เฟิ่งเฉี่ยนเม้มริมฝีปาก ราวกับคิดจะแก้ต่างให้กับตัวเอง “แต่ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยชีวิตคน เป็การใช้อำนาจในยามคับขัน ข้าไม่อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน...”
ดูสีหน้าของเขาที่ยังคงเ็า เฟิ่งเฉี่ยนสะบัดชายอาภรณ์อย่างตะขิดตะขวงใจแล้วกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค “อย่างมากครั้งหน้าก่อนที่ข้าจะปรุงอาหาร จะบอกท่านล่วงหน้าก่อนก็ได้...”
สีหน้าของเซวียนหยวนเช่อดีขึ้นเล็กน้อย แต่นาทีถัดมาก็เคร่งลงอีก และยังดูน่ากลัวกว่าเมื่อสักครู่ด้วยซ้ำ “เจิ้นถามเ้า เกิดอะไรขึ้นกับเ้าและซือคงเซิ่งเจี๋ยกันแน่”
อุ๊บ หัวใจของเฟิ่งเฉี่ยนเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ทำไม นางถึงรู้สึกร้อนตัวราวกับตนเองนั้นถูกจับได้ว่ามีชู้คาเตียง!
“ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่ปะทะกันเล็กน้อยเท่านั้น”
นางจะร้อนตัวไปทำไมเล่า
ระหว่างนางและซือคงเซิ่งเจี๋ยเป็เพียงอุบัติเหตุ
แต่ถึงกระนั้น นางและเซวียนหยวนเช่อก็เป็เพียงสามีภรรยากันแต่ในนาม ทำไมนางต้องร้อนตัวด้วย
เซวียนหยวนเช่อหัวเราะเสียงเย็น น้ำเสียงที่พูดนั้นฟังดูแปร่งปร่า “ปะทะกันเล็กๆ น้อยๆหรือ เป็การปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ นั่นแหละ ทว่าเป็การปะทะกันที่ปาก!”
มุมปากเฟิ่งเฉี่ยนกระตุก เขารู้ทุกอย่างแล้ว
“นั่นเป็เพียงอุบัติเหตุ!”
“เป็เพียงแค่อุบัติเหตุจริงๆ หรือ” เซวียนหยวนเช่อพลันลุกขึ้นเดินลงมาจากบัลลังก์ั เขาเดินเข้ามาใกล้เฟิ่งเฉี่ยนทีละก้าวๆ
เฟิ่งเฉี่ยนก้าวถอยหลัง “แหะๆ เซวียนหยวนเช่อ ท่านคงไม่ได้กำลังกินน้ำส้มกระมัง”
คำพูดของนางราวกับเชื้อไฟอย่างดี ทำให้ประกายไฟในดวงตาของเขาลุกพรึ่บทันที
ดวงตาของเซวียนหยวนเช่อราวกับมีเปลวไฟที่สามารถเผาผลาญคนได้!
วินาทีถัดมา--
คางของเฟิ่งเฉี่ยนถูกคนกุมเอาไว้ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนาง เงาร่างสูงใหญ่ของเขาก็ทาบทามลงมา!
ร่างของเขาทั้งเยียบเย็นและแข็งแกร่ง แต่ริมฝีปากของเขากลับอ่อนโยนและนุ่มนวล
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกราวกับถูกไฟช็อตไปทั่วร่าง ผิวพรรณขาวราวเครื่องกระเบื้องชั้นดีนั้นกลายเป็สีชมพูระเรื่อ
หัวใจนางเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ั์ตาของเซวียนหยวนเช่อหม่นลง เขาตวัดสายตามองใบหน้าของนางที่แดงเรื่อด้วยความเขินอาย หัวใจของเขาหวั่นไหวเล็กน้อย ความรู้สึกอ่อนโยนชนิดหนึ่งไหล่บ่าออกมาทั่วร่างเหนือการควบคุม ความรู้สึกนั้นยิ่งอ่อนโยนขึ้น ยิ่งอ่อนโยนขึ้น...
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกเพียงโลกหมุนกลับ เรี่ยวแรงของนางราวกับถูกสูบออกไปจนหมด นางพยายามที่จะควบคุมตนเองมิให้เอนกายเข้าไปซบอ้อมกอดของเขา
ในที่สุดริมฝีปากของเขาก็ผละออกจากริมฝีปากของนางอย่างอาลัยอาวรณ์
นิ้วหัวแม่มือที่ด้านเล็กน้อยนั้นลูบไล้ริมฝีปากของนาง เปลวไฟในดวงตาของเขานิ่งลึกราวกับกำลังจะกลืนกินคนเข้าไป เขามองร่องรอยจางๆ ของตนบนริมฝีปากของนาง และพูดด้วยเสียงติดจะแหบพร่าเล็กน้อย “จำไว้ นับแต่นี้ไป ที่นี่...นอกจากเจิ้นแล้ว ห้ามไม่ให้ใครแตะต้อง!”
เฟิ่งเฉี่ยนจำไม่ได้ว่าตนเองออกมาจากห้องทรงพระอักษรได้อย่างไร นางรู้สึกเพียงร่างของตนราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา ในสมองมีเพียงเสียงอบอุ่นอ่อนโยนทว่าเต็มไปด้วยความเผด็จการดังอยู่ “จำไว้ นับแต่นี้ต่อไป ที่นี่...นอกจากเจิ้นแล้ว ห้ามไม่ให้ใครแตะต้อง!”
เขาหมายความอย่างไร นี่กำลังกินน้ำส้มอยู่ใช่หรือไม่
หรือเป็การแสดงอำนาจของเขาเท่านั้น
แต่ไม่อย่างจะเป็แบบไหน ล้วนทำให้หัวใจของนางเต้นโครมครามไม่หยุด
“เสด็จแม่ เสด็จแม่”
เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเสียงหนึ่งดังขึ้นดึงสติของนางกลับคืนมาสู่โลกของความเป็จริง
เฟิ่งเฉี่ยนเงยหน้า เห็นไท่จื่อน้อยนั่งอยู่ตรงหน้านาง ระหว่างสองแม่ลูกมีกระดานหมากกั้นอยู่ ในมือของนางยังถือตำราเดินหมากที่บิดามอบให้เล่มหนึ่ง นางกำลังวิเคราะห์หมากบนกระดาน ไม่รู้ว่าใจลอยได้อย่างไร
นางหัวเราะแห้งๆ “เย่เอ๋อร์ มีเื่อันใดหรือไม่”
ไท่จื่อน้อยเบิกตากลมโตมองนางอย่างประหลาดใจ คำพูดที่กล่าวออกมาน่าใยิ่งกว่า “เสด็จแม่ หน้าของท่านแดงเหลือเกิน กำลังคิดถึงเสด็จพ่อใช่หรือไม่”
พรืด!
เฟิ่งเฉี่ยนเกือบสำลัก นางส่ายหน้าไปมาราวกับกลองปอหลางกู่แล้วทำท่าครุ่นคิด “เสด็จแม่กำลังคิดถึงการแข่งขันเดินหมากในวันพรุ่งนี้ต่างหากเล่า เื่นี้เกี่ยวพันถึงเกียรติยศและชื่อเสียงของแคว้นเป่ยเยียนของพวกเรา ดังนั้นย่อมต้องตื่นเต้นอยู่บ้าง ตื่นเต้นจนหน้าแดง”
ไท่จื่อน้อยไม่เชื่อแม้แต่น้อย นิ้วเล็กๆ นั้นชี้ออกมาเปิดโปงนาง “แต่เมื่อสักครู่ท่านกำลังยิ้ม และยิ้มอย่างเลื่อนลอย!”
โอ๊ะ เฟิ่งเฉี่ยนลนลานแล้ว
ถูกบุตรชายเปิดโปงซึ่งหน้า ช่างกระอักกระอ่วนเหลือเกิน!
นางจะอธิบายอย่างไรจึงจะกู้หน้าคืนมาได้หนอ
ไท่จื่อน้อยกลับแบมือออกมา “เสด็จแม่ ท่านอย่าได้พูดปดอีกเลย! การคิดถึงเสด็จพ่อไม่ใช่เื่น่าอับอายขายหน้าอันใด เย่เอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อและเสด็จแม่บ่อยๆ เช่นกัน”
“ก็ได้ ก็ได้ เ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น!”
นางถอดใจที่จะอธิบายแล้ว
ทว่าเซวียนหยวนเช่อกลับปรากฏตัวในเวลานี้เอง เขาเดินเข้ามาในเรือนอย่างไร้ซุ่มเสียง จากนั้นเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงแปลกหู “เจิ้นถึงกับไม่รู้ว่าฮองเฮาคิดถึงเจิ้นเช่นนี้”
เฟิ่งเฉี่ยนดีดตัวลุกขึ้นจากที่นั่งทันที นางทำตัวไม่ถูก ไฉนนางจึงดวงตกเช่นนี้
นางหันกลับมาลอบถลึงตาใส่บุตรชาย ช่างทำให้แม่เช่นนางลำบากใจโดยแท้!
เ้าเด็กน้อยคนนั้นกลับเอามือปิดปากหัวเราะร่วน ดวงตาโค้งลงเป็รูปเสี้ยวจันทร์
มุมปากของเซวียนหยวนเช่อปรากฎให้เห็นรอยยิ้มที่แทบจะไม่สังเกตเห็น เขาเดินเข้ามา ไท่จื่อน้อยกระวีกระวาดลุกขึ้นเพื่อสละที่นั่งแล้วลากขาน้อยๆ มานั่งอยู่ตรงกลางแทน
“เสด็จพ่อ พรุ่งนี้เสด็จแม่จะประลองการเดินหมากล้อมกับผู้อื่น ท่านรีบสอนท่าไม้ตายเสด็จแม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย เขาหยิบหมากขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อมีท่าไม้ตายที่ไหนกัน การเดินหมากมิอาจทำเหมือนการไปไหว้พระเมื่อพบเื่ทุกข์ยากแล้วจะแก้ไขอะไรได้!”
ไท่จื่อน้อยทำหน้าย่นด้วยความวิตก “เช่นนั้นทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าซือคงเซิ่งเจี่ยผู้นั้นฝีมือร้ายกาจอย่างยิ่ง ทำให้นักเดินหมากขั้นเก้าทั้งหกคนของแคว้นเป่ยเยียนของพวกเราพ่ายแพ้ราบคาบ! เสด็จแม่คงไม่แพ้เขาหรอกใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหันมามองเฟิ่งเฉี่ยน ในแววนั้นปรากฏให้เห็นความกังวล
เฟิ่งเฉี่ยนลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาอย่างปลอบโยน “เสด็จแม่ของเ้าเป็ใครกัน ข้าน่ะเป็ผู้ประลองหมากล้อมที่ยังไม่เคยแพ้มาก่อนเชียวนะ! ข้าจะแพ้ให้เขาได้อย่างไร”
ไท่จื่อน้อยพูดตาโตว่า “แต่ท่านแพ้ให้กับเสด็จพ่อนี่นา!”
เฮ้อ เฟิ่งเฉี่ยนละอายแก่ใจ นางพูดโอ้อวดเกินไป!
นางเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เซวียนหยวนเช่อ ต้องโทษเขา ทำให้นางไม่อาจสู้หน้าบุตรชายได้อีก!
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตาเ็ามองมา “เ้ารู้หรือไม่ เหตุใดเ้าจึงเอาชนะเจิ้นไม่ได้”
“เพราะเหตุใด” เฟิ่งเฉี่ยนประหลาดใจจริงๆ ขณะที่นางประลองกับเขา นางรู้สึกอยู่เสมอว่านางถูกเขาจูงให้เดิน ความรู้สึกชนิดนี้ไม่ดีเลยจริงๆ
เซวียนหยวนเช่อไม่ได้ตอบตรงๆ แต่เขาค่อยๆ จัดระเบียบกระดานหมากเสียใหม่ แล้วพูดช้าๆ “เดินหมากสักกระดานกันก่อน”
เฟิ่งเฉี่ยนนั่งลงทันที นางเปิดใจพร้อมรับคำชี้แนะ
เริ่มการเดินหมาก
เซวียนหยวนเช่อถือหมากเดินเป็ฝ่ายเดินก่อน
เฟิ่งเฉี่ยนโต้กลับทันที
หนึ่งก้าว
สามก้าว
ห้าก้าว
ทั้งสองฝ่ายเริ่มการเดินหมากอย่างธรรมดาที่สุด
ล่อศัตรู!
ดาวสองดวง!
สร้างเจดีย์ สร้างเจดีย์ เสียงวางหมากดังไม่หยุด
กระทั่งเฟิ่งเฉี่ยนสามารถสร้างปากเจดีย์แหลมๆ อันแรกสำเร็จ สถานการณ์บนกระดานหมากเริ่มเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หมากขาวเริ่มโจมตี!
หันกลับมาดูทางหมากดำ ยังคงเดินหมากอย่างใจเย็น สุขุมมั่นคง
เฟิ่งเฉี่ยนวางท่าไม้ตาย!
หมากดำยังคงแก้เกมอย่างใจเย็น การเดินหมากของหมากดำเป็ไปอย่างธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และไม่มีค่ายกลอันใดทั้งสิ้น!
เฟิ่งเฉี่ยนยังคงโจมตีทุกก้าว ทุกๆ ก้าวที่เดินล้วนเป็ท่าไม้ตายหวังปลิดชีพ!
หมากดำไม่ลนลาน พบค่ายกลก็ทำลายค่ายกล!
เริ่มแรกเฟิ่งเฉี่ยนยังคงโจมตีบุกตะลุยอย่างกล้าหาญ พยายามทุ่มเทความคิดที่จะบุกไปข้างหน้า ทว่าอย่างช้าๆ นางพบว่าไม่ว่าตนเองจะใช้ความคิดและท่าไม้ตายมากมายเท่าใด รวมไปถึงใช้วิธีการเยี่ยมยอดปานใด อีกฝ่ายล้วนสามารถแก้ค่ายกลของนางได้ แม้จะไม่ได้ทำให้นางตกอยู่ในที่นั่งลำบากมากมายนัก ทว่ากลับเป็ฝ่ายได้เปรียบและคุมเกมั้แ่เริ่มเดินหมาก นางไม่อาจพลิกกลับเป็ฝ่ายคุมเกมได้เลย
ความรู้สึกชนิดนี้ เหมือนถูกคู่ต่อสู้โจมตีอยู่บนกองสำลี ทำให้คนไร้เรี่ยวแรงอย่างแท้จริง
เหตุใดจึงเป็เช่นนี้
นางเต็มไปด้วยข้อกังขา