับซูฉางอันจึงหดคอลงแล้วยิ้มแหยไปให้ซูฉางอัน จากนั้นจึงถอยกลับไปยืนอยู่ข้างเซี่ยโหวฟ่งอวี้ในที่สุด
“องค์หญิง เขาคือศิษย์ที่ท่านอวี้เหิงเลือกเข้ามาด้วยตัวเองถ้าเกิดเื่อะไรขึ้น เราคงลำบากแน่ หรือไม่วันนี้เราปล่อยเขาไปก่อนเล่าขอรับ? ซุนยิ่งหลงยิ้มแหยขณะกล่าวกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้เพราะซูฉางอันเคยปล่อยเขาไปคราหนึ่ง เขาจึงไม่อยากเห็นซูฉานอันถูกทำร้ายจึงรีบพูดช่วยทันที
“เ้าดูเป็คนมีคุณธรรมดีนี่?” หนุ่มคิ้วเข้มเลิกคิ้วกล่าว
“กับอีแค่เด็กบ้านนอกที่ยังหลอมจิตไม่ได้ก็ยังไม่มีปัญญาจัดการเจิ้งเต๋อโหว บิดาของเ้าต้องอับอายเพราะเ้าเป็อย่างมากเป็แน่” หนุ่มร่างผอมอีกคนพูดต่อบทด้วยน้ำเสียงแดกดัน
“พวกเ้า!” ซุนยิ่งหลงหน้าแดงไปหมด แต่ก็ปฏิเสธอะไรออกไปไม่ได้เขามีพลังอ่อนที่สุดในบรรดาชนชั้นสูงแห่งเมืองฉางอันแล้ว เหตุนี้จึงถูกคนรุ่นเดียวกันเยาะเย้ยอยู่เป็ประจำ
“ฟ่งอวี้ให้ข้าจัดการสั่งสอนเ้าหนุ่มนี่แทนเ้าเถอะ” หนุ่มคิ้วเข้มหันไปยิ้มให้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ด้วยความมั่นใจและเด็ดเดี่ยวจากนั้นจึงหมุนตัว แล้วเดินตรงไปที่ซูฉางอัน
ซูฉางอันสะดุ้งใชายคิ้วเข้มคนนี้เป็บุตรของหวู่เฉิงโหวแห่งแผ่นดินต้าเว่ย-สวี่หนานเฉินมีนามว่าสวี่ติ้งเยว่ เขาเป็อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองฉางอันเพราะมีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราั้แ่อายุยังน้อยซึ่งด้อยกว่ายอดอัจฉริยะเช่นกู่เซี่ยนจวินแห่งดินแดนทางเหนือ และมู่กุยอวิ๋นที่เป็บุตรของท่านไท่เว่ย[1]เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแม้ซูฉางอันจะแลดูประหลาดและเต็มไปด้วยความเร้นลับ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของสวีติ้งเยว่อย่างแน่นอน
“เ้าก็อยากจะสู้กับข้ารึ?” ซูฉางอันมองไปยังสวีติ้งเยว่ที่กำลังเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวถามขึ้น
“เป็อะไรไป? จะบอกว่าไม่อยากทำร้ายข้าอีกคนเหรอ?” สวีติ้งเยว่ประกายรอยยิ้มแห่งการกลั่นแกล้งขึ้นทางใบหน้าเขาดูจะมั่นใจมาก พร์ของเขาเป็ที่ประจักษ์ของคนทั้งเมือง อย่างน้อยนอกจากยอดอัจฉริยะที่เก่งจนเกินมนุษย์เพียงไม่กี่คนแล้วเขาเชื่อว่าในโลกคงไม่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่แข็งแกร่งยิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว
“เปล่า” ซูฉางอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้า เ้ามีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราแล้วแต่ข้ายังหลอมจิตไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ข้าทำร้ายเ้าไม่ได้หรอก”
เป็จริงดังนั้นแม้วู๋ถงจะสอนเคล็ดวิชาให้เขาหลายอย่าง ทั้งเขาก็จำพวกมันได้อย่างขึ้นใจแล้วแม้ระหว่างทางมาฉางอัน ไม่ว่าการเดินทางจะเหนื่อยมากแค่ไหนเขาก็จะหาเวลามาฝึกวิชาตลอดก็จริง แต่อย่างไรเสีย เขาก็เป็เพียงมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มฝึกวิชาได้ไม่นานเท่านั้นมีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่เคยได้ฝึกฝนมาก่อน ที่เขาเอาชนะซุนยิ่งหลงมาได้ประการที่หนึ่ง เป็เพราะแม้คนร่างอ้วนจะมีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตแต่มีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ฝึกวิชา จึงอ่อนแอมากกว่านักรบระดับหลอมจิตทั่วไปเล็กน้อยประการที่สอง เป็เพราะในร่างของเขามีพลังแห่งคมดาบของมั่วทิงอวี่แฝงอยู่บวกกับการเพียรฝึกฝนมาตลอดทางทำให้เขามีกระบวนดาบที่ยอดเยี่ยมไม่ด้อยไปกว่านักรบระดับเก้าดาราหรืออาจเทียบเท่านักรบระดับอรุณรุ่งแล้ว เหตุนี้เขาจึงสามารถเอาชนะซุนยิ่งหลงได้อย่างน่าเหลือเชื่อนั่นเอง
ทว่าเมื่อคู่ต่อสู้เปลี่ยนไปเป็สวีติ้งเยว่ที่มีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราซูฉางอันก็ไม่มีทางเอาชนะไปได้อีกแล้ว
“เช่นนั้นเ้าอยากอ้อนวอนให้ข้าไว้ชีวิตรึ?” รอยยิ้มได้ใจบนใบหน้าของสวีติ้งเยว่เด่นชัดมากกว่าเดิมในพริบตา “น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์แล้วเ้าทำให้ฟ่งอวี้โมโห ดังนั้น จงรับผิดชอบมาซะ!”
“ฟ่งอวี้?” ซูฉางอันเหล่มองหญิงชุดขาวเล็กน้อย
“เ้าชอบนางรึ?” ซูฉางอันกล่าวถาม
สวีติ้งเยว่หน้าแดงขึ้นมาทันทีความมั่นใจราวทุกอย่างอยู่ในกำมือของตนเมื่อครู่มลายหายไปในพริบตาเขาพูดอ้ำอึ้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ “มันเื่...เื่อะไรของเ้า!”
แม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดก็หน้าแดงไปด้วยเช่นกันในยามปกติเด็กหนุ่มสาวอายุประมาณสิบหก-สิบเจ็ดทั้งหลายมักจะเก็บความรู้สึกที่มีเอาไว้ในใจเท่านั้นแม้ที่ผ่านมานางจะไม่เคยรู้สึกอะไรกับสวีติ้งเยว่แต่นางก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าสวีติ้งเยว่คิดยังไงกับตน เหตุนี้เมื่อซูฉางอันประกาศออกมาเช่นนั้น นางจึงรู้สึกเขินอายอย่างอดไม่ได้นั่นเอง
เ้าสารเลวนี่! ข้าจะเล่นงานเขาให้สาสมเลย! เซี่ยโหวฟ่งอวี้บอกกับตัวเองในใจ
“น่าเสียดายที่นางไม่ชอบเ้า” ซูฉางอันพูดขึ้นมาอีกครั้งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความราบเรียบสายตาที่มองไปยังสวีติ้งเยว่ก็เต็มไปด้วยความเวทนาสงสารเฉกเช่นที่คนในสถานะเดียวกันมักจะมีต่อกัน
“เ้าอย่ามาพูดจาเลอะเทอะแถวนี้นะ!” สวีติ้งเยว่หน้าแดงจนราวกับตูดลิงแล้วเขาไม่กล้าหันกลับไปมองเซี่ยโหวฟ่งอวี้เลยด้วยซ้ำ บัดนี้ความอายแปรเปลี่ยนไปเป็ความโกรธแล้ว เขาเคลื่อนไหวร่างกายแล้วยื่นมือซ้ายออกมาข้างหน้าพุ่งฝ่ามือเข้าใส่ซูฉางอันพร้อมกับสายลมอันแสนรุนแรงในพริบตา
เร็วมาก! ซูฉางอันตกตะลึง เขารู้สึกราวเพียงตาลายไปแค่วูบเดียวเท่านั้นฝ่ามือของสวีติ้งเยว่ก็เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วเขายกดาบขึ้นมากันไว้เหนือหน้าอกไม่ทันด้วยซ้ำทำได้เพียงมองดูมือนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
นี่เป็ฝ่ามือจากนักรบระดับเก้าดาราเชียวนะ ต่อให้สวีติ้งเยว่จะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีแต่นั่นก็เพียงพอให้ซูฉางอันนอนรักษาตัวบนเตียงได้นานเป็ปีๆ แล้ว
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆสายลมแห่งคมดาบก็ถาโถมเข้ามาอย่างกะทันหัน
สวีติ้งเยว่สะดุ้งใพลังที่แฝงอยู่ในสายลมแห่งคมดาบที่พุ่งเข้ามาหา ทำให้เขาหวาดผวาจนร่างสั่นเทาขึ้นมาเลยทีเดียวเขารีบย่ำเท้าลงบนพื้นดิน ทำให้ร่างกายชะงักนิ่งอยู่กลางอากาศจากนั้นจึงถอยกลับออกไปด้วยความรวดเร็วในเวลาต่อมา
เขาหยุดลงได้ในที่สุดสายลมแห่งคมดาบพุ่งเฉียดใบหน้าของเขาไปพร้อมกับเสียงหวีดหวิวเมื่อตัดผ่านสายลมเส้นผมเหนือหน้าผากถูกสายลมพัดจนปลิวออกมาด้านหน้า ทันใดนั้นสายลมแห่งคมดาบก็ตัดมันจนขาดออกเป็สองท่อนในพริบตา
ซูฉางอันกับคนอื่นๆหันมองไปยังทิศทางของสายลมแห่งคมดาบนั้น
พวกเขาพบกับร่างของใครบางคนเป็ชายคนหนึ่ง ผมยาวถูกปล่อยสยายอย่างยุ่งเหยิง รอบริมฝีปากมีเคราเล็กน้อยเขาอยู่ในชุดคลุมเนื้อหยาบสีเทา แลดูทรุดโทรม ไม่เป็ระเบียบเอาเสียเลยทว่าดวงตาของเขากลับสว่างไสวราวกับดวงดาราบนท้องนภาก็ไม่ปาน เขาถือดาบที่ถูกเก็บอยู่ในฝักพาดบ่ามาด้วยคนผู้นั้นเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ รองเท้าบูธถูกย่ำลงบนพื้นดินของเมืองฉางอันทำให้เกิดเสียงดังขึ้นตามจังหวะการเดิน
“เป็เขาเองรึ?” หนุ่มวัยรุ่นทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างเซี่ยโหวฟ่งอวี้วิพากวิจารณ์กันไปต่างๆนานา ต่างก็มองไปยังชายที่เพิ่งมาใหม่ด้วยสายตาที่ทั้งหวาดกลัวและสนใจ
“ฉู่ซีฟง” เซี่ยโหวฟ่งอวี้จ้องไปที่ชายคนนั้นแล้วกล่าวชื่อของเขาออกมาอย่างเชื่องช้า
“ฉู่ซีฟง!” หนุ่มวัยรุ่นทั้งหลายส่งเสียงอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพรียงสำหรับพวกเขาแล้ว ชื่อนี้เปรียบได้กับเสียงฟ้าผ่าเลยทีเดียว
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเผ่ามนุษย์มียอดอัจฉริยะแห่งการต่อสู้คนหนึ่ง ซึ่งก็คือนักดาบอัจฉริยะ มั่วทิงอวี่อาจารย์ของซูฉางอันนั่นเองเขาเป็เหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องนำทางให้กับคนรุ่นหนุ่มสาวเลยก็ว่าได้อัจฉริยะคนอื่นๆ ไม่อาจเทียบกับเขาได้เลยมีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่สามารถประมือกับเขาได้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือสามารถต่อสู้กับเขาได้เกินสิบกระบวนท่า... ฉู่ซีฟง!
เมื่อสิบปีก่อน เพื่อสังหารวู๋ถงมั่วทิงอวี่ผนึกดาบของตัวเองเอาไว้ แล้วเก็บตัวั้แ่นั้นเป็ต้นมาหลังฉู่ซีฟงถูกมั่วทิงอวี่ปฏิเสธที่จะประลองด้วยหลายครั้งเขาก็เลือกเดินทางไกลไปที่ดินแดนทางตะวันตก โดยประกาศเอาไว้ว่าเมื่อใดที่เขากลับมา เมื่อนั้นจะเป็วันที่เขาเอาชนะมั่วทิงอวี่ได้
เมื่อสองปีก่อนมั่วทิงอวี่สังหารเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจที่ดินแดนทางเหนือ ทว่าตนก็ตายที่ดินแดนทางเหนือด้วยเช่นกันแต่ฉู่ซีฟงกลับไม่มีข่าวคราวใดๆ กลับมาเลยคนภายนอกจึงคิดว่าเขาตายในดินแดนตะวันตกไปแล้วคิดไม่ถึงเลยว่าบัดนี้ชายคนนี้จะกลับมาอีกครั้ง
“เ้าคือซูฉางอันงั้นรึ?” ฉู่ซีฟงเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซูฉางอันแล้วกล่าวถามขึ้น
ซูฉางอันมองดูคนตรงหน้าแม้เขาจะช่วยชีวิตตนเอาไว้แต่ซูฉางอันกลับััได้ถึงกลิ่นอายแห่งความอันตรายจากชายคนนี้
ในขณะเดียวกันนั้นคนตรงหน้าก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกัน “เ้าคือซูฉางอันงั้นรึ?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของวันแล้วที่เขาได้ยินคำถามเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวตนช่างโด่งดังเสียจริงราวกับทุกคนต่างก็รู้ชื่อของตนเช่นนั้น
“อืม ข้าเอง” ซูฉางอันพยักหน้าตอบ
“มั่วทิงอวี่เป็อาจารย์เ้ารึ?” ฉู่ซีฟงกล่าวถาม
“ใช่”
“แล้วเขาอยู่ไหน?”
“ตายไปแล้ว” ซูฉางอันประหลาดใจเป็อย่างมากการตายของมั่วทิงอวี่ถูกประกาศไปทั่วหล้าั้แ่สองปีก่อนแล้วทำไมชายคนนี้ถึงยังถามคำถามเช่นนี้ออกมาได้
“ตายไปแล้วงั้นรึ?” ฉู่ซีฟงนิ่งด้วยความตกตะลึงไปแล้ว
“เขาจะตายไปได้ยังไง! เป็ไปได้ยังไง!” เสียงของเขาค่อยๆ ดังขึ้นทุกทีเริ่มจากการะโ จนกลายเป็คำรามในที่สุด
สายลมรุนแรงโหมกระหน่ำขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ฝุ่นผงบนพื้นดินลอยฟุ้งไปหมดชายเสื้อของซูฉางอันมีรอยขาดปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้ดีว่านั่นเป็พลังแห่งดาบของชายตรงหน้านั่นเอง
“แต่เขาตายไปแล้วจริงๆตายที่ดินแดนทางเหนือ” ซูฉางอันคิดว่าบางทีอาจารย์ของตนอาจเป็คนที่สำคัญต่อชายตรงหน้ามากก็ได้ จึงคิดจะปลอบประโลมเขาทว่าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
สำหรับซูฉางอันแล้ว เมื่อคนๆ หนึ่งรู้สึกเสียใจเพราะการตายของคนอีกคนในเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าจะปลอบใจ หรือจะพูด จะทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเพราะคนผู้นั้นกำลังเสียใจกับการตายของคนอีกคน ตราบใดที่คนๆนั้นฟื้นคืนชีพกลับมาไม่ได้ คนที่เสียใจก็ต้องเสียใจอยู่ดี
“ไม่มีทาง!” ฉู่ซีฟงตวาดด้วยความเกรี้ยวโกรธผมเส้นยาวของเขาถูกสายลมที่พัดโหมเข้ามายกขึ้นสูงเผยให้เห็นเส้นเืบริเวณขมับที่บวมปูดขึ้นเพราะโทสะทำให้เขาแลดูเหี้ยมเกรียมอย่างไม่อาจอธิบายเลย
พลังดาบในร่างของเขาปะทุออกมาภายนอกแล้วพุ่งวนไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง มันบีบให้กลุ่มคนต้องเดินถอยออกไปด้านหลังอย่างต่อเนื่องทั้งยังจำต้องปลดปล่อยพลังิญญาออกมาต้านพลังแห่งดาบเอาไว้อย่างไม่มีทางเลือกอีกด้วย
“ผู้าุโฉู่ ผู้าุโมั่วตายไปแล้วพวกเราเองก็รู้สึกเสียใจมากเหมือนกัน โปรดทำใจเถิด” เซี่ยโหวฟ่งอวี้นำดาบมาจากที่ใดก็ไม่ทราบ นางยกดาบขึ้นมากันเอาไว้เหนืออกเพื่อต้านพลังดาบที่พุ่งโจมตีไปทั่วพลางกล่าวขึ้น
นางรับรู้ได้อย่างชาญฉลาดว่าฉู่ซีฟงในตอนนี้ไม่ค่อยปกตินักจึงพยายามพูดกล่อมให้เขาใจเย็นลง
“เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด!” ทว่าฉู่ซีฟงกลับทำราวกับไม่ได้ยินเอาแต่พูดคำเดิมออกมาซ้ำๆ ราวคนสติแตกไม่หยุด
ซูฉางอันไม่มีพลังิญญาแต่เพราะได้รับการสืบดาราจากนักรบระดับดาราจักรถึงสองคน แม้จะยังควบคุมพลังที่มีไม่ได้สักเท่าไรแต่ปราณดาราทั้งสองดวงที่รับรู้ว่าเ้าของได้รับอันตรายต่างก็ปลดปล่อยพลังออกมาปกป้องซูฉางอันอย่างอัตโนมัติ
เพลิงศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งดาบมากมายพุ่งออกมาจากร่างของซูฉางอันก่อนพลังทั้งสองจะวนไปรอบตัวแล้วกลายเป็ม่านพลังทรงกลมที่ห่อหุ้มและปกป้องร่างของเขาเอาไว้อย่างดีไม่ว่าพลังแห่งดาบพวกนั้นจะถาโถมเข้ามามากขนาดไหนม่านพลังนั้นก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ราวกับพลังแห่งดาบที่ถาโถมเข้ามาเป็มดตัวน้อยที่คิดจะโค่นต้นไม้ใหญ่ก็ไม่ปาน
--------------
[1] ไท่เว่ย หมายถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในจีนโบราณ