“ฉีเฉียว เ้าปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนี้ จะขาดทุนเอาง่ายๆ นะ” ต้าหลางรู้สึกตื้นตันใจและรู้สึกอับอาย
อาชีพคาราวานค้าขาย จะต้องซื้อม้าและจะต้องซื้อสินค้าอีก ซึ่งเงินลงทุนสำหรับการเริ่มต้นนี้ถือว่าไม่น้อยเลย แต่ซูฉีเฉียวกลับบอกว่าเธอจะจัดการเื่เงินเอง เขารู้สึกเป็กังวล ธุรกิจนี้มีได้มีเสีย
“ข้าเชื่อมั่นในตัวพี่ใหญ่และพี่รอง หรือว่าพวกท่านไม่เชื่อมั่นในความสามารถการทำการค้าของตนเองอย่างนั้นหรือ ข้ายังวางใจเลยนี่พวกท่านไม่เชื่อมั่นในตนเองเลยหรือ” ซูฉีเฉียวปิดปากหัวเราะเยาะเย้ยพี่ชายทั้งสอง
เมื่อถูกน้องสาวของตนเองยิ้มเยาะ ต้าหลางก็เกิดความเชื่อมั่นในตนเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เขาเชิดคางขึ้นและยืนตัวตรง “ข้าเชื่อมั่นในตนเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า น้องสาวการที่เ้าช่วยแบบนี้ ข้า…ที่เป็พี่ชายรู้สึกละอายใจ”
เขาไม่มีความสามารถที่จะมอบที่ดินสักผืนให้กับน้องสาว แต่กลับให้น้องสาวมาช่วยเหลือเขา ในฐานะผู้ชายเขารู้สึกว่าตนเองใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
แต่ซูฉีเฉียวไม่ได้คิดเช่นนั้น ในตอนที่กำลังตั้งใจจะเอ่ยปาก จางเฉาิที่อยู่ข้างๆ กลับเอ่ยคนเอ่ยปากคำพูดนั้นเอาไว้ “พี่ใหญ่ ท่านรับเอาไว้เถอะ นี่เป็น้ำใจจากข้าและฉีเฉียว พูดตามตรงในบรรดาญาติๆ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ช่วย และการช่วยเหลือนี้ก็ต้องดูด้วยว่าควรจะช่วยเหลือด้วยวิธีไหน ก่อนหน้านี้พวกท่านน้าญาติของท่านแม่ที่เข้ามาอยู่ พวกเราก็ช่วยบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาไม่ใช่หรือ แต่พวกเขา…ไม่เอาการเอางานนี่นา
ตอนนี้พวกเรามีชีวิตที่ดีขึ้นมาไม่น้อย เื่ทั้งในทั้งนอกบ้านฉีเฉียวต่างก็ดูแลจนยุ่ง การที่ครอบครัวในตอนนี้มีขอบเขตเช่นนี้ก็เพราะมีภรรยาที่เก่งอย่างฉีเฉียว หากไม่ใช่นาง พวกเราก็คงช่วยเหลือพวกท่านไม่ได้มากมายขนาดนี้ พวกเราแค่ออกเงินทุน พวกท่านออกไปวิ่งสินค้า เมื่อได้เงินก็นำเงินทุนมาให้พวกเรา นำของขวัญเล็กๆ น้อยมาฝากหลานสาวของพวกท่านก็ถือว่าพอแล้ว”
คำพูดนั้นของเขาทำให้ต้าหลางที่ได้ฟังไม่เอ่ยปากปฏิเสธอีก ก่อนหน้านี้ที่เขาปฏิเสธเพราะน้องสาวของเขาแต่งงานกับจางเฉาิ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เป็ครอบครัวกันอย่างไรเขาก็เป็สามีของน้องสาว หากสามีของน้องสาวไม่พึงพอใจ จนอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันมีปากเสียง คนเป็พี่ชายอย่างพวกเขาไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปทำลายครอบครัวของผู้อื่น
ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของจางเฉาิ เขาก็โล่งใจและรู้ว่าครอบครัวของตนเองช่างยากจนเหลือเกิน ครอบครัวของน้องสาวจึงอยากช่วยเหลือ
“การแบ่งปันผลประโยชน์จากเื่นี้ พวกเราคุยกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกท่านเอาไปเจ็ดส่วน พวกเราเอาสามส่วนก็พอ”
หลังจากที่ต้าหลางรับแผนการนั้น เขาก็ได้เอ่ยถึงเื่ส่วนแบ่ง
“จะเอาแบบนั้นได้อย่างไรกัน ข้าก็แค่ลงทุนเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกข้าสามส่วน พวกท่านเจ็ดส่วน” ซูฉีเฉียวรีบคัดค้าน
ต้าหลางตั้งใจจะเอ่ยปากอีก แต่เธอก็ยกมือเพื่อเป็ท่าทีห้ามเขา “ท่านฟังข้าพูดให้จบ ท่านพ่อ ท่านแม่ขอพวกเราอายุเยอะแล้ว พวกท่านก็ไม่อายุไม่น้อยแล้ว คนเป็น้องอย่างข้ามีกำลังพอที่จะก้าวเดินแล้ว แน่นอนว่าจะต้องประคองพวกท่านไปด้วย ข้าแค่พาพวกท่านเข้ามายังเส้นทางการค้า แต่จะทำอย่างไรนั้นเป็เื่ของพวกท่าน พูดตามตรงเงินสามส่วนนี้ ข้าก็ไม่ได้อยากได้สักเท่าไรนัก แต่ข้ารู้นิสัยของพี่ๆ หากข้าไม่รับเงินสามส่วนนี้ พวกท่านก็คงไม่ยินยอมที่จะทำอาชีพนี้ ดังนั้นข้าเอาสามส่วน เจ็ดส่วนที่เหลือเป็เงินที่ให้พวกท่านนำไปใช้เลี้ยงดูท่านพ่อท่านแม่ หลังจากนี้ก็ใช้เป็เงินที่สู่ขอพี่สะใภ้และเลี้ยงดูลูกๆ แล้วกัน รอจนครบหนึ่งปีเมื่อพวกท่านเก็บเงินได้หมื่นตำลึง ข้าก็จะทำธุรกิจอื่นๆ ร่วมกับพวกท่าน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยแบ่งสัดส่วนคนละครึ่ง หรือพวกท่านจะนำภรรยามาร่วมทำธุรกิจด้วยก็ดีนะ”
เมื่อเอ่ยมาถึงขั้นนี้ก็ทำให้ต้าหลางและเอ้อหลางอ้าปากค้างอยู่นาน ก่อนในท้ายที่สุดจะเอ่ยคำพูดออกมา “ตกลง ข้าเอาตามที่น้องสาวพูด เฮ้อ พี่ใหญ่อย่างข้า…ไร้ประโยชน์จริงๆ”
จางเฉาิกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาก็ได้โอบเอวของต้าหลางและเอ่ยพูดออกมาจากใจจริง “อย่าพูดเช่นนี้สิ พี่ใหญ่ ท่านดีกว่าพวกท่านน้าจากครอบครัวของท่านแม่มากเลยล่ะ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สิ่งนี้ก็ต้องอาศัยพวกท่านในการไปหาเงินนะ ออกไปแลกความร่ำรวยในอนาคตมา ข้าก็ขอพูดสักหน่อย เงินพวกนี้จำเป็จะต้องหา แต่ถ้าเกิดว่าโชคร้ายพบเจอกับโจรเข้ามาปล้น พวกท่านออกมาจากรถม้าก็พอแล้ว อย่าไปต่อกรอะไรกับพวกคนเ่าั้ หากเกิดอะไรขึ้น น้องสาวของพวกท่านก็คงไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขไปได้ตลอดชีวิต หากไม่อยากทำให้พวกนางรู้สึกละอายใจ ก็มีสติเข้าไว้เมื่ออยู่ข้างนอก”
พี่น้องทั้งสองคนต่างก็พากันหัวเราะคิกตักออกมา
ซูต้าหลางมองไปยังน้องสาวของตนเอง และเอ่ยรับปากออกมาจากใจจริง “น้องสาว เ้าวางใจเถอะ ข้าจะพาตนเองกลับมาอย่างปลอดภัย รวมไปถึงน้องชาย เงินของครอบครัวเรา ทั้งหมดนั้นข้าจะนำกลับมา แต่น้องสาวกับน้องเขยก็ขยันเข้าล่ะ พวกเราคาดหวังว่ากลับมาครั้งนี้ เ้าจะมีหลานชายตัวน้อยให้พวกเราอีกสักคน”
คำพูดนั้นทำให้ซูฉีเฉียวเขินอาย
เธออดไม่ได้ที่จะบิดเขิน “ท่านแม่ ดูพี่ใหญ่สิ ยิ่งพูดยิ่งไร้สาระ มีพี่ชายที่ไหนมาพูดกับน้องสาวแบบนี้กัน”
นางเฉินมองดูบุตรชาย บุตรสาวพูดคุยกันเื่การทำธุรกิจก็รู้สึกสบายใจ
บุตรชายและบุตรสาวของนาง นางช่างภูมิใจเหลือเกิน ที่ผ่านมานางละเลยพวกเขาเกินไป ั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไปนางจะชดเชยโดยการเป็มารดาที่ดี
“ภรรยา ลูกๆ ของพวกเราจะออกไปทำงานข้างนอกกันหมดแล้ว พวกเราอยู่ที่บ้านช่วยฉีเฉียวแล้วกัน เ้าดูแลต้านิวและเด็กน้อยคนอื่นๆ ส่วนข้าจะช่วยลูกเขยทำไร่ แม้ว่าข้าจะอายุมากแล้ว แต่เื่ทำไร่ ข้าทำมันได้ดี”
จางเฉาิได้ยินว่าพ่อตาของตนเองจะช่วยเหลือในการทำไร่ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
เขาเกาศีรษะ “ท่านพ่อ แบบนี้ก็ดีสิครับ ใครๆ ก็รู้ว่าท่านพ่อมีทักษะที่โด่งดังที่สุดในแถบนี้ มีท่านมาช่วย งานเกษตรบางส่วนในไร่นาของข้าคงจะต้องให้ท่านเข้ามาช่วยดูแลหลังจากนี้แน่เลย”
ครอบครัวของพวกเขามีเื่ให้หารือกันมากมายและตกลงกันตามนั้น
เมื่อตกลงกันเื่งานของพวกต้าหลางแล้ว แผนการเดิมของซูฉีเฉียวที่จะทำการซื้อร้านค้าในเมืองก็ถูกระงับลงไปก่อน
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เื่ของต้าหลางเป็เื่ที่สำคัญกว่าหารซื้อหน้าร้าน
จะต้องเดินทางไปยังตลาดม้าเพื่อเลือกซื้อม้า การซื้อม้านี้ โชคดีที่ตาเฒ่าซูทำอาชีพมามากมายในอดีต อย่างเช่นการเลือกซื้อสัตว์ที่จะใช้แรงงานนั้น เมื่อก่อนเขาเคยทำงานเกี่ยวข้องกับเื่นี้อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งการที่จะเลือกม้าอย่างไรนั้นเป็สิ่งที่เขาเข้าใจดี
อยู่ในตลาดม้ามาสองสามวัน ก็เลือกม้าที่อายุยังน้อยตัวหนึ่ง แต่เป็ม้าที่ค่อนข้างเชื่อง
“งานพ่อค้าที่เที่ยวเร่ขายของเนี่ย ใช้ม้าชวนซีดีแล้ว พวกเราใช้ม้าเพื่อการบรรทุกสินค้า พวกม้าที่ขนสินค้าต้องเลือกม้าที่มีนิสัยเชื่อง ทนต่อความยากลำบาก ข้าเห็นว่าม้าตัวนี้อายุยังน้อย แม้ว่าราคาจะแพงสักหน่อย แต่ข้อดีก็คือมีความแข็งแรง”
เพราะเป็การทำการค้าเร่ขายของครั้งแรก จึงซื้อม้ามาสองตัว ให้ต้าหลางและเอ้อหลางคนละตัว ราคาของม้าทั้งสองตัวใช้เงินไปยี่สิบต้าตำลึง บวกกับพวกอานม้าอีก คำนวณราคาทั้งหมดแล้วก็ใช้ไปทั้งหมดราวๆ สามสิบตำลึง
“ม้าราคาแพง ตอนที่ทำา ม้าประเภทนี้จะยิ่งมีราคาแพงมากกว่าเดิม” หลังจากตาเฒ่าซูทำการเลือกม้าเป็ที่เรียบร้อย ก็เดินวนเวียนรอบม้าทั้งวัน
ในฐานะของครอบครัวชาวนา ชีวิตนี้ทำแค่งานขุดดิน การได้มีม้าสักตัวถือเป็เื่ที่มีความสามารถมากแล้ว
บุตรสาวของครอบครัวพวกเขาสามารถซื้อม้าให้ครอบครัวได้ถึงสองตัวในครั้งเดียว ตาเฒ่าซูจึงรู้สึกว่าม้าตัวนี้จะดูเท่าไรก็คงไม่พอ
“ท่านพ่อ มามัวแต่ดูม้าไปมันก็ไม่มีอะไรหรอก รีบกลับไปที่บ้านช่วยลูกเขยคิดหาวิธีในการเพาะปลูกดีกว่า บางอย่างเพาะปลูกไปแล้วแต่ก็ได้ผลที่ไม่อวบอ้วน ท่านลองไปดูว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงที่ดินตรงนั้นได้ไหม”
ซูฉีเฉียวเห็นท่าทีของบิดา เธอไม่ได้ขัดขา เพียงแค่โน้มน้าวให้เขากลับไปที่บ้าน
จากนั้นจึงหันไปหารือเกี่ยวกับเื่การออกไปขนสินค้าในครั้งนี้
“พี่ใหญ่ ข้าว่านำน้ำตาลไปขายทางเหนือก็น่าจะดี ได้ยินว่าน้ำตาลกรวดยังไม่เป็ที่นิยมของทางเหนือสักเท่าไรนัก ครั้งนี้ท่านเอาน้ำตาลของที่บ้านข้าออกไปขาย ครั้งหน้าเดี๋ยวข้าจะสอนพวกท่านทำน้ำตาลเชื่อม ตอนที่พวกท่านเดินทางออกไป ก็สามารถนำพวกน้ำตาลเชื่อมออกไปขายได้ด้วย”
เธอใช้น้ำตาลพวกนี้ในการสร้างครอบครัวขึ้นมา ดังนั้นธุรกิจน้ำตาลจึงเป็ธุรกิจที่ทำได้ดีที่สุด และไม่ว่าจะเป็ยุคสมัยใด น้ำตาลเชื่อมต่างก็เป็ที่ชื่นชอบของผู้คน
เมื่อจับจ่ายซื้อชาดิบมาสักหน่อยหนึ่ง รวมไปถึงของขึ้นชื่อจากทางใต้แล้ว ซูฉีเฉียวก็ได้เรียกพี่ชายทั้งสองเข้าไปในบ้านและได้สอนพวกเขาทีละขั้นตอนถึงกรรมวิธีทำน้ำตาลกรวด
……
“ข้าจะสอนวิธีทำหมาถัง[1] ให้พวกท่าน วิธีธรรมนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก ซึ่งต่อให้พวกท่านอยู่ระหว่างการเดินทางก็สามารถทำได้ แน่นอนว่าพวกท่านจะต้องหาสถานที่ที่ลับตาคนในการทำ”
ซูฉีเฉียวมองพี่ชายทั้งสองคนที่มีท่าทีตั้งใจ ใบหน้านั้นเผยความปลื้มใจออกมาเล็กน้อย ทั้งคู่ตั้งใจเรียนรู้ ขยัน ในวันข้างหน้าจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน
“วัตถุดิบในการทำหมาถังไม่ได้ซับซ้อน คาดว่าพวกท่านจะต้องหาวัตถุดิบได้ระหว่างทางแน่นอน ถั่วเหลืองหรืองา ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็ถั่วลิสงที่จะนำมาคลุมก่อนน้ำตาล งาจะช่วยตัดความยุ่งยากไป แต่ราคาจะแพง ถั่วลิสงและถั่วเหลืองจะต้องนำมาผัดให้สุกและบดให้เป็ผง ซึ่งถ้าทำระหว่างทางก็อาจจะยุ่งยากหน่อย ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการนำไปแลกกับพวกเกษตรกร หนึ่งจินเท่ากับข้าวเก้าถุง ถ้าเช่นนั้นน้ำตาลทรายขาวก็เป็หนึ่งจินด้วยเช่นกัน หากมีดอกไม้ที่สามารถกินได้ เช่นดอกหอมหมื่นลี้ ดอกเบญจมาศ ดอกไม้เหล่านี้เป็ดอกไม้ที่เหมาะกับการนำไปใส่ด้วย สามารถปรุงรส ทำให้มีกลิ่นหอม เมื่อวัตถุดิบครบ ตอนนี้พวกเราก็เหลือแค่ขั้นตอนในการทำน้ำตาล
จำเอาไว้ให้ดี ข้าวเก้าถุงนั้นนำมาผัดให้เป็ข้าวคั่ว ในขณะที่หม้อยังร้อนอยู่ให้ทำการเคี่ยว จากนั้นเติมน้ำตาลทรายขาวลงไป เคี่ยวจนสุกจนมันเหนี่ยว ลองดูว่าตอนนี้น้ำตาลทรายขาวได้กลายเป็น้ำตาลทรายแดงแล้วใช่ไหม ดังนั้นเพื่อทำการประหยัดต้นทุน พวกท่านอาจพิจารณาว่าจะนำน้ำตาลทรายมาใช้แลกเปลี่ยนระหว่างทางได้
หลังจากผัดจนสุกจึงนำข้าวและน้ำเชื่อมดอกไม้ลงไปผัด เมื่อเข้ากันแล้วก็เป็อันเสร็จสิ้น เข้าใจแล้วใช่ไหม ตอนนี้ใครจะมาลองทำดูบ้าง”
หลังจากอธิบายจนเข้าใจและแสดงให้เห็นแล้ว ซูฉีเฉียวก็ได้มองยังไปพี่ชายทั้งสอง ยิ้มให้พวกเขาเพื่อให้ออกมาลองทำตามขั้นตอนที่เธอบอก
“ข้า ข้าอยากทำเป็” เอ้อหลางเป็คนกระตือรือร้น อยากจะออกมาลองทำ พูดตามตรงเขาลองมองดูขั้นตอนกรรมวิธีการทำแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะยากอะไร
จากนั้นซูฉีเฉียวก็ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อดูทั้งคู่ทำ แน่นอนว่าทำออกมาเพียงปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเป็เพียงขั้นตอนการทดลอง พวกส่วนผสมก็เตรียมเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หลังจากใช้น้ำตาลทรายขาวหนึ่งจินและน้ำทรายแดงครึ่งจินไปแล้ว ต้าหลางและเอ้อหลางก็สามารถเคี่ยวจนกลายเป็น้ำตาลกรวดได้สำเร็จ
“คิดไม่ถึงเลยว่าวิธีการทำนั้นไม่ได้ยุ่งยากเลยสักนิดเดียว ดูท่าทางแล้วระหว่างทางพวกเราจะต้องเคี่ยวเอาไว้ขายแล้วล่ะ” หลังจากต้าหลางฝึกทำแล้วเขาก็เกิดความกระตือรือร้น สายตาที่ต้องมองน้ำตาลกรวดนั้นเปล่งประกายแวววาว
“อืม ทำระหว่างทางได้ เพียงแต่ว่าขั้นตอนในการทำจะยุ่งยากสักหน่อย บางครั้งเพื่อทำการประหยัดต้นทุน ก่อนเดินทางก็ทำการผัดและบดถั่วเอาไว้ให้เรียบร้อย ของต่างๆ ก็เตรียมเอาไว้ให้เสร็จล่วงหน้า หากทันเวลาพวกท่านสามารถนำน้ำตาลไปแลกเป็พวกพวกข้าวเหนียวหรือวัตถุดิบอื่นๆ ที่้าใช้ได้ด้วย ทางที่ดีที่สุด ควรจะทำน้ำตาลกรวดออกมาสักสองถึงสามรส เมื่อมีของพวกนี้ ยามที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนระหว่างทาง หรือพ่อค้าที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ใช้น้ำตาลกรวดเป็การเปิดทาง ซึ่งมันก็น่าจะเป็เครื่องมือที่ดีของพวกท่านไม่ใช่หรือ หากขายสินค้าพวกนี้ระหว่างทาง ไม่จำเป็ว่าจะต้องมุ่งเน้นไปที่การหาเงินอย่างเดียว ใช้มันเพื่อซื้อใจคน หรือใช้มันสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ก็ได้ อย่างไรในครั้งนี้พวกท่านก็ออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่แล้ว ครั้งที่สองถึงจะเป็ครั้งที่พวกท่านได้หาเงิน” ซูฉีเฉียวเอ่ยถึงแผนการที่คิดไว้ออกมา
ต้าหล่างจึงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อืม ฉีเฉียวพูดถูก ด้านนอกคนในคาราวานอยู่ร่วมกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีความสัมพันธ์อันดีกับคนในกลุ่มค้าขาย แบบนั้นการค้าขายจะได้ราบรื่น ข้าจำได้ว่ามีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เคยทำการค้าขายด้วยกัน เพราะเป็คนตระหนี่จึงมักจะถูกผู้คนขับไล่ ต่อมาในระหว่างที่กำลังพักผ่อนระหว่างทางตอนกลางคืน คนคนนั้นนอนหลับแล้วไม่มีคนปลุก จนเมื่อกลุ่มคาราวานเดินทางกันไปได้ครึ่งค่อนวันแล้วเขาถึงได้ตามมาทันด้วยความเหน็ดเหนื่อย คงเป็เพราะการสั่งสอนครั้งนั้นทำให้เขาเข้าใจและไม่ทำตัวตระหนี่จนเกินควร และหลังจากเื่นั้นเขาก็ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความใจกว้างมากขึ้นมากเลย”
—-----------------------------------------------------
[1] หมาถัง หมายถึง ชื่อขนมชนิดหนึ่งที่เด็กๆ ในสมัยราชวงศ์ซ่งนิยมรับประทาน โดยนำงา น้ำตาลและแป้งมาผสมกัน