ซูฉางอันยืนอยู่หน้าประตูสำนักเขามาถึงเมืองฉางอันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อสองปีก่อนมั่วทิงอวี่ออกเดินทางจากที่นี่ สองปีต่อมา ซูฉางอันกลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง
พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งเป็ตำนานแห่งนักรบยอดอัจฉริยะของเผ่ามนุษย์ทว่าอีกคนเป็เพียงเด็กหนุ่มบ้านนอกที่ไม่เคยพบเจอโลกภายนอกเท่านั้น
ทว่าเหล่าสายข่าวภายในเมืองฉางอันกลับเริงร่าไม่ต่างไปจากเมื่อสองปีก่อนเลย
ซูฉางอันมาถึงเมืองฉางอันแล้ว
ข่าวนี้ถูกกระจายไปยังคนบางกลุ่มภายในเมืองฉางอัน
เมื่อสองปีก่อนมั่วทิงอวี่มีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพเท่านั้น ทว่าด้วยพลังในระดับนี้เขากลับสังหารวู๋ถงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงมาเป็เวลานานของเผ่าปีศาจได้สำเร็จนี่เป็ปริศนาที่คับข้องอยู่ในใจพวกเขามาโดยตลอด
อะไรทำให้มั่วทิงอวี่ทำสำเร็จ?
ตัวเขาเอง? กระบวนดาบ?หรือเพราะดาบเล่มนั้น?
คนบางกลุ่มคิดว่าบางทีพวกเขาอาจได้รับคำตอบที่้าจากเด็กหนุ่มที่ชื่อซูฉางอันก็เป็ได้
เหล่าจิ้งจอกเ้าเล่ห์ภายในเมืองฉางอันประกายแสงแห่งความโลภขึ้นภายในดวงตาทว่าเด็กชายที่จมอยู่ในพายุแห่งเล่ห์กลในครั้งนี้กลับยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ซูฉางอันมองไปที่ประตูของสำนักด้วยคิ้วขมวดมุ่น
อาคารตรงหน้ามีขนาดใหญ่มากไม่ด้อยไปกว่าจวนอ๋องแห่งตระกูลกู่เลย เพียงแต่เก่าไปสักหน่อยก็เท่านั้น
ฝุ่นละอองปกปิดสีที่แท้จริงของประตูเบื้องหน้าไปจนหมดอีกทั้งผิวประตูก็เป็หลุมเป็บ่อ ราวกับว่าเคยมีอะไรบางอย่างประดับประดาอยู่ในหลุมพวกนั้นแต่ถูกนำออกไปในภายหลังเช่นนั้น
นี่น่ะหรือสำนักอันดับหนึ่งของเมืองฉางอัน?
ซูฉางอันขยี้ตาตัวเองเขาอยากทำให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาดอ่านอักษรบนป้ายที่เต็มไปด้วยฝุ่นเหนือประตูผิดไป
กู่เซี่ยนจวินเดินทางไปพักในคฤหาสน์ที่ตระกูลกู่สร้างเอาไว้ภายในเมืองฉางอันเป็ที่เรียบร้อยแล้วหลิวต้าหงกับลูกน้องที่เหลือเพียงไม่กี่คนเตรียมจะกลับไปพักเกษียณในเมืองฉางเหมินซูโม่ กู่หนิงกับคนอื่นๆ ก็ไปรายงานตัวที่สำนักของตนเองแล้วเช่นกันซูฉางอันไม่มีญาติมิตรภายในเมืองฉางอัน ที่เดียวที่เขาคิดออกก็ดูจะมีแต่สำนักเทียนหลานเท่านั้น
เมืองฉางอันมีสำนักมากมายราวกับดาราบนท้องฟ้าเลยก็ว่าได้เขาเจอสำนักไม่น้อยระหว่างทางมา แม้จะไม่ได้หรูหราอะไรมากมายแต่สำนักส่วนมากก็มีขนาดใหญ่โตมโหฬารด้วยกันทั้งสิ้นและเพราะวันนี้เป็วันที่ศิษย์จากที่ต่างๆ เดินทางเข้ามารายงานตัวกับสำนักพอดีที่หน้าสำนักต่างๆ จึงมีผู้คนพลุกพล่านเบียดเสียดกันแน่นไปหมด
แต่เมื่อลองมองย้อนกลับมาที่สำนักอันดับหนึ่งแห่งนี้แล้วประตูสำนักผุพัง ราวไม่ได้รับการบูรณะมานานแสนนาน อาณาบริเวณโดยรอบก็เงียบเหงาสิ้นดี ซูฉางอันมายืนอยู่ตรงนี้นานกว่าสิบนาทีแล้วแต่กลับยังไม่มีใครเดินผ่านมาเลยสักคน
ซูฉางอันขมวดคิ้วเป็ปมเขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนสำนักที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเลยสักนิดกลับกัน มันดูเหมือนบ้านร้างเสียมากกว่า
แต่ไหนๆ ก็มาแล้วยังไงก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย ซูฉางอันคิดเช่นนั้น เขาเดินขึ้นบันไดหน้าสำนักแล้วเอื้อมมือไปดึงใยแมงมุมที่ห้อยพะรุงพะรังอยู่หน้าประตูออกก่อนจะเคาะไปที่ประตูเบาๆ สามครั้ง
ก๊อกๆๆ
เสียงทุ้มดังขึ้นสามครั้งเสียงนั้นก้องไปทั่วพื้นที่อันแสนกว้างใหญ่รอบด้านคล้ายเป็ระลอกคลื่นบนผิวน้ำที่นิ่งสงบอย่างไรอย่างนั้น
ไม่มีการตอบรับกลับมาจากสำนักเบื้องหน้าทว่าซูฉางอันกลับรู้สึกหนาวสั่น และขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างประหลาด
“เ้าก็คือซูฉางอันอย่างนั้นรึ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางเื้ัอย่างชัดเจน
ซูฉางอันหันกลับไปมองตามเสียงแล้วเขาก็ได้พบกับเด็กหนุ่มที่น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาประมาณสาม-ห้าคนที่ยืนรายล้อมหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้ หญิงที่ยืนอยู่ตรงกลางมีใบหน้างดงามสะอาดสะอ้านเธออยู่ในชุดผ้าโปร่งสีขาว เส้นผมสีดำสนิทถูกปล่อยให้สยายอยู่กลางหลังบัดนี้เธอกำลังมองตรงมาที่ซูฉางอัน เห็นได้ชัดว่าเสียงใสเมื่อครู่ เป็เสียงของหญิงคนนี้นั่นเอง
“ข้าเอง”ซูฉางอันขานรับโดยสัญชาตญาณ หญิงคนนี้สะสวยมาก สวยกว่าซูโม่ และสวยพอๆกับกู่เซี่ยนจวินเลยทีเดียว ซูฉางอันเผลอมองเธอนานกว่าปกติเล็กน้อยจากนั้นจึงมองสำรวจหนุ่มวัยรุ่นหลายคนที่ข้างกันด้วยหางตาพวกเขาสวมชุดที่ทำมาจากผ้าชั้นดีด้วยกันทั้งสิ้นต้องเป็บุตรของคนใหญ่คนโตภายในเมืองแน่
หญิงสาวมองสำรวจซูฉางอันั้แ่หัวจรดเท้าก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง“เ้าก็คือซูฉางอันที่ท่านปู่อวี้เหิงเลือกให้เข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานด้วยตนเองงั้นรึ?แต่ดูเหมือนเ้าจะอ่อนแอมาก”
“อืม ข้ายังหลอมจิตไม่สำเร็จเลย”ซูฉางอันตอบ เขาไม่รู้สึกว่าหญิงคนนี้พูดอะไรผิดไป เขาอ่อนแอมากจริงๆ
หนุ่มวัยรุ่นรอบตัวหญิงคนนั้นส่งเสียงหัวเราะขึ้นเล็กน้อยต่างก็ส่งสายตาหยามเหยียดมาให้ซูฉางอันกันอย่างพร้อมเพรียง
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นเขาไม่คิดว่านี่เป็เื่ที่น่าตลกเลยสักนิด จึงถามขึ้น “มีอะไรรึ? ”
“เ้าอ่อนแอเกินไปไม่คู่ควรกับสำนักเทียนหลาน” หญิงสาวพูดขึ้นเธอไม่ชอบเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยการท้าทายและเย้ยหยันของหนุ่มวัยรุ่นพวกนั้นแต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่คิดว่าคนอย่างซูฉางอันมีสิทธิ์ได้เข้าไปศึกษาในสำนักเทียนหลานด้วยเช่นกัน
“เพราะอะไร? ” ซูฉางอันกล่าวถาม น้ำเสียงของเขาแลดูตั้งใจมากราวเ้าตัวกำลังสอบถามจากใจจริงเช่นนั้น
“เพราะอะไรงั้นเหรอ? ” หนุ่มคิ้วคมเข้มในชุดผ้าเนื้อดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกันก้าวออกมาจากกลุ่มคนโดยไม่รอให้หญิงสาวได้พูดอะไรเขาเดินเข้ามาข้างหน้า แล้วกล่าวต่อไป “ฟังภาษาคนไม่รู้เื่หรือไง? เ้าอ่อนแอมากเกินไป! เลยไม่มีสิทธิ์ไม่คู่ควร!” หลังพูดจบเขาก็ปรายตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเล็กน้อยราว้าจะดึงดูดความสนใจจากเธอ
“เพราะอ่อนแอเกินไปก็เลยต้องฝึกวิชาไงล่ะ ไม่ใช่รึ? ” ซูฉางอันประหลาดใจเหลือเกินเขาคิดว่าสิ่งที่ตนพูดมาสมเหตุสมผลและถูกต้องทุกประการแล้วจึงมองไปยังชายวัยรุ่นตรงหน้าเขาอยากได้เหตุผลที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากกว่านี้
“คือว่า... คือ...” บางที อาจเป็เพราะคำตอบของซูฉางอันเรียบง่ายและตรงจนเกินไปหนุ่มคิ้วเข้มจึงรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมา เขาใบหน้าแดงก่ำ อ้ำอึ้งอยู่นานทว่าจนแล้วจนรอดก็พูดไม่ออกเสียที เขาหันกลับไปมองหญิงคนนั้นอีกครั้งทำให้พบว่าใบหน้าของเธอไร้ซึ่งความรู้สึก ราวเธอมองไม่เห็นตนที่กำลังตกที่นั่งลำบากเลยสักนิดเมื่อตระหนักได้ว่าตนถูกเมินชายคิ้วเข้มก็รู้สึกอับอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนีเลยทีเดียว
“จะฝึกก็ไปฝึกที่อื่นได้นี่ฉางอันมีสำนักมากจนนับไม่ถ้วน ทำไมต้องมาที่สำนักเทียนหลานด้วย? ” หญิงสาวกล่าวขึ้นอีกครั้ง เธอมองตรงมาที่ซูฉางอัน โดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองชายคิ้วเข้มคนนั้นเลยสักนิดเธอพยายามจะสำรวจว่าซูฉางอันมีอะไรที่พิเศษไปจากคนอื่นแต่ชายที่เธอเห็นผอมกะหร่องกะแหร่ง พลังก็ต่ำต้อย ยิ่งไปกว่านั้นจากคำพูดของเขาแล้ว ดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่ค่อยฉลาดเสียด้วย เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าทำไมหนุ่มคนนี้ถึงได้รับความเมตตาจากใต้เท้าอวี้เหิงได้
“ข้าเองก็ไม่อยากมาฉางอันสักเท่าไหร่แต่พ่อข้าอยากให้มา เพราะคิดว่าฉางอันจะทำให้ข้ามีอนาคตที่ดีอาจารย์อวี้เหิงก็บอกให้ข้ามาเช่นกัน ในเมืองฉางอันแห่งนี้ข้าไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว จึงต้องมาที่นี่” ซูฉางอันพูดด้วยท่าทางราบเรียบและใจเย็นราวกำลังเล่านิทานเื่สั้นที่แสนธรรมดาอยู่เช่นนั้น
ทว่าสิ่งที่เขาพูดกลับทำให้หญิงสาวกัดฟันกรอดพระอนุชาของเธอมีปัญญาเฉียบแหลม แถมเสด็จพ่อก็ยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาได้เข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานและมาเป็ศิษย์ของอาจารย์อวี้เหิงแต่สุดท้ายก็ยังถูกอาจารย์อวี้เหิงปฏิเสธไปจนได้ทว่าชายคนนี้กลับพูดราวกับการได้เข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานเป็เื่จำยอมเสียได้
“องค์หญิงใหญ่เ้าบ้านนอกนี่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยใดต้องมาเปลืองน้ำลายกับคนเช่นนี้ให้เสียเปล่า อัดเขาเลยดีกว่า”ชายร่างอ้วนตุงหนึ่งในนั้นก้าวออกมาข้างหน้าเขามองมายังซูฉางอันพร้อมกับหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียมทำให้ไขมันบนใบหน้าอ้วนสั่นเครือไม่หยุด
สตรีผู้นั้นซึ่งก็คือองค์หญิงใหญ่ตามที่ชายร่างอ้วนเรียกขมวดคิ้วมุ่นเธอไม่ใช่อันธพาลที่ชอบทำร้ายคนอ่อนแอ แต่เธอก็รู้สึกไม่ชอบใจเลยที่ซูฉางอันได้รับความเมตตาจากอวี้เหิงเช่นนี้ เหตุนี้จึงไม่ได้ออกปากห้ามแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้ว่าอะไรชายร่างอ้วนจึงคิดว่าองค์หญิงใหญ่เห็นด้วยกับตน จึงเบะปากให้ชายคิ้วเข้มอย่างได้ใจแล้วก้าวอาดๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูฉางอัน
“เ้าหนุ่ม หากเ้าสัญญากับข้าว่าจะไม่ทำตัวเป็หมาวัดที่คิดอยากจะเด็ดดอกฟ้าหากยอมเลิกคิดเื่เข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานล่ะก็ข้าสัญญาว่าวันนี้จะหักขาเ้าแค่ข้างเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นล่ะก็ หึๆ !” ไขมันบนหน้าอ้วนๆ สั่นแรงขึ้นกว่าเดิม ราวกับซาลาเปาก็ไม่ปาน
จู่ๆซูฉางอันก็ตาสว่าง ราวจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วเขาเงยหน้าขึ้นไปมองชายร่างอ้วนอย่างจดจ่อ พลางกล่าวขึ้น“พวกเ้าไม่อยากให้ข้าเข้าไปศึกษาในสำนักเทียนหลานสินะ”
กลุ่มคนชะงักไปตามๆกัน พลันเสียงหัวเราะก็ะเิขึ้นแม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็ยังหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เลย
“ที่แท้เ้าก็เป็คนปัญญาอ่อนหรือนี่ เพิ่งจะมารู้ตอนนี้งั้นรึ”หนุ่มร่างอ้วนชี้นิ้วมาที่ซูฉางอัน “เ้าโง่เอ้ย ฟังเอาไว้ให้ดีพวกเราไม่ได้ไม่อยากให้เ้าเข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานแต่พวกเราไม่ให้เ้าเข้าศึกษาต่างหาก!”
“แต่ว่า เพราะอะไรล่ะ?” ซูฉางอันเกาหัวตัวเองราวไม่อาจทำความเข้าใจในเื่นี้ได้“ต่อให้ข้าไม่เข้าศึกษาในสำนักเทียนหลาน พวกเ้าก็ไม่ได้เข้าศึกษาอยู่ดีนี่”
ซูฉางอันพูดอย่างซื่อตรงราวกับว่ากำลังรู้สึกเสียดายแทนกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความสัตย์จริง
เสียงหัวเราะคิกคักหายวับไปทันตาพวกเขามีสีหน้าย่ำแย่ขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายจะถูกซูฉางอันจี้ใจดำเสียแล้วไขมันบนใบหน้าอ้วนๆ สั่นเทาขึ้นอย่างรุนแรง จู่ๆร่างอ้วนก็ประกายแสงสีเหลืองออกมาั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ...มันเป็ระลอกพลังของเขา ทั้งยังเป็สัญลักษณ์ของพลังระดับหลอมจิตด้วย
“เ้านี่มันรนหาที่ตายนัก!” คนร่างอ้วนคำรามเสียงกึกก้อง แล้วเหวี่ยงหมัดขวาที่กำแน่นเข้ามาหาซูฉางอันทันที
ซูฉางอันชะงักไปเขาเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบที่ห้อยอยู่ทางด้านหลังโดยสัญชาตญาณจากนั้นก็ดึงมือขึ้นมาเล็กน้อย เพียงเท่านั้น ดาบก็ถูกชักออกมาถึงหนึ่งส่วนแล้ว
แต่เพียงไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเสียบดาบกลับเข้าไปในฝักดังเดิม ซูฉางอันถอยกลับไปทางด้านหลังเล็กน้อยทำให้หลบเลี่ยงหมัดหนักของชายร่างอ้วนไปได้อย่างฉิวเฉียด
กลุ่มคนส่งเสียงอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพรียงแม้เ้าอ้วนคนนี้จะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย แต่อย่างไรเสียเขาก็มีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตแล้ว อีกทั้งความเร็ว และพลังที่แฝงอยู่ในหมัดเมื่อครู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะหลบเลี่ยงไปได้แน่ แต่ซูฉางอันคนนี้แม้จะทุลักทุเลเล็กน้อย แต่เขาก็หลบรอดจากหมัดนั้นไปได้ในที่สุด
“ไวดีนี่!” เมื่อคว้าน้ำเหลวในการโจมตีครั้งแรกหนุ่มร่างอ้วนจึงรู้สึกเสียหน้าเป็อย่างมาก และนั่นก็ทำให้เขาะเิโทสะมากขึ้นเป็เท่าตัวเขาตรงเข้าไปหาซูฉางอัน พลางขับเคลื่อนพลังทั้งหมดในร่างกายไปด้วย ทันใดนั้นพลังอำนาจกลุ่มหนึ่งก็ะเิขึ้นภายในร่างของเขา หมัดเมื่อครู่เขาใช้พลังไปเพียงหกส่วนเท่านั้น เพราะคำนึกถึงฐานะของซูฉางอันนั่นเอง อย่างไรเสียซูฉางอันก็เป็ถึงศิษย์ที่ท่านอวี้เหิงคัดเลือกด้วยตนเองหากได้รับาเ็หรือพิการเพราะเขาล่ะก็แม้แต่เขาที่เป็ถึงบุตรของโหวเจว๋ก็รับผิดชอบไม่ไหวแน่ แต่บัดนี้ซูฉางอันหลบจากหมัดของเขาไปได้ ทำให้เขาเสียหน้าต่อองค์หญิงใหญ่และคนอื่นๆเพลิงแห่งโทสะจึงลุกโชนขึ้นมาทันที เขาไม่สนเื่อื่นอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาอยากทำก็คือการอัดซูฉางอันให้หายแค้น
เมื่อััได้ว่ากลิ่นอายแห่งพลังบนร่างอ้วนเปลี่ยนไปซูฉางอันก็หน้าเสียไปเล็กน้อย ในร่างของเขามีโลหิตเทพอยู่แล้วไหนจะวิชาที่วู๋ถงสอนเขาอีก ระหว่างทางมาฉางอัน เขาเพียรฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งมาโดยตลอดทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังหลอมจิตไม่สำเร็จย่อมไม่อาจหลบรอดจากหมัดที่เ้าอ้วนซัดออกมาอย่างเต็มพลังไปได้อยู่แล้ว
“เลิกสู้กันเถอะ ดีไหม?” ซูฉางอันกล่าวถามด้วยน้ำเสียงแ่เบาราวกำลังวิงวอน
“ฮ่าๆๆ!” กลุ่มคนะเิเสียงหัวเราะขึ้นเป็ครั้งที่สอง
“เ้านี่ช่างขี้ขลาดเหลือเกิน!” ใครบางคนะโเสียงดัง
แม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็ยังมองมาที่ซูฉางอันอย่างหยามเหยียดพลางคิดขึ้นในใจ... ไม่รู้ว่าท่านปู่อวี้เหิงชอบอะไรในตัวเขา แม้แต่คนแบบนี้ก็ยังเข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานได้เลยแล้วทำไมถึงไม่ยอมให้น้องชายข้าเข้าศึกษาด้วยล่ะ
เ้าอ้วนหัวเราะด้วยท่าทางดีอกดีใจมากที่สุดในกลุ่มเขารู้สึกว่าตนกู้หน้ากลับมาได้แล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดจะปล่อยซูฉางอันไปอยู่ดี
“มาร้องขอชีวิตตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว!” เ้าอ้วนพูดขึ้นเขาง้างมือขวาขึ้นสูงอีกครั้ง จากนั้นก็เหวี่ยงมันตรงเข้ามาหาซูฉางอันอย่างแรงครั้งนี้ เขาทุ่มแรงทั้งหมดที่มีออกมาจนหมดพลังระดับหลอมจิตแข็งแกร่งจนไม่อาจมองข้ามไปได้เลย หากเป็คนธรรมดาทั่วไปหากโดนหมัดนี้เล่นงานเข้าล่ะก็ คนที่ร่างกายอ่อนแอลงมาหน่อยคงจะตายคาที่ทันทีที่โดนส่วนคนที่ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาหน่อยก็อาจต้องนอนติดเตียงนานเป็เดือนๆ เลย
ซูฉางอันมองหมัดที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วถอนหายใจออกมาในที่สุด เขาชักดาบออกมาคมดาบถูกเหวี่ยงตรงไปที่หมัดขวาของชายร่างอ้วนซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาอย่างคล่องแคล่วและว่องไวเพียงพริบตาเดียว ดาบของซูฉางอันก็อยู่เหนือหมัดของคนร่างอ้วนเพียงไม่ถึงคืบแล้ว
เป็ดาบที่รวดเร็วจริงๆองค์หญิงใหญ่คิดขึ้นในใจคิดไม่ถึงเลยว่าคนธรรมดาที่ยังหลอมจิตไม่ได้จะแสดงกระบวนดาบที่รวดเร็วมากขนาดนี้ได้
เ้าอ้วนร้อนใจขึ้นมาทันทีเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคมดาบกำลังจะฟันลงมาตัดแขนขวาของตนแล้วทว่าเขากลับไม่มีทางเลือกอื่น เขาเก็บหมัดกลับไปไม่ทันแล้ว
ในวินาทีนั้นซูฉางอันลังเลเล็กน้อย เมื่อได้เห็นท่าทางตื่นตระหนกของคนร่างอ้วนสุดท้ายเขาก็ใจอ่อนจนได้ ซูฉางอันหมุนดาบเล็กน้อย ทำให้คมดาบหันไปทางอื่นจากฟันกลายมาเป็ฟาดแทน
“หึ!” คนร่างอ้วนสบถเสียงในลำคอเขาจับแขนที่ถูกดาบฟาดจนเขียวคล้ำของตัวเองเอาไว้ แล้วถอยกลับไปยืนอยู่อีกด้านสายตาที่มองไปยังซูฉางอันมีความรู้สึกมากมายผสมอยู่มีทั้งความหวาดกลัวและขอบคุณอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด
“ข้าเคยบอกไปแล้วไง ว่าไม่อยากสู้” ซูฉางอันกล่าวขึ้นดวงตาของเขาแลดูใสสะอาด ไม่เหมือนกับคนที่กำลังโกหกเลยสักนิด
คนร่างอ้วนอึ้งเล็กน้อยในตอนนั้นเอง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าที่ซูฉางอันถามขึ้นเมื่อครู่ ไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะไม่อยากทำร้ายเขาต่างหาก เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้คนร่างใหญ่ก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
“ขอบคุณ!” คนร่างอ้วนยกมือประสานกันในท่าคารวะพลางพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ไม่เป็ไร ข้าไม่ชอบทำร้ายใคร” ซูฉางอันส่งยิ้มไปให้คนร่างอ้วนเผยให้เห็นฟันสีขาวที่ซ่อนอยู่ภายใน
ชายอ้วนรู้สึกอับอายเป็อย่างมากเขากล่าวขึ้น “ข้าน้อยเป็บุตรของเจิ้งเต๋อโหว ซุนยิ่งหลง บุญคุณในครั้งนี้ข้าจะจำไว้อย่างดี หากวันหน้า ท่านมีเื่ให้ช่วยก็บอกกับข้าได้ตลอดเวลา”
“เจิ้งเต๋อโหว? ตำแหน่งโหวเจว๋? ”
“สหายซูรู้จักบิดาข้างั้นรึ?”
“เปล่า ข้าแค่อยากถามว่าตำแหน่งโหวเจว๋กับหนานเจว๋ ตำแหน่งไหนใหญ่กว่ากัน?”
“...”