ในที่สุดฉู่ซีฟงก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเขามองมาทางซูฉางอัน แล้วพูดด้วยท่าทางตกตะลึง “ร่างของเ้ามีกลิ่นอายของเขาอยู่?”
“กลิ่นอายของเขา?” ซูฉางอันทวนประโยคซ้ำอีกครั้งเขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าฉู่ซีฟงกำลังหมายถึงอะไร
“ข้าััได้! ร่างของเ้ามีพลังดาบของเขาอยู่! เขายังไม่ตาย!” ฉู่ซีฟงประกายความร้อนแรงขึ้นในแววตาคล้ายเป็แมงเม่าที่กำลังตามหาเปลวเพลิงจนในที่สุดก็ได้พบกับแสงไฟในความมืดเช่นนั้น
“ท่านอาจารย์ตายไปแล้วจริงๆ” ซูฉางอันกล่าวอธิบาย จู่ๆเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็เพราะชายตรงหน้าหรือเป็เพราะมั่วทิงอวี่ที่ตายจากไปแล้วกันแน่ “พลังดาบนี้ เป็ปราณดาราแห่งดาบที่ท่านอาจารย์ทิ้งเอาไว้ให้ข้า”
เมื่อสิ้นเสียงกลุ่มคนก็ตกตะลึงไปในพริบตา
“ปราณดาราแห่งดาบ...” เซี่ยโหวฟ่งอวี้พูดทวนเสียงแ่ จู่ๆดวงตาของนางก็มีแสงประกายสว่างไสวขึ้นแววตาเมื่อมองมายังซูฉางอันก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ปราณดาราแห่งดาบ? เหลวไหลมั่วทิงอวี่ไม่ใช่นักรบแห่งดาราจักรเสียหน่อย จะมีปราณดา...” จู่ๆ เสียงของฉู่ซีฟงก็แ่ลงเรื่อยๆจนเงียบหายไป ความบ้าคลั่งในดวงตาของเขาค่อยๆ สลายไปพลันความตื่นตะลึงก็ประกายขึ้นบนใบหน้าอย่างเชื่องช้า
“เ้ากำลังจะบอกว่าเขาได้เป็นักรบแห่งดาราจักรแล้ว!” เขาถามซูฉางอันขณะที่น้ำเสียงก็สั่นเทาขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่
“ขอรับท่านอาจารย์เป็นักรบแห่งดาราจักรแล้ว และิญญาของท่านก็กลับสู่ท้องนภาแล้วด้วย” ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าฉู่ซีฟงรู้สึกอย่างไรกับท่านอาจารย์กันแน่ ดูเหมือนจะเป็ศัตรูกันแต่เขาก็ััได้ว่าฉู่ซีฟงรู้สึกเสียใจกับการตายของท่านอาจารย์อย่างแท้จริง
นี่นับเป็ข่าวที่ะเืไปทั้งปฐีเลยทีเดียว! ผู้คนมากมายพากันจินตนาการถึงวิธีการที่มั่วทิงอวี่ใช้สังหารเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าปีศาจกันไปต่างๆนานา ทว่ากลับไม่มีใครเคยคิดเลย ว่ามั่วทิงอวี่กลายเป็นักรบแห่งดาราจักรไปแล้วเมื่อสองปีก่อน เขาเพิ่งจะมีอายุแค่ยี่สิบเก้าเท่านั้น ั้แ่อดีตกาลยังไม่เคยมีนักรบแห่งดาราจักรที่อายุน้อยขนาดนี้มาก่อนเลย แม้แต่ใน่ร้อยปีก่อนซึ่งเป็่ที่รุ่งเรืองมากที่สุดของเผ่ามนุษย์คือมีนักรบแห่งดาราจักรมากถึงร้อยคนก็ยังไม่เคยมียอดอัจฉริยะที่เก่งกาจเกินมนุษย์ขนาดนี้มาก่อนเลย
“นักรบแห่งดาราจักร! เขากลายเป็นักรบแห่งดาราจักรไปแล้ว!”ฉู่ซีฟงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าคล้ายสามารถมองเห็นดวงิญญาของมั่วทิงอวี่อย่างไรอย่างนั้น “สมแล้วที่เ้าเป็ยอดอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรอบร้อยปีของเผ่ามนุษย์! สวีรั่ง หลัวอวี้เอ๋อร์ โฮ่วหรูอี้ฮวาเฟยจั๋ว พวกเ้ารู้หรือไม่ เขาเป็นักรบแห่งดาราจักรแล้ว! ฮ่าๆๆ!”
ฉู่ซีฟงหัวเราะเสียงดังลั่นราวกับคนบ้าน้ำตาหยดใสไหลออกมาจากหางตาของเขาอย่างลืมตัว
การได้เกิดในยุคเดียวกับมั่วทิงอวี่นับเป็ความโชคร้ายและโชคดีไปในขณะเดียวกันเขาเป็เหมือนูเาขนาดใหญ่ที่ทับอยู่บนร่างของนักพรตทุกคนในรุ่นเดียวกันไม่ว่าจะพยายามไต่ขึ้นไปเร็วเท่าไหร่ พยายามฝึกหนักแค่ไหน สุดท้าย เมื่อแหงนหน้าขึ้นแล้วมองไปข้างหน้าสิ่งเดียวที่จะได้เห็นก็มีเพียงแผ่นหลังลิบๆ ของมั่วทิงอวี่เท่านั้น
ตอนนี้เขาจากไปแล้วมีเพียงตำนานที่ไม่น่าจะเป็ไปได้เท่านั้นที่เขาทิ้งเอาไว้ให้ผู้ที่พยายามจะตามเขาให้ทันชื่นชม ทว่าไม่อาจไขว่คว้าเข้ามาได้
ในที่สุดฉู่ซีฟงก็สงบลงอย่างช้าๆพลังดาบที่พุ่งไปทั่วก็ถูกเก็บกลับไปอีกครั้งทำให้พื้นที่หน้าสำนักเทียนหลานกลับมาสงบดังเดิม
ทว่าพวกของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ยังคงจมอยู่ในความตื่นตระหนกไม่เปลี่ยนไปพวกเขาจ้องไปที่ฉู่ซีฟง ไม่รู้ว่าในวินาทีต่อไป ชายคนนี้จะทำเื่บ้าๆอะไรขึ้นอีก
“เ้ามีปราณดาราของเขาอยู่ในตัวงั้นรึ?” เป็เวลานานกว่าฉู่ซีฟงจะพูดขึ้นในที่สุด
“อืม ขอรับ” ซูฉางอันพยักหน้า
“มาสู้กับข้า” ฉู่ซีฟงกล่าวด้วยท่าทางจริงจังดาบของเขาถูกชักออกจากฝัก คมดาบที่ขาวสว่างไสว ประกายแสงที่น่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุด
“หืม?” ซูฉางอันชะงักอึ้งไปในทันทีเขาดูไม่ออกว่าฉู่ซีฟงมีพลังอยู่ในระดับไหนแล้วแต่พลังดาบที่เขาปลดปล่อยออกมาอย่างลืมตัวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าชายคนนี้มีระดับพลังสูงกว่าระดับเก้าดาราไปมากเหลือเกิน
“ข้ายังหลอมจิตไม่สำเร็จเลย” ซูฉางอันเน้นย้ำถึงระดับพลังของตนในตอนนี้กับอีกฝ่ายด้วยหวังให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิด
“เ้าเป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่เขาค้างการประลองกับข้าครั้งหนึ่ง เ้าต้องคืนการประลองนี้ให้ข้าแทนเขา” ฉู่ซีฟงไม่สนใจในสิ่งที่ซูฉางอันพูดเลยสักนิดเขากล่าวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น
“...” ซูฉางอันพูดไม่ออกเขารู้สึกว่าสิ่งที่ฉู่ซีฟงพูดมีเหตุผล แต่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายจริงๆ “แต่ข้าสู้ท่านไม่ได้ ท่านชนะแล้ว”
ฉู่ซีฟงขมวดคิ้วมุ่น “นี่น่ะเหรอ ศิษย์ของมั่วทิงอวี่? ยังไม่ทันได้สู้เลยเ้ารู้ได้ไงว่าสู้ข้าไม่ไหว”
ซูฉางอันตะลึงไปแล้วคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอคนที่ไม่มีเหตุผลเสียยิ่งกว่าตนเสียอีก จู่ๆเขาก็รู้สึกหมดคำจะเถียงกับฉู่ซีฟงไปแล้ว
“เอาแบบนี้ก็แล้วกันข้าจะผนึกพลังิญญาของตัวเองเอาไว้ พวกเราประลองกระบวนการต่อสู้กันก็พอ ตกลงไหม” เมื่อเห็นว่าซูฉางอันนิ่งเงียบไปนานบวกกับเขาเองก็รู้สึกคล้ายตนกำลังรังแกเด็กอยู่ จึงเสนอขึ้นอีกครั้ง
ประลองแค่กระบวนการต่อสู้? ซูฉางอันยิ้มขมขื่นขึ้นในใจกระบวนการต่อสู้ที่เขารู้ในตอนนี้ มีเพียงการกวาดดาบ ฟัน ปาด ตัด ผ่า ควง และแทงซึ่งเป็เพียงการต่อสู้ขั้นพื้นฐานที่หลิวต้าหงสอนให้ระหว่างทางมาฉางอันเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น กระบวนดาบเพียงหนึ่งเดียวที่มั่วทิงอวี่สอนให้เขาก็เข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาเคยแสดงมันออกมาได้เพียงครั้งเดียว มิหนำซ้ำที่เขาฝืนแสดงมันออกมาได้ในครั้งนั้นก็เป็เพราะพลังดาบที่มั่วทิงอวี่ทิ้งเอาไว้ให้ด้วย
“ข้า...” ซูฉางอันกำลังจะกล่าวปฏิเสธแต่เสียงที่เก่าแก่ทว่าก็ทรงพลังของใครบางคนก็ดังขึ้นในสมองเสียก่อน
“ตอบตกลง!” เสียงนั้นกล่าวขึ้น
ซูฉางอันตกตะลึงเป็อย่างมากเขาหันกลับไปมองรอบๆ นอกจากฉู่ซีฟง กับพวกของเซี่ยนโหวฟ่งอวี้แล้วบริเวณนี้ก็ไม่มีใครคนอื่นอีกเลย
“เลิกหาได้แล้ว ข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้น” เสียงนั้นดูจะรำคาญเล็กน้อย “แค่เ้าพูดขึ้นในใจ ข้าก็จะได้ยินเอง”
“ท่านคืออาจารย์อวี้เหิงหรือขอรับ?” ซูฉางอันถามขึ้นในใจคนที่มีพลังที่วิเศษมากขนาดนี้ ทั้งยังรู้จักกับตนอีกนอกจากท่านอวี้เหิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานาน เขาก็คิดไม่ออกอีกแล้วว่ายังมีใครอีก
“เ้าหนุ่ม เ้าก็ไม่ได้โง่เกินไปนี่” เสียงนั้นกล่าวขึ้น
“แต่ข้ายังหลอมจิตไม่สำเร็จเลย” ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวขึ้นในใจ
“บอกให้ตอบตกลงก็ตอบตกลงไปเถอะข้าจะทำร้ายเ้าหรือไร?” ความไม่พอใจในน้ำเสียงเด่นชัดมากขึ้นทุกทีแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น...ก็ได้” ซูฉางอันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแม้เขาจะไม่เคยเจออวี้เหิงมาก่อน แต่เพราะอวี้เหิงเป็อาจารย์ลุงของมั่วทิงอวี่ซูฉางอันจึงรู้สึกเชื่อใจและรู้สึกดีกับอวี้เหิงมากเป็พิเศษ
“รอก่อน ข้าจะบอกบางอย่างกับเ้าจากนั้นเ้าก็พูดให้เ้าหนุ่มสกุลฉู่คนนั้นฟังอีกทีนะ” เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อรออยู่นานแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากซูฉางอันเสียที ฉู่ซีฟงจึงยกดาบขึ้นแล้วชี้มันไปที่ซูฉางอัน “เ้าหนุ่มสรุปว่าเ้าตกลงหรือเปล่า!”
ทันใดนั้น จู่ๆซูฉางอันก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาส่งยิ้มให้ฉู่ซีฟงแล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะสดใส “ข้าตกลง! แต่ท่านก็ต้องรับปากกับข้าเื่หนึ่ง!”
“เื่อันใด?” ฉู่ซีฟงขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวถาม
“ท่านเป็นักดาบที่มีฝีมือเทียบเท่ากับอาจารย์ของข้าเป็ผู้าุโของข้า แม้ท่านจะยอมผนึกพลังของตัวเองเพื่อประลองกับข้าแต่อย่างไรเสีย ท่านก็ฝึกวิชามานานกว่าข้า การที่ท่านชนะนับเป็เื่ที่สมควรอยู่แล้ว เพียงแต่ หากผู้น้อยโชคดี เอาชนะท่านผู้าุโได้จะทำเช่นไรดี?” ซูฉางอันพูดตามอวี้เหิงด้วยท่าทางใจเย็น
“แล้วเ้า้าสิ่งใด?” ฉู่ซีฟงมีท่าทีไม่สบอารมณ์นักเขารู้อยู่แล้ว ว่าตนสามารถเอาชนะซูฉางอันได้โดยไม่ต้องกระดิกนิ้วเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้มั่วทิงอวี่ก็เป็เหมือนมารในใจเขา หากเขาไม่ประลองกับซูฉางอันที่เป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่เพื่อทำลายกำแพงในใจทิ้งไปล่ะก็เกรงว่ามันจะสร้างอุปสรรคต่อการฝึกพลังต่อจากนี้แก่เขาได้ไม่น้อยเลย
“ง่ายมากหากผู้น้อยเอาชนะท่านผู้าุโได้ข้าหวังว่าท่านจะยอมเข้าสำนักเทียนหลานในฐานะอาจารย์ผู้ฝึกสอนของข้า”
เมื่อได้ยินดังนั้นฉู่ซีฟงก็ขมวดคิ้วมุ่นยิ่งขึ้น แม้เขาจะคลั่งใคล้ในการฝึกยุทธิ์แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้เื่เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย แผ่นดินต้าเว่ยในตอนนี้ดูผิวเผินอาจราวสงบสุข ทว่าความจริงแล้ว กลับมีลมพายุแอบแฝงอยู่มากมายท่านอวี้เหิงกับมหาจักรพรรดิสองเสาหลักของแผ่นดินต้าเว่ยก็ราวกับดวงตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าเมืองฉางอันที่แลดูรุ่งเรืองมีอันตรายซ่อนอยู่มากมาย หากเขายอมเข้าสำนักเทียนหลานเช่นนั้นก็แปลว่าเขาเป็ทายาทของอวี้เหิงแล้วความสำคัญและความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์นี้ สลับซับซ้อนจนยากจะอธิบายเลยก็ว่าได้และเขาก็รู้ถึงข้อนั้นดี แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะพ่ายให้กับซูฉางอันเลยสักนิดจึงตอบตกลงอย่างไม่คิดลังเล “ได้ ข้าตกลง!”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินวันนี้ หน้าสำนักเทียนหลานเกิดเื่ขึ้นมากมายเหลือเกิน
อย่างเช่น มั่วทิงอวี่ได้เป็นักรบแห่งดาราจักรซูฉางอันมีปราณดาราของมั่วทิงอวี่อยู่ภายในร่างฉู่ซีฟงที่หายตัวไปนานหลายปีกลับมาที่เมืองฉางอันอีกครั้งเื่เหล่านี้ล้วนไม่ใช่เื่เล็กทั้งสิ้นมันเป็เื่สำคัญที่แม้แต่มหาจักรพรรดิก็ยังต้องให้ความสำคัญเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อนำมาเทียบกันแล้วการที่ซูฉางอันกล้ารับคำท้าของฉู่ซีฟงต่างหากจึงจะเป็สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดของวัน
ฉู่ซีฟงเป็ใครกัน? เขาเป็ถึงยอดอัจฉริยะในรุ่นก่อนหากไม่ใช่เพราะมีคนเหนืุ์เช่นมั่วทิงอวี่อยู่เขาต้องกลายเป็บุคคลที่โด่งดังไม่ต่างไปจากกู่เซี่ยนจวิน และมู่กุยอวิ๋นในยุคนี้แน่เมื่อสิบปีก่อน ตอนเลือกเดินทางไปที่ดินแดนตะวันตกเขาก็มีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งแล้ว เมื่อมาตอนนี้ หลังเพียรฝึกฝนมานานนับสิบปีพลังของเขาจะก้าวหน้ามากขนาดไหน? ทางด้านซูฉางอันแม้จะเป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่ ทั้งยังมีปราณดาราของมั่วทิงอวี่อยู่ในร่างกายแต่หากจะว่ากันตามจริงเขาก็เป็แค่เด็กบ้านนอกที่ยังหลอมจิตไม่สำเร็จคนหนึ่งเท่านั้นคนเช่นนี้กล้ารับคำท้าของฉู่ซีฟงเสียได้ หากไม่ใช่เพราะเห็นด้วยตาของตัวเองฟ่งอวี้ต้องไม่มีทางเชื่อแน่
เซี่ยโหวฟ่งอวี้สติหลุดลอยออกไปชั่วขณะกระทั่งซูฉางอันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า นางจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง
“ขอยืมดาบหน่อยได้ไหม?” ซูฉางอันกล่าวขึ้นดวงตาของเขาใสสะอาดไม่ต่างไปจากธารน้ำแร่เลย
“หา? อ้อ” จู่ๆ เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างประหลาด นางยื่นดาบในมือไปให้โดยสัญชาตญาณ
“ขอบคุณ” ซูฉางอันรับดาบด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อยจากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้ฉู่ซีฟง พลางกล่าวขึ้น “เริ่มได้แล้ว”
ซูฉางอันยกดาบขึ้นมาทาบเอาไว้เหนืออกแล้วเอียงร่างเล็กน้อย นิ้วชี้และกลางของมือซ้ายถูกชี้ออกมาในลักษณะแนบติดกันและแนบนิ้วทั้งสองลงบนใบมีดอย่างแ่เบา
ฉู่ซีฟงประกายความประหลาดใจขึ้นในแววตาแม้จะดูเหมือนการตั้งท่าของซูฉางอันธรรมดาราวไม่มีอะไรพิเศษ ทว่าความจริงแล้วท่านี้สามารถรับและรุกได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ทั้งมือและเท้าก็ถูกจัดวางอยู่ในจุดที่พอเหมาะพอดี ไม่ได้เอนเอียงหรือบิดเบี้ยวไปเลยแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่เด็กอายุสิบห้าสิบหกจะคิดได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอนมันคล้ายออกมาจากการชี้แนะของปรมาจารย์ที่ใช้ดาบมานานแสนนานต่างหาก
ฉู่ซีฟงััได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างแต่ก็ระบุไม่ได้เหมือนกันว่ามันมีปัญหาที่ตรงไหนกันแน่ แต่เพราะเขาเป็นักดาบจึงชอบจัดการกับปัญหาที่แก้ไขไม่ได้โดยการตัดปัญหานั้นให้ขาดเป็สองท่อนไปเลย
ดังนั้นเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายสองเท้าส่งแรงดันลงบนพื้นดินขณะที่ดาบในมือก็ถูกเหวี่ยงฟันไปที่ซูฉางอันด้วยแรงและรัศมีที่ไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้อย่างรวดเร็ว
กระบวนดาบนี้ทรงพลังและหนักหน่วงเป็อย่างมากต่อให้เขาจะผนึกพลังของตัวเองไปแล้วแต่กล้ามเนื้อของเขาก็ยังมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเป็อย่างมาก เขาสามารถเอาชนะนักรบระดับเก้าดาราหรือแม้แต่ระดับรุ่งอรุณด้วยพละกำลังในร่างกายและกระบวนดาบที่แข็งแกร่งได้โดยไม่ต้องใช้พลังิญญาเข้ามาช่วยเสียด้วยซ้ำเขาจึงเชื่อว่าดาบนี้ต้องทำให้ซูฉางอันต้องแพ้ราบคาบได้อย่างแน่นอน
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็คิดเช่นนั้นกันหมดพลังในกระบวนดาบของฉู่ซีฟงในครั้งนี้แม้แต่เซี่ยนโหวฟ่งอวี้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่มก็ยังรับมันเอาไว้ไม่ไหวเลยแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมา แม้จะไม่ชอบซูฉางอันแต่เมื่อมาคิดว่าเขาอาจจะถูกพลังในดาบนั้นเปลี่ยนให้กลายเป็ชิ้นเนื้อแหลกเละ จู่ๆนางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แต่ซูฉางอันกลับไม่คิดจะหลบคมดาบที่กำลังพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวนั้นเลยแม้แต่น้อยเขากลับยื่นด้ามดาบเข้าไปข้างหน้า เพื่อรับการโจมตีอันทรงพลังจากฉู่ซีฟงแทน
ฉู่ซีฟงประกายรอยยิ้มหยามเหยียดขึ้นบนใบหน้าดาบนี้ทรงพลังและรุนแรงเป็อย่างมากหาใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มซึ่งยังหลอมจิตไม่สำเร็จจะรับเอาไว้ได้ไม่เขาหาวิธีหลบการโจมตีในครั้งนี้ไปได้ตั้งมากมายแต่ซูฉางอันกลับเลือกใช้วิธีที่โง่เง่ามากที่สุดเสียอย่างนั้น เขารู้ดีว่าเมื่อเหวี่ยงดาบลงไปซูฉางอันต้องตายคาสนามรบอย่างแน่นอน จึงพยายามออมแรงให้ได้มากที่สุดเขาไม่อยากสังหารซูฉางอันหรอกนะ อย่างไรเสีย ซูฉางอันก็เป็ลูกศิษย์ของมั่วทิงอวี่แม้ฉู่ซีฟงจะมองว่ามั่วทิงอวี่เป็คู่แข่งด้านความก้าวหน้าทางการต่อสู้ของเขามาโดยตลอดแต่คู่ต่อสู้ไม่ใช่ศัตรู ยิ่งไปกว่านั้น ในบางครั้งบางคราเขายังรู้สึกว่ามั่วทิงอวี่เป็เพื่อนด้วยซ้ำไป
ชิ้ง!
เสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นคมดาบประสานเข้าด้วยกันแล้ว