“เลิกพูดได้แล้ว” เมื่อมาถึงตรงนี้ ตาเฒ่าซูที่เงียบขรึมมาตลอดก็แสดงความโกรธออกมาในที่สุด
ทำเอานางเฉินที่เอ่ยพล่ามไม่หยุดถึงกับมองเขาด้วยความใ ตอนนี้เขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่เคยมองอย่างขวยเขินเพียงเพราะรอยยิ้มของนางอีกต่อไปแล้ว เบื้องหน้าของนางในเวลานี้ชายแก่ผมสีดอกเลา รอยเหี่ยวย่นทั่วใบหน้าและแววตาที่โกรธเคือง…ใน่ระยะเวลาเพียงสั้นๆ นางเฉินรู้สึกราวกับว่าชายเบื้องหน้าคือคนแปลกหน้า
“แม้แต่เ้า…แม้แต่เ้าก็รังเกียจข้าหรือ” ความรู้สึกเศร้าโศกพรั่งพรูมาจากในจิตใจ ร่ำไห้ออกมา
นางพุ่งเข้าไปหาเขาและทุบตี ตาเฒ่าซูก็ปล่อยให้นางปล่อยอารมณ์ไปตามที่นาง้า
รอจนเมื่อนางเฉินได้ระบายจนพึงพอใจ เขาจึงเงยหน้ามองนางด้วยแววตาเฉยชา
“ชีวิตนี้เ้าทรมานนามสกุลซูของข้า เื่นั้นข้ารับได้ ใครกันที่ใช้ให้ข้าชื่นชอบเ้าจากใจจริง เคารพที่เ้ามีความกตัญญูต่อบิดามารดาข้าจนส่งพวกท่านลงหลุมและได้ให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวพร้อมกับเลี้ยงดูพวกเขาให้ข้า แต่หัวใจของเ้ามันแยกแยะถูกผิดไม่ได้ ผู้คนพูดกันว่าการให้บุตรสาวออกเรือนเหมือนเทน้ำออก ทั้งหลายปีที่ผ่านมา ปีนี้เ้าดูแลครอบครัวฝั่งของเ้า ปีหน้าเ้าก็ดูแลครอบครัวฝั่งเ้า เ้าดูแลพวกเขามาตั้งหลายปี เ้าได้รับอะไรดีๆ บ้างไหม ถูกคนนินทาว่าร้าย ไม่มีความจริงเลยสักประโยค พวกเขามองผ่านเ้าไป ชีวิตนี้ทั้งชีวิตมีแต่ความกังวล
เื่ในวันนี้เ้าทำไม่ถูก เ้าคิดว่าข้าไม่รู้ความรู้สึกในใจของเ้า นั่นไม่ผิด เ้าลำบากใจที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างลูกสาวและพวกน้องชาย เ้าคิดว่าไม่ควรทำให้ลูกสาวลำบาก และก็ไม่สามารถทำให้น้องชายของเ้าเสียเปรียบได้
จากนั้นเ้าก็หาเหาใส่หัวโดยการเอ่ยปากเื่แยกทางกันออกมา เฉินเหลียนฮวา ในสายตาของเ้าข้าเป็ผู้ชายที่ไร้ค่าขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าทำงานหนักเพื่อเ้าตั้งหลายปี ในท้ายที่สุดข้าก็ได้รับเพียงแค่คำพูดที่้าเลิกรากันของเ้า
เ้าเพียงแค่้าเอาเื่เลิกรากันมาบีบบังคับบุตรสาว เฉินเหลียนฮวา ข้าช่างรู้สึก…ผิดหวังในตัวเ้าจริงๆ ยายแก่ที่อยู่ร่วมกันมา อายุขนาดนี้แล้ว บุตรชายยังไม่ได้แต่งงาน เ้ายังจะสร้างปัญหาอีก เ้า…ข้าพูดตามตรง วันนี้ข้าเข้าใจแล้ว หากเ้ายังสร้างปัญหาเช่นนี้อีก อยากเลิกรา อยากทำอะไร ข้าก็จะให้เ้าทำตามใจเ้า คนผีเข้าผีออกอย่างเ้า ข้าพอแล้ว ลูกชายของเรายังไม่ได้แต่งงาน ข้ายังไม่มีหลานสืบสกุล ข้ารู้สึกผิดต่อ…บรรพบุรุษทุกรุ่นจริงๆ”
เอ่ยมาถึงประโยคสุดท้าย ตาเฒ่าซูก็น้ำตาไหลพราก เขาไม่มองภรรยาของตนเองอีก แต่ปาดน้ำตาและเอวงอออกไปจากห้อง
นางเฉินมองดูคู่ชีวิตเอวงอของตนเองก็เกิดความรู้สึกขึ้นภายในใจ
เงาร่างของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ซึ่งมันคือแววตาไม่พอใจของบุตรชายคนโต
“ลูกชาย บอกแม่ที แม่…ทำผิดไปใช่ไหม”
ต้าหล่างจ้องมองนางด้วยความไม่พอใจ “ท่านแม่ ท่านไม่ใช่แค่ผิด แต่มันเป็ความผิดที่ไร้เหตุผล ข้าไม่เคยเห็นคนใจดีที่อ่อนปวกเปียกเหมือนท่านแม่มาก่อน ความใจดีของท่าน ถูกเทไปให้ใครกันหรือ คนตระกูลเฉินเ่าั้ ต่อให้ท่านแม่เอาเืเอาเนื้อป้อนให้พวกเขา สุดท้ายพวกเขาก็จะโกรธอยู่ดีที่ไม่ได้ดูแลพวกเขาให้ดี ท่านแม่ พวกเราก็เป็ลูกของท่าน ฉีเฉียวก็เป็ลูกสาวของท่าน แต่ท่านแม่ล่ะ เคยคิดเพื่อพวกเราบ้างไหม ในสายตาของท่านแม่มีแต่พวกน้องชาย หลานสาวและหลานชาย เงินที่ข้าจะใช้สู่ขอภรรยาในตอนนั้น…ช่างมันเถิด ข้าไม่ได้ใช้เงินที่หามาข้าก็ไม่เป็ไร แต่ท่านแม่เคยคิดเพื่อพวกเราบ้างไหม”
เดิมทีแล้วต้าหลางเป็คนธรรมดาทั่วๆ ไป บวกกับอายุที่ยังไม่เคยแต่งงาน ทำให้รู้สึกขายหน้าจนไม่กล้าเงยหน้า
สำหรับนางเฉิน ตัวเขารู้สึกโกรธและรู้สึกรำคาญใจ แต่นางเป็มารดาของเขา ต่อให้โกรธอย่างไร แต่ก็ต้องต่อต้านต่อความอดกลั้นนั้น วันนี้เขาได้ยินคำพูดที่บิดาเอ่ยกับนางเฉิน เขารู้ว่าบิดาเฉยชา และเมื่อเป็เขา ก็รู้สึกเฉยชาเช่นกัน
เมื่อเห็นต้าหลางที่ตัดสินใจว่าจะเดินจากไปด้วยเช่นกัน นางเฉินยื่นมือออกไปจับเอาไว้แน่น
“ฮือๆ…ข้า ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ผิดกับ…ลูกชายในบ้าน พี่น้องไม่มีใครสนใจข้าสักคน ข้าทำอะไรลงไป แต่ละคนต่างปฏิบัติต่อข้า…ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ มันจะมีความหมายอะไร”
แววตาของนางเฉินเต็มไปด้วยความผิดหวัง ตอนนี้เธอคิดได้เพียงคำเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือ ตาย!!!
……
ในห้องข้างๆ ซูฉีเฉียวกำลังง่วนอยู่กับบางอย่าง
เมื่อจางเฉาิเข้ามาในห้องก็เป็เธอกำลังง่วนอยู่กับการเลือกหัวหอม กระเทียม แม้ว่าเธอปอกเปลือกมันออกไปเยอะแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังปอกอยู่เช่นเดิม
“วันนี้เ้าทำกระเทียมตุ๋นหรือ” เขาหยอกล้อพร้อมกับหยิบหัวกระเทียมจากมือเธอขึ้นมา “ข้ารู้ว่าจ้ายังโกรธอยู่ ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็แม่ของเ้า”
ซูฉีเฉียวรู้สึกหดหู่ใจ “เ้ารู้หรือ”
“อืม ตอนที่นางเอ่ยปากว่าจะไปจากที่นี่ ข้ามองออก ไม่มีแม่คนไหนหรอกที่จะเอ่ยปากอยากไปเพราะเหตุผลเช่นนี้ ในความเป็จริง หญิงที่มีลูกจะยอมจากลูกตนเองไปได้อย่างไรกัน นางแค่้าใช้…เื่เ่าั้มาข่มขู่เ้า”
ซูฉีเฉียวก้มหน้า ดวงตาของเธอร้อนผ่าว สามีของเธอเข้าใจเธอ เข้าใจทุกอย่าง เธอคิดว่าเขาเป็แค่คนโง่เขลา แต่อันที่จริงเขาเข้าใจทุกอย่าง
“เ้าอย่ารู้สึกแย่ไปเลย นางเป็ทั้งทาสเป็ทั้งแม่มาตั้งหลายสิบปี เ้าจะให้นางเปลี่ยนนิสัยภายใน่เวลาสั้นๆ แน่นอนว่ามันคงเป็เื่ที่ไม่ปกตินัก ให้เวลานางหน่อย ข้าว่าวันนี้ท่านแม่ก็คงใ อีกเดี๋ยวเ้าก็ลองไปดูสักหน่อย ข้าเชื่อว่าครั้งนี้ท่านแม่ก็คงจะเข้าใจแล้วล่ะ”
ซูฉีเฉียวมองไปที่เขาด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยรู้สึกเลยว่าตอนที่ชายผู้นี้อยู่ด้วย เขาจะดูดีเช่นนี้
เมื่อเห็นแววตาสดใสราวกับอัญมณีของเธอ จางเฉาิรู้สึกกลืนน้ำลายลำบาก
เขายื่นมือออกไปแตะที่จมูกของเธอ “ถ้าเ้ามองข้าเช่นนี้อีก ข้าก็ไม่อยากจะรับปากว่าจะรอให้ถึงคืนนี้ได้…”
คำพูดต่อจากนั้นเขายังไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ใบหน้าของซูฉีเฉียวก็แดงก่ำ
เธอตำหนิเขา อีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มหัวเราะ
“ไปเลย คืนนี้ทำความสะอาดให้ดีๆ หน่อยล่ะ” เธอเอ่ยทิ้งเอาไว้ก่อนจะวิ่งออกไปอีกห้องหนึ่งด้วยความเขินอาย ชายคนนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้น กลางวันแสกๆ ยังกล้ายั่วเย้าเธออีก
เมื่อนึกถึงสิ่งที่จางเฉาิเอ่ยเธอก็คิดว่ามันคือเื่จริง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรครั้งนี้นางเฉินคงท้อแท้มาก เธอเดินไปยังห้องข้างๆ เพื่ออยากดูว่านางเฉินจะเป็อย่างไรบ้าง เมื่อเข้าไปในห้องเธอก็เห็นใครคนหนึ่งแขวนอยู่ห้อง
“ท่านแม่…”
เสียงร้องที่น่าเวทนานั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านใมาก
จางเฉาิที่เข้ามาคนแรก รีบใช้ม้านั่งขึ้นไปนำนางเฉินลงมา
เมื่ออังลมหายใจดูก็พบว่ายังดีที่หายใจอยู่
“ยังหายใจ”
“แบบนั้นก็ดี แบบนั้นก็ดี” ซูฉีเฉียวทรุดลงนั่งกับพื้น ตอนนี้เธอใจนไม่กล้าลุกขึ้นยืน
ตาเฒ่าซูและต้าหลางที่ได้รู้เื่นี้เข้าก็รีบมาที่ห้องก่อนจะมองเห็นร่างของนางเฉินที่นอนแน่นิ่ง ใจนดวงตามืดมัวเพราะความหวาดกลัว ตาเฒ่าเฉินข้าไปยังเบื้องหน้าของนางด้วยร่างที่สั่นเทา เมื่ออังลมหายใจและมั่นใจว่านางยังมีชีวิตอยู่ เขาก็โอบกอดคู่ชีวิตเอาไว้โดยที่พูดอะไรไม่ออก
“เฮ้อ…” ตาเฒ่าซูน้ำตาไหลหยดลงไปบนใบหน้าของนางเฉิน จากนั้นจึงถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนที่นางเฉินจะลืมตาขึ้น
หลังจากเห็นผู้คนที่อยู่ในห้อง นางเฉินก็ออกแรงคว้ามือของตาเฒ่าซู “พ่อของลูก ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว พวกเ้าอย่ารังเกียจข้าเลย อย่าทอดทิ้งข้า ข้าสัญญาว่าั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไป ข้าจะไม่สนใจพวกเขาอีก ไม่สนใจจริงๆ ข้าเองก็มีลูก ข้าก็รักลูกของข้า ฉีเฉียว ฉีเฉียวของแม่ แม่ขอโทษนะลูก แม่ไม่ควรใช้วิธีแยกจากกันมาบีบบังคับเ้าเลย เ้าอย่าโกรธแม่เลย ฮือ…”
นางกลัวมากจริงๆ กลัวว่าลูกๆ จะไม่สนใจนางอีก หากไม่มีพวกลูกๆ นางจะใช้ชีวิตอย่างไร
พวกพี่น้องในครอบครัว เทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางเหมือนคนตาบอดถึงได้เอาเงินไปให้คนพวกนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ครอบครัวของตนเองยังใช้ชีวิตยากลำบากอยู่เลย จะให้ไปช่วยพวกเขาได้อย่างไรกัน
ซูฉีเฉียวถูกมารดาเรียกโหยหวนก็ดึงสติกลับคืนมา
โผกายเข้าไปเบื้องหน้านางเฉินก่อนจะสะอื้นไห้ไม่ส่งเสียง “ท่านแม่ เหตุใดจิตใจของท่านถึงได้โหดร้ายเช่นนี้ บอกให้ไปจากพวกเราก็จะไป จะตายก็ตายหรือ หากท่านแม่ตายไปจริงๆ ท่านพ่อ พี่ๆ จะทำอย่างไร ชีวิตของท่านแม่ทั้งชีวิต ลูกสะใภ้และหลานๆ ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ทำไมจะมาทอดทิ้งพวกเราไปแบบนี้ล่ะ…ท่านแม่จิตใจโหดร้ายยิ่งนัก ต้านิวของข้ายังไม่เติบโต ข้าและจางเฉาิยังไม่ทันจะมีลูกชายเลย ท่านแม่ก็จะใจร้ายทอดทิ้งพวกเราไปแล้วหรือ ข้าโกรธท่านจริงๆ เลย…”
เมื่อถูกบุตรสาวร้องะโใส่เช่นนี้แต่กลับทำให้นางเฉินรู้สึกดีใจ
“อืม แม่ไม่รังเกียจพวกเ้า ไม่รังเกียจเลย แม่ไม่กล้าสู้หน้าพวกเ้า ดังนั้นจึงคิดที่จะปล่อยวางเื่นี้ ยังดี ยังดีที่ฉีเฉียวไม่โกรธแม่ ั้แ่นี้เป็ต้นไป แม่จะเป็แม่ที่ดี”
จากนั้นนางก็หันไปมองยังต้าหลางและเอ้อหลางที่อยู่ข้างๆ ยื่นมือออกไปและโอบกอดพวกเขาไว้ในอ้อมกอด
“ลูกชายที่ทุกข์ยากของข้า แม่ปฏิบัติต่อพวกเ้าไม่ดี ั้แ่นี้เป็ต้นไป ต่อให้ต้องเอาทุกอย่างที่มีอยู่ไปขาย แม่ก็จะต้องหาเงินมาขอเมียให้พวกเ้าให้ได้”
ตาเฒ่าซูเมื่อได้ยินคำพูดของภรรยา สีหน้าอมทุกข์ของเขาจึงผ่อนคลายลง
ภรรยาผู้นี้เพิ่งจะมาเข้าใจเื่พวกนี้ก่อนจะเดินทางสู่ความตาย
ครอบครัวเฉินเคยอาศัยอยู่ที่นี่
ก่อนหน้านี้บ้านหลังนี้ถูกจัดสรรเอาไว้ให้คนของครอบครัวเฉิน เมื่อมันว่างซูฉีเฉียวจึงจัดสรรห้องนี้ให้กับมารดาและครอบครัวของตนเอง
แม้ว่าซูต้าหลางและซูเอ้อหลางจะยากจน แต่พวกเขาก็หยิ่งในศักดิ์ศรี ั้แ่แรกพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเข้าอยู่ คิดเพียงแค่ว่าอยากจะหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวด้วยตนเอง
แต่ซูฉีเฉียวรู้ว่าตนเองฝีปากดี สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้
“วางใจเถอะ ข้าไม่ได้ให้พวกท่านกินอยู่โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อยู่ที่นี่ก็ต้องทำงานช่วยกันทั้งนั้น จะต้องช่วยข้านำเข้าสินค้าจากภายนอกและนำสินค้าไปขาย”
“หา? หมายความว่าอย่างไร” ต้าหลางไม่เข้าใจ หลายปีก่อน เขาเคยวิ่งคาราวานม้า เขารู้ดีว่างานนี้ได้เงินเป็อย่างไร แต่ก็มีปัญหาอยู่งานวิ่งคาราวานม้า เป็งานที่เสี่ยง
หากในระหว่างทาง เขาไม่ระวังแล้วพบเจอกับพวกโจร เป็ไปได้ว่าเงินเพียงน้อยนิดเ่าั้ก็อาจจะหายไปโดยไม่มีวันกลับมา ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่เขลาก็ย่อมยอมแพ้ต่อความเสี่ยงนี้กันทั้งนั้น ขึ้นเหนือล่องใต้ ธุรกิจของพวกเขาล้มเหลว แม้ว่าเงินที่ทั้งสองคนได้รับจะเป็เพียบส่วนต่าง แต่ก็เป็เงินก้อนใหญ่
“ท่านพี่ ก่อนหน้านี้ท่านพี่ก็เคยทำธุรกิจคาราวานม้า ข้าคิดดีแล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองข้าก็ได้รู้จักคนที่ทำธุรกิจคาราวานม้า ครั้งนี้ท่านเดินทางขึ้นเหนือไปกับพวกเขา ได้ยินว่าพวกสินค้าหนังของทางเหนือราคาถูก ไปซื้อพวกสินค้าประเภทหนังราคาถูกที่นั่นกลับมา แล้วค่อยนำมาขาย แล้วก็พวกชาและงานฝีมือชิ้นเล็กๆ จากทางใต้ของพวกเรา รวมไปถึงพวกสินค้าพิเศษของแต่ละพื้นที่ พวกท่านก็ต้องเตรียมรถม้าเอาไว้สองคันแล้วค่อยไปเร่ขาย เงินส่วนนี้ข้าจะเป็คนลงทุน พี่และเอ้อหลางรับผิดชอบเื่วิ่งสินค้าก็พอเงินที่ได้พวกเราเอามาแบ่งกัน”
ซูฉีเฉียวเคยคิดเื่นี้แล้ว ครอบครัวเธอมีธุรกิจน้ำตาลขาวและมีการบุกเบิกที่ดินรกร้าง แต่พี่ชายทั้งสองนี้อายุไม่น้อยแล้ว หากบุกเบิกที่ดิน ทำการเพาะปลูกก็คงจะหาเงินได้ไม่เท่าไร เธอสามารถช่วยเหลือในการสู่ขอพี่สะใภ้ เธอช่วยเหลือได้ในตอนนี้ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือไปทั้งชีวิตได้
การช่วยเหลือ ทางที่ดีที่สุดคือช่วยเหลือใน่ที่เป็รอยต่อ มากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การช่วยเหลือเช่นนี้ การช่วยเหลือเช่นนี้จะสามารถช่วยเหลือพี่ชายทั้งสองคนเอาไว้ได้
พี่ชายคนโตเคยทำการค้าชายแบบคาราวานม้ามาก่อน การออกไปเลี้ยงชีพเช่นนี้คือสิ่งที่เขาคุ้นชินและมีความเชื่อมั่นในตนเอง
เมื่อถึงเวลาที่การค้านี้ราบรื่น อาชีพคาราวานนี้ก็สามารถหาเงินได้เร็ว เก็บเงินได้แล้วก็จะกลับมาสร้างบ้าน สู่ขอภรรยาซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นไปได้
และถ้าหากว่าเขาทำได้ดี ออกไปทำงานจนหาเงินได้มากพอ ก็จะสามารถเปิดหน้าร้านของตนเองได้…
หาก้าจะแก้ไขปัญหาก็จะต้องยอมลำบากเพียงครั้งเดียวเพื่อที่จะสบายไปตลอดชีวิต และไม่ต้องกินอาหารเพื่อบรรเทาทุกข์ของเธอเหมือนที่เป็อยู่ในตอนนี้
—--------------------------------------------------------------