“เมื่อโลหิตเทพเข้าไปในร่างกายมันจะหลอมตัวเองเข้ากับร่างกายของที่พักพิงทันที หาก้าจะนำมันออกมาก็ต้องฆ่าที่พักพิงเสียอย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะเอามันออกมาได้ยังไง” วู๋ถงพูดพลางส่ายหน้าท่าทางของซูฉางอันในตอนนี้ ทำให้วู๋ถงรู้สึกเ็ปหัวใจเหลือเกินเขาถามด้วยท่าทางจริงจังขนาดนั้น มันทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวปลอบใจเลยด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นหรือ?” ซูฉางอันก้มหน้าลงต่ำราวกำลังคิดเื่ที่สำคัญมากบางอย่างอยู่เป็เวลานานกว่าเขาจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วถามขึ้น“หลังจากที่เทพองค์นั้นฟื้นคืนชีพภายในร่างของข้า แล้วมันจะเป็ยังไงต่อไป?”
“นั่นเป็สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุด” วู๋ถงครางเสียงแ่ นางกำลังคิดว่าควรจะบอกเื่นี้กับซูฉางอันอย่างไรให้อ้อมค้อมและนุ่มนวลที่สุดบางทีเขาอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายนางก็คิดไม่ออกเสียทีว่าจะอธิบายมันออกไปเช่นไรเหตุนี้ นางจึงกล่าวขึ้นตามความเป็จริง “แม้จะไม่รู้เหตุผลแต่ในตอนสุดท้ายของเนื้อหาบนผนังเขียนเอาไว้ว่าเทพที่ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งจะแก้แค้นต่อสรรพชีวิตในโลกใบนี้”
“แก้แค้น?” ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ชอบคำนี้เลยในนิยายที่เขาอ่าน พวกคนที่คิดจะแก้แค้นทั้งหลาย มักจะพบกับจุดจบที่ไม่ดีเลยสักนิดในเมื่อฟื้นคืนชีพอีกครั้งด้วยการสังหารคนอีกคน การฟื้นคืนชีพยากเย็นถึงเพียงนี้ทำไมไม่ใช้ชีวิตให้ดีต่อไป ทำไมต้องคิดแต่จะแก้แค้นด้วยล่ะ? ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นอีก “เทพแข็งแกร่งมากหรือขอรับ? เขาเพียงคนเดียวจะแก้แค้นต่อทุกชีวิตในโลกได้ยังไงกัน? ”
“เทพไม่ได้มีตนเดียวหรอกนะ แต่เมื่อลองมาคิดดูแล้วพวกเขาก็คงจะมีกันเพียงไม่มากเท่านั้น หากคิดรวมครึ่งเทพ และเทพชั้นล่างเข้าไปด้วยทั้งหมดก็คงจะมีเพียงไม่เกินหลักร้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นไม่แน่เทพบางส่วนอาจฟื้นคืนชีพไปแล้วก็ได้ พวกเขาเพียงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรอโอกาสเท่านั้นถูกต้อง พวกเขาแข็งแกร่งมากจริงๆ อย่างน้อยบนผนังก็เขียนเอาไว้แบบนั้น”
“แข็งแกร่ง? แข็งแกร่งมากขนาดไหนหรือขอรับ? ” ซูฉางอันไม่ค่อยพอใจกับคำตอบที่ได้รับสักเท่าไหร่
“เข่นฆ่านักรบแห่งดาราจักรได้เหมือนหมูเหมือนหมา”วู๋ถงบอกสิ่งที่ตนเข้าใจออกมา
ซูฉางอันนิ่งเงียบไปเขาก้มหน้าลงต่ำแล้วเริ่มครุ่นคิดเื่บางอย่างอีกครั้ง จนในที่สุดซูฉางอันก็มองไปยังวู๋ถงด้วยดวงตาที่เปล่งประกายสว่างไสวเสียยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องนภาเสียอีก
เขาพูดขึ้น“เช่นนั้น อาจารย์หญิง ได้โปรดสังหารข้าก่อนที่เทพในตัวข้าจะฟื้นคืนชีพแล้วเอาโลหิตเทพออกมาเถิด”
ซูฉางอันพูดด้วยความวิงวอนอย่างสัตย์จริงและนั่นก็ทำให้วู๋ถงรู้สึกสั่นเทาขึ้นอย่างประหลาด
“เพราะอะไร?” วู๋ถงจ้องเข้าไปในดวงตาของซูฉางอันอย่างจริงจังนางอยากจะจับเบาะแสบางอย่างจากดวงตาของเด็กที่มีอายุเพียงสิบหกปีคนนี้แต่สุดท้ายสิ่งที่นางได้รับก็มีเพียงประกายแสงที่เจิดจรัสราวกับดวงดาวเท่านั้น
“ข้าไม่อยากตาย แต่หากเอาโลหิตเทพออกมาไม่ได้เทพองค์นั้นก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้งในร่างของข้า หากเขาเป็เทพที่ดีย่อมปล่อยให้คืนชีพได้ บางที ข้าอาจยังขอให้เขาช่วยดูแลท่านพ่อได้ด้วย”ซูฉางอันกล่าวขึ้น“แต่ท่านอาจารย์หญิงกลับบอกว่าเขาเป็ปีศาจร้ายที่คิดจะทำลายล้างโลกโลกใบนี้ไม่ได้ดีกับข้ามากเท่าไหร่ อย่างน้อย ก่อนจะเจอกับอาจารย์โลกก็ไม่ได้ดีกับข้าเลย แต่ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ข้าชอบอยู่ อย่างเช่นโม่โม่ พ่อข้าแล้วก็อาจารย์หญิง ข้าอยากให้พวกท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกต่อไปแต่หากเขา้าจะทำลายล้างโลก เช่นนั้นข้าก็ปล่อยให้เขาฟื้นคืนชีพไม่ได้”
ซูฉางอันรู้สึกว่าตนพูดได้ดีมากทั้งยังฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิมอีกด้วย เหมือนกับบทพูดของวีรบุรุษในหนังสือนิยายในตอนที่พวกเขากำลังจะไปตายไม่มีผิด ในเวลาเช่นนี้ เพื่อนๆของวีรบุรุษเ่าั้จะน้ำตาไหลนองเพราะคำพูดพวกนี้ผู้หญิงอีกสองสามคนก็จะร้องไห้ฟูมฟายด้วยเช่นกันแต่น่าเสียดายที่ตรงนี้มีเพียงอาจารย์หญิงคนเดียวเท่านั้นแต่หากอาจารย์หญิงร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะเขา นั่นก็คงไม่เลวเหมือนกัน อย่างไรเสียอาจารย์หญิงก็มีหน้าตาสะสวย สวยกว่าโม่โม่เสียอีก
ทว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับมาไม่ใช่น้ำตาของอาจารย์หญิงแต่เป็มือที่ยื่นเข้ามาเขกลงบนหัวของเขาอย่างแรงต่างหาก
“ผู้ชายของสำนักเหยากวงไม่ได้เื่แบบนี้กันทุกคนเลยหรือไง?” วู๋ถงแลดูจะโกรธมาก นางกล่าวด้วยเสียงที่ดังมากกว่าเดิม “วันๆก็เอาแต่คิดจะไปตายแทนคนอื่น ทั้งอาจารย์ปู่ของเ้า อาจารย์ของเ้าแล้วตอนนี้แม้แต่เด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเ้าก็เอาอีกคน! ยังคิดจะปกป้องโลกอีกงั้นเหรอหากเ้าตายแล้วโม่โม่ที่เ้าชอบหนีตามคนอื่นไปล่ะจะทำอย่างไร? โดนสวมเขาทั้งๆ ที่ตายแล้ว น่าสนใจมากใช่ไหม? ”
“แต่โม่โม่ก็ไม่เคยชอบข้าอยู่แล้วนี่ นางชอบกู่หนิงต่างหากต่อให้จะพูดยังไง ก็ไม่ถือว่านางสวมเขาให้ข้าอยู่ดี” ซูฉางอันจับหัวที่ถูกเขกแล้วมองไปยังวู๋ถงอย่างไม่ยุติธรรมเขาคิดว่ารังสีแห่งความเป็วีรบุรุษของตนจะเอาชนะใจอาจารย์หญิงได้เสียอีกต่อให้อาจารย์หญิงจะไม่ได้ร้องไห้จนน้ำตาไหลพรากเหมือนกับตอนที่ท่านอาจารย์มั่วทิงอวี่ตายเมื่อสองปีก่อนก็เถอะแต่อย่างน้อยก็น่าจะหลั่งน้ำตาออกมาบ้างสิคิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาจะเป็คำด่าไปเสียได้
“นางไม่ชอบเ้า แล้วเ้าไม่รู้จักทำให้นางกันมาชอบหรือไง?” วู๋ถงรู้สึกโกรธมากขึ้นกว่าเดิม นางคิดขึ้นในใจว่าเหตุใดมั่วทิงอวี่ถึงรับคนที่โง่ขนาดนี้มาเป็ศิษย์ได้นะ
“แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำยังไงนางถึงหันมาชอบนี่ขอรับ”ซูฉางอันรู้สึกราวไม่ได้รับความยุติธรรม หากเขารู้วิธีทำให้โม่โม่ชอบได้ไยต้องทนเห็นซูโม่กับกู่หนิงจู๋จี๋กันต่อหน้าต่อตาให้เจ็บใจด้วยล่ะ
“เ้าไม่มีวิธี แต่อาจารย์หญิงของเ้ามีวิธี!”
“จริงหรือขอรับ?” ซูฉางอันตาเป็ประกาย
“อาจารย์หญิงจะหลอกเ้าได้ยังไงเล่า?”
“แต่ข้ากำลังจะตายแล้ว หากโม่โม่หันมาชอบข้าแล้วข้าก็ตายแบบนั้นนางต้องเสียใจมากแน่” ซูฉางอันหมองเศร้าลงอีกครั้ง
วู๋ถงเขกหัวซูฉางอีนอีกครั้งด้วยสีหน้าบึ้งตึงแล้วกล่าวขึ้น“เพราะฉะนั้น เ้าจึงต้องหาทางทำให้ตัวเองรอดชีวิตต่อไปไงล่ะ! ไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่เ้าชอบต้องถูกคนอื่นแย่งไปแน่!”
“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่แม้แต่อาจารย์หญิงก็ยังบอกว่าไม่มีวิธีเลยแล้วข้าจะทำอะไรได้เล่าขอรับ? ”
“ตอนนี้ข้ายังไม่มีวิธี แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่มีวิธีนี่!ยื่นมือออกมา ให้ข้าดูหน่อยว่าตอนนี้ภายในร่างกายของเ้าเป็ยังไงบ้าง”
วู๋ถงทำหน้าดุราวกำลังโกรธมากแต่ซูฉางอันรู้ดีว่านางเป็ห่วงตนจากใจจริง จึงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตามคำสั่งวู๋ถงเองก็ยื่นมือออกมาหนึ่งข้างเช่นกัน นางวางมือลงตรงจุดชีพจรของเขาแล้วหลับตาลง ตรวจสภาพภายในร่างกายของเขาด้วยความสามารถอันแสนยอดเยี่ยมของนาง
เป็เวลานานกว่านางจะชักมือกลับ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ไม่ได้แย่เท่าที่ข้าคิดเอาไว้”
“ครึ่งเทพเมื่อครู่อยากจะกลืนกินโลหิตเทพแท้ของเ้า เพื่อปกป้องเ้าโลหิตเทพเสียพลังไปไม่น้อย ตอนนี้มันจึงอ่อนแอมาก ยิ่งไปกว่านั้นในร่างของเ้ามีปราณดาราที่อาจารย์ของเ้าทิ้งเอาไว้ให้มันจะช่วยต้านการรุกรานของโลหิตเทพในร่างให้เ้าเอง”
“ปราณดาราที่ท่านอาจารย์ทิ้งเอาไว้ให้?”
“เส้นทางแห่งการฝึกพลัง มีทั้งหมดเก้าระดับ ได้แก่หลอมจิต เก้าดาราอรุณรุ่ง ไท่ยี คุมพิภพ สั่งฟ้า ปราบิญญา ศาสตร์แห่งพรต และดาราจักรระดับแรกของพลัง ระดับหลอมจิตก็คือการสร้างปราณดาราเอาไว้ภายในร่างกายนั่นเองคนธรรมดานั้น เมื่อฝึกจนสำเร็จขั้นนี้ ปราณดาราของพวกเขาจะเป็เหมือนกระดาษสีขาวส่วนเื่ที่ว่าปราณดาราจะอยู่ในธาตุอะไรนั่นเป็สิ่งที่ผู้ฝึกฝนต้องฝึกตามความสามารถและพร์ที่มีภายในร่างกายแล้วค่อยเติมมันลงไปในปราณดาราภายหลัง ทางด้านนักรบแห่งดาราจักร ก่อนจะสิ้นใจพวกเขามักจะเปลี่ยนความเข้าใจด้านการฝึกพลังของตนไปเป็ปราณดาราแล้วส่งต่อให้คนรุ่นหลังเพื่อสืบทอดต่อไป การถ่ายทอดเช่นนี้เรียกว่าการสืบดาราซึ่งนักรบแห่งดาราจักรจะทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นในร่างของเ้ามีปราณดาราที่มีพลังแห่งคมดาบผสมอยู่ด้วย ซึ่งมั่วทิงอวี่น่าจะเป็คนทิ้งเอาไว้มันแฝงอยู่ในดาบเล่มนั้น เมื่อเ้าชักดาบออกมาการสืบดาราก็จะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง นั่นเป็พลังที่อาจารย์ของเ้าทิ้งเอาไว้ให้แต่เพราะกลัวว่าเมื่อชักดาบออกมา เ้าจะถูกโลหิตเทพเล่นงานเข้าอาจารย์ของเ้าจึงทิ้งผนึกเอาไว้ด้วยนั่นเอง”
“แต่แม้จะมีปราณดาราคอยช่วยทว่ามันก็ช่วยต้านโลหิตเทพได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นมันทำได้เพียงยืดการตายของเ้าออกไป แต่ไม่อาจรักษาที่ต้นเหตุได้แต่นั่นก็ทำให้ข้ามีเวลาหาทางกำจัดโลหิตเทพมากขึ้นกว่าเดิม”
ซูฉางอันเข้าใจความหมายที่วู๋ถง้าจะสื่อนางกำลังจะจากไปนั่นเอง เขาจึงรีบกล่าวขึ้นอย่างไม่อยากพลัดพราก “อาจารย์หญิงให้ข้าไปกับท่านเถอะ แม้ข้าจะไม่มีความสามารถหรือพลังอะไร แต่หากข้าไปด้วยอย่างน้อยก็คงจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง”
“ที่ที่ข้าจะไปอันตรายมาก หากเ้าไปด้วย ไม่เพียงไม่อาจช่วยข้าได้ยังจะเป็ภาระให้ข้าเสียอีก หากเ้าอยากจะช่วยข้าจริงๆ ก็ตั้งใจฝึกพลังอย่าให้โลหิตเทพนั่นเอาชนะเ้าได้ก่อนที่ข้าจะหาวิธีทำลายมันจนเจอ” วู๋ถงกล่าว
ซูฉางอันคิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าสิ่งที่วู๋ถงพูดมามีเหตุผล จึงพยักหน้ารับ แล้วตอบกลับไปอย่างจริงจัง“อาจารย์หญิง ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่มีวันพ่ายต่อมันแน่!”
เมื่อได้ยินดังนั้นในที่สุดวู๋ถงก็ประกายรอยยิ้มออกมา มันแลดูน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวจากนั้นนางก็วางมือลงบนหัวของซูฉางอันทำให้เขารับรู้ได้ถึงไอความร้อนที่กระจายเข้ามาทางศีรษะ แล้วแล่นไปทั่วร่างกายให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูกเลย
“อาจารย์หญิง นี่ท่าน...?” ซูฉางอันมองไปยังวู๋ถงอย่างสงสัย
“นี่เป็ทักษะการสืบดาราของข้า เ้าเป็ลูกศิษย์ของข้าข้าย่อมต้องถ่ายทอดปราณดาราแห่งเปลวเพลิงของตัวเองให้อยู่แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดเคล็ดลับการฝึกพลังบางส่วนให้เ้าด้วยมีทั้งปราณดาราของข้าและอาจารย์เ้าตอนนี้เ้าก็ได้รับการสืบดาราจากนักรบแห่งดาราจักรถึงสองคนแล้วนะอย่าว่าแต่นักรบระดับหลอมจิตเลยแม้แต่นักรบระดับเก้าดาราทั่วไปก็ยังสู้เ้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำแต่อย่างไรเสียของพวกนี้ก็เป็เพียงของภายนอกเท่านั้นเ้าจะทำชะล่าใจไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องรีบฝึกพลังของตัวเองให้ได้โดยเร็วจะได้ต้านโลหิตเทพภายในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น”
ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าการสืบดาราที่ว่าคืออะไรกันแน่แต่ทักษะที่แม้แต่นักรบแห่งดาราจักรก็ยังทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตต้องเป็อะไรที่หายากมากแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นวู๋ถงก็ยังถ่ายทอดมาให้เขาโดยหวังให้มันช่วยถ่วงเวลาที่โลหิตเทพจะกลืนกินร่างของเขาออกไปเท่านั้นซูฉางอันรู้สึกซาบซึ้งใจเป็อย่างมากแต่ก็ไม่รู้จะแสดงความซาบซึ้งนั้นออกมายังไงดี ทำได้เพียงมองดูวู๋ถงด้วยดวงตาที่แดงก่ำเพราะน้ำตาเท่านั้นเป็เวลานานที่เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
เมื่อเห็นดังนั้นวู๋ถงก็ประกายรอยยิ้มออกมา นางจับหัวซูฉางอันเบาๆ พลางกล่าวขึ้น“เมื่อพวกพ้องของเ้าฟื้นขึ้นมา เ้าก็เดินทางไปที่เมืองฉางอันพร้อมกับพวกเขาเถอะที่นั่นมีอาจารย์ลุงของอาจารย์เ้า อวี้เหิงอยู่ด้วยเ้าเป็ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของเหยากวง เขาคงไม่ปล่อยให้เ้าตายเช่นนี้หรอกเขามีชีวิตอยู่บนโลกมานานกว่าข้า ต้องมีวิธีช่วยเ้าแน่หากมีปัญหาเื่การฝึกพลังก็ไปถามเขาได้ เมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้วคงไม่มีนักรบแห่งดาราจักรคนไหนฝึกพลังได้ยอดเยี่ยมยิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว”วู๋ถงสั่งกับซูฉางอันอีกครั้ง แต่ก็ราวจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นอีกหน
“จำเอาไว้ล่ะ ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบไหน ไม่ว่ายังไงห้ามยอมแพ้ก่อนที่ข้าจะกลับมาหาเ้าเด็ดขาด! อย่าลืมนะว่าเ้าเคยรับปากกับอาจารย์ของเ้าเอาไว้แล้วว่าจะดูแลข้า หากเ้าตายล่ะก็ต่อให้ต้องตายกลายเป็ผี ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเ้าไปง่ายๆ แน่” เมื่อกล่าวจบวู๋ถงก็แลบลิ้นทำหน้าผีให้ซูฉางอันเป็การปิดท้าย
ซูฉางอันคิดไม่ถึงว่าอาจารย์หญิงจะมีมุมเช่นนี้เขาชะงักไปในทันที ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี