เขาดีดลูกคิดรางแก้วได้อย่างงดงาม ซือคงเซิ่งเจี๋ยมิได้โง่เขลาเช่นกัน ไหนเลยจะไม่กระจ่างแจ้งถึงจุดประสงค์แอบแฝงของเขา ทว่าสิ่งที่เขา้าก็คือการแข่งขันชนิดสุดโต่ง ดังนั้นเขาไม่ใส่ใจว่าจะแข่งขันวันนี้หรือวันพรุ่งนี้
“ได้ เช่นนั้นค่อยแข่งขันวันพรุ่งนี้!” ซือคงเซิ่งเจี๋ยตวัดสายตามองเฟิ่งเฉี่ยนอย่างเ็า แล้วหมุนกายออกไปจากชุมนุมหมากล้อม
เฟิ่งเฉี่ยนหมดคำพูด นางยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไฉนการแข่งขันจึงกำหนดแน่นอนแล้ว
ซือคงเซิ่งเจี๋ยและพวกจากไป ทุกคนกรูกันเข้ามาล้อมเฟิ่งเฉี่ยนเอาไว้
“แม่นางเฟิง พรุ่งนี้แข่งขันกับซือคงเซิ่งเจี๋ย ท่านมีความมั่นใจแค่ไหน”
“แม่นางเฟิง พรุ่งนี้ท่านใช้ค่ายกลเจดีย์และค่ายกลเจดีย์คู่ที่เ้าถนัดที่สุดมาต่อกรกับเขา!”
“แม่นางเฟิง ท่านจะต้องชนะให้ได้นะ! เกียรติยศและชื่อเสียงของชุมนุมหมากล้อมแคว้นเป่ยเยียนต้องอาศัยท่านแล้ว!”
“...”
หานไท่ฟู่เข้ามาพูดกับนางว่า “ลูกสาว ถึงเวลาที่จะทำเพื่อชื่อเสียงของบ้านเมือง ตั้งสติให้มั่น ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ!”
เฟิ่งเฉี่ยนเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างหมดคำพูด
นางถูกพวกเขาผลักลงหลุมอย่างแท้จริง!
พวกเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน เหตุใดจึงแน่ใจว่านางจะเอาชนะซือคงเซิ่งเจี๋ยได้ หากพ่ายแพ้จะทำอย่างไร
ความกดดันของนางมากมายจริงๆ!
แต่เพื่อแมวเทพแล้ว นางไม่อาจไม่แข่งขัน!
ยังไม่ทันรอให้นางได้หายใจหายคอ หานไท่ฟู่ก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “เวลากระชั้นชิด ฟางเสีย พวกเ้าทั้งหมดมาเดินหมากที่แข่งขันกับซือคงเซิ่งเจี๋ยวันนี้อีกครั้ง และอธิบายให้แม่นางเฟิงฟัง เพื่อให้นางได้ทำความเข้าใจลักษณะการเดินหมากของซือคงเซิ่งเจี๋ย!”
“ได้ขอรับ!” ฟางเสียคิดเช่นนี้เหมือนกัน เขากวักมือให้เฟิ่งเฉี่ยน “แม่นางเฟิง เชิญชั้นบน!”
เฟิ่งเฉี่ยนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะลงแข่งขัน เช่นนั้นก็ทำสุดความสามารถก็แล้วกัน!
ไม่ลังเลใจอีกต่อไป นางขึ้นชั้นบนไปพร้อมกับฟางเสียและอีกหลายๆ คน
วังหลวงในเวลานี้ เซวียนหยวนเช่อได้รับรายงาน เขามีสีหน้าสับสน
“ฮองเฮารับปากจะประลองการเดินหมากกับซือคงเซิ่งเจี๋ยในวันรุ่งขึ้นหรือ”
องครักษ์ลับตอบ “พ่ะย่ะค่ะ! แมวเทพของเหนียงเหนียงถูกซือคงเซิ่งเจี๋ยแย่งชิงไปพ่ะย่ะค่ะ จึงจำต้องยอมเดิมพันด้วยเหตุนี้ เหนียงเหนียงไม่อาจไม่รับคำท้าประลองพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อนวดคลึงขมับของตน “ตอนนี้ฮองเฮาทำอะไรอยู่”
องครักษ์ลับตอบ “ฮองเฮาอยู่ในชุมนุมหมากล้อมพ่ะย่ะค่ะ กำลังวางแผนและวิเคราะห์ร่วมกับนักเดินหมากหลายคนว่าจะรับมือกับซือคงเซิ่งเจี๋ยอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าแล้วทอดถอนใจ “การแข่งขันในวันพรุ่งนี้ นางจะต้องแพ้อย่างมิต้องสงสัย!”
องครักษ์ลับลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นอีกว่า “ทูลฝ่าา ยังมีอีกเื่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่”
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตากลับมา องครักษ์ลับกระจ่างแจ้งทันที เขาเอ่ยปาก “ระหว่างฮองเฮาและองค์ชายสามดูเหมือนจะเคยเกิด...”
เขาลอบมองเซวียนหยวนเช่อปราดหนึ่งแล้วพูดจาอย่างระมัดระวัง “ตามที่ฮองเฮาพูด นางไม่ทันระวัง...ไม่ทันระวังจึงล้มใส่องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที
องครักษ์ลับพูด “จากนั้น...จากนั้นยังจุมพิตองค์ชายสามโดยที่ไม่ทันระวังพ่ะย่ะค่ะ!”
บรรยากาศรอบๆ กายเซวียนหยวนเช่อพลันเย็นลงทันที
ตำหนักยีหลัน
องค์หญิงหลานซินที่ถูกกักบริเวณได้รับข่าวนี้เช่นกัน นางกลับยินดีปรีดา
“ดีเหลือเกิน! พี่ใหญ่พี่สามมาแล้ว! ถึงวันที่เปิ่นกงจะได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง!” นางเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดัง
โจวหมัวมัวแคลงใจ “แต่การแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว เหตุใดไท่จื่อยังไม่มาช่วยองค์หญิงเพคะ”
สีหน้าขององค์หญิงหลานซินพลันอับแสงลง นางปลอบใจตัวเองว่า “พรุ่งนี้พี่สามยังมีการแข่งขันอีกครั้งหนึ่งมิใช่หรือ พี่ใหญ่อาจจะไม่้าให้พี่สามวอกแวก ดังนั้นจึงไม่อยากเสียเวลากระมัง!”
โจวหมัวมัวพยักหน้าเห็นด้วย “แต่แม่นางเฟิงท่านนี้ใช้วิธีการอันใด ถึงกับทำให้องค์ชายสามเป็ฝ่ายท้านางประลอง นี่มันน่าคิดยิ่งนักเพคะ!”
องค์หญิงหลานซินเลิกคิ้วอย่างลำพองใจ “จะไปสนใจทำไมว่านางเป็ใคร หากว่าด้วยเื่การเดินหมาก ใต้หล้านี้ยังไม่มีใครเอาชนะพี่สามของข้าได้! เขาเป็อัจฉริยะเพียงคนเดียวในใต้หล้านี้!”
ภายในห้องพิเศษของชุมนุมเดินหมากเทียนหยวน ทุกคนต่างพูดนั่นพูดนี่ เ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง
“เท่าที่ข้ารู้จักซือคงเซิ่งเจี๋ย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเขาก็คือการคำนวณ คนธรรมดาทั่วไปอย่างมากคำนวณการเดินหมากสิบก้าว แต่เขาสามารถคำนวณล่วงหน้าได้ถึงห้าสิบก้าวหรืออาจมากกว่านั้น!”
“ซือคงเซิ่งเจี๋ยเชี่ยวชาญการเดินหมากแบบโบราณั้แ่ยังเยาว์ สำหรับค่ายกลโบราณทุกชนิดนั้นเขาควบคุมได้หมด หากว่ากันด้วยความรู้พวกเราไม่มีใครเทียบเขาได้!”
“ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเขา ข้าคิดว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเขาก็คือเขามักจะคำนวณได้ว่าการเดินหมากก้าวต่อไปของข้าจะอยู่ในตำแหน่งใด ข้ายังสงสัยว่าเขาจะแตกฉานในศาสตร์อ่านใจคน”
“ศาสตร์อ่านใจคนไม่ใช่เื่น่ากลัวที่สุด ที่น่ากลัวก็คือเวลาเดินหมากกับเขา เขามักจะกดดันจิตใจของข้า ทำให้ข้าเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ!”
“ข้าก็ด้วย! ในยามปกติไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อน ทันทีที่เผชิญหน้ากับเขา ข้าเหงื่อไหลท่วมตัว”
“...”
ทั้งๆ ที่เริ่มต้นสนทนาด้วยเื่การเดินหมาก แต่กลายเป็ว่าพูดไปพูดมากลับเป็อีกเื่หนึ่ง เฟิ่งเฉี่ยนมึนไปหมด นางตัดบทอย่างทนไม่ไหว “ทุกท่าน สิ่งที่พวกท่าน้าจะสื่อสาร ข้าพอจะทำความเข้าใจได้แล้ว! วันนี้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ข้ากลับไปวิเคราะห์อีกที พรุ่งนี้พวกเราพบกันที่ชุมนุมเดินหมาก”
นางลุกขึ้นเตรียมจากไป
หานไท่ฟู่พลันขวางนางเขาเอาไว้แล้วถามอย่างไม่วางใจ “ลูกสาว เ้ามีความมั่นใจหรือไม่ เหตุใดข้าเห็นเ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
เฟิ่งเฉี่ยนกลอกตาขาว “ข้าไม่เคยมีความคิดจะแข่งขันกับเขา ล้วนเป็พวกท่านที่บีบบังคับข้า ตอนนี้เพิ่งจะมาถามสภาพจิตใจของข้า ช้าเกินไปหรือไม่”
หานไท่ฟู่หัวเราะกระดากใจ “เพื่อหน้าตาของแผ่นดิน ทุกคนล้วนมีหน้าที่! อีกอย่างหนึ่ง ทักษะการเดินหมากของเ้าอยู่เหนือกว่าฟางเสียพวกเขาจริงๆ เ้าเป็คนที่มีความเป็ไปได้มากที่สุดว่าจะเอาชนะซือคงเซิ่งเจี๋ยได้ พวกเราทุกคนมั่นใจในตัวเ้า!”
จ้าวฉีเอ่ยปากเช่นกัน “ถูกต้อง แม่นางเฟิง ศึกในวันพรุ่งนี้เกี่ยวพันไปถึงความเป็ความตายของชุมนุมหมากล้อมแห่งแคว้นเป่ยเยียน ท่านจะต้องทำให้ได้นะ!”
ฟางเสียมองมาทางเฟิ่งเฉี่ยน เขาอ้าปากคิดจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็เลิกล้มความคิด แต่ดวงตาของเขากลับบอกทุกอย่าง
เฟิ่งเฉี่ยนมองทุกคนแล้วถอนใจเบาๆ “วางใจเถิด พรุ่งนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าจะทำสุดความสามารถ!”
เมื่อออกมาจากชุมนุมเดินหมากก็เป็เวลาโพล้เพล้แล้ว เฟิ่งเฉี่ยนไม่เสียเวลาอีกนางตรงกลับเข้าวังหลวง
เพิ่งจะก้าวผ่านประตูวังก็เห็นมีคนมาเฝ้าประตูวังเอาไว้เพื่อรอนางเป็การเฉพาะ “ทูลเหนียงเหนียง ฝ่าารอพระองค์อยู่ในห้องทรงพระอักษรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าาตรัสว่าหากพระองค์กลับมาแล้วให้ไปเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า เขาไม่มาหานาง นางก็ตั้งใจจะไปพบเขาอยู่แล้ว ในเมื่อวันนี้เขาช่วยเหลือนางครั้งใหญ่
เมื่อเดินมาถึงห้องทรงพระอักษร จ้าวกงกงเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู เห็นนางมาแล้วเขารีบคารวะให้นาง “ทูลเหนียงเหนียง ฝ่าาทรงรออยู่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์รีบเข้าไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนก้าวเท้าเดินเข้าไป ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบสนิท นางช้อนตาขึ้นก็เห็นเซวียนหยวนเช่อนั่งอ่านฎีกาอยู่
สีหน้าท่าทางของเขาเรียบๆ เรื่อยๆ มองไม่ออกว่ายินดีหรือกำลังโกรธ คิ้วตาดูเป็ปกติทุกอย่าง
เฟิ่งเฉี่ยนไม่กล้ารบกวน จึงได้แต่มองเขาเงียบๆ เช่นนี้ ย้อนคิดถึงการอยู่ร่วมกันของทั้งสองในหลายวันที่ผ่านมา สีหน้าท่าทางเ็าราวกับน้ำแข็งของเขาทำให้คนยากจะเข้าใกล้ ทว่ากลับยื่นมือมาช่วยเหลือในขณะที่้าที่สุด เขาที่เป็เช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกจิตใจสงบอย่างปราศจากเหตุผล
ขณะที่กำลังคิดจนใจลอยไปไกลนั้น เขาพลันเงยหน้าขึ้นมองมาทางนาง เฟิ่งเฉี่ยนหลบสายตาของเขาทันที
เซวียนหยวนเช่อจับได้ถึงความสับสนวุ่นวายใจในแววตาของนาง มุมปากของเขายกขึ้นทว่ากลับดูเข้มงวดแล้วพูดเสียงหนัก “ฮองเฮา เ้ารู้หรือไม่ว่าทำผิดอะไร”