ต้วนชางไห่ตะลึงไป เหมือนจะงงๆ ว่าทำไมจู่ๆ หยางหนิงถึงได้พูดอะไรที่ดูมีความรู้ออกมา เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านเข้าใจผิดแล้ว อย่าว่าแต่โดนเตะเลย ต่อให้เป็ดาบ ข้าก็โทษอะไรใครไม่ได้” เขาค่อยๆ นั่งลง เงยหน้าเหมือนจะยังมึนๆ แล้วพูดว่า “ข้ากำลังคิดถึงท่านแม่ทัพอยู่ ท่านแม่ทัพ... ท่านแม่ทัพ... ท่านไม่ควรจากไปอย่างนี้ เขาเป็วีรบุรุษ ทำไม์ถึงไม่ยุติธรรม...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลออกมา
หยางหนิงรู้ดีว่าลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ ต้วนชางไห่เป็ชายชาติทหาร คนแบบนี้หากไม่เสียใจมากจริงๆ ไม่มีทางหลั่งน้ำตาแบบนี้แน่ๆ
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงแล้วก็พวกมีความเสียใจกับการจากไปขององครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่งมาก แสดงว่าองครักษ์เสื้อแพรคนนี้ได้ใจคนมากมายนัก
หยางหนิงคิดว่าตัวเขารู้เื่ในจวนโหวน้อยมาก คิดจะอยู่ในจวนโหว จะรู้อะไรก็ควรจะรู้ให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ต้วนชางไห่อยู่ในอาการมึนเมา หากรู้เื่อะไรจากปากเขาได้ ก็คงดีไม่น้อย ยื่นมือไปตบมือของต้วนชางไห่เบาๆ เพื่อปลอบใจเขา
ต้วนชางไห่มองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่าน... ท่านดูไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย!”
หยางหนิงตื่นตระหนก แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยน แล้วถามว่า “ไม่...ไม่เหมือนอย่างไร?”
“แต่ก่อนซื่อจื่อ...!” ต้วนชางไห่ลังเลไป แล้วส่ายหน้า “ท่านแม่ทัพคงคุ้มครองท่านอยู่ ซื่อจื่อถึงได้เอาตัวรอดมาได้ ตอนนี้...ยังรู้เื่ขึ้นตั้งเยอะ ถ้าท่านแม่ทัพรู้ ท่านต้องดีใจแน่ๆ”
หยางหนิงยิ้ม รู้ว่าวันนี้สิ่งที่ตัวเขาทำในโถงบรรพชนทำให้หลายคนใ
“ท่านพ่อ...ท่านพ่อข้าเขาเป็อะไร?” หยางหนิงคิด แล้วถามว่า “ทำไมเขาถึงได้จากไปแบบนี้?”
ต้วนชางไห่สีหน้าแปลกไป ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เมื่อกี้ข้าน้อยไปถามมาแล้ว ท่านแม่ทัพอาการาเ็กำเริบ แล้วจู่ๆ ก็จากไปเลย”
“อาการาเ็กำเริบ?”
ต้วนชางไห่กล่าวว่า “หลายปีมานี้ ท่านแม่ทัพเฝ้าประจำการอยู่ที่แนวหน้า แนวหน้าของไหวชุ่ยถูกก่อกวนโดยชาวเป่ยฮั่นทุกปี ถึงแม้สองฝากฝั่งไหวชุ่ยจะไม่ได้มีา แต่ว่าการแอบลอบสังหารก็ไม่เคยหยุดเลย” แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง มองไปที่หยางหนิง แล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะ ซื่อจื่อท่านไม่ชอบฟังเื่พวกนี้ ข้าน้อยไม่พูดแล้วดีกว่า”
“ใครบอกข้าไม่ชอบฟัง?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน...ท่านอารองต้วน วันนี้จู่ๆ ข้าก็อยากจะรู้เื่ของท่านพ่อ ท่านบอกเื่ที่ท่านรู้กับข้ามาให้หมด”
ต้วนชางไห่สีหน้าแปลกใจมาก แล้วพูดว่า “แต่ก่อนเื่ของท่านแม่ทัพ ซื่อจื่อแทบจะไม่สนใจเลย ทำไมวันนี้ถึงได้สนใจขึ้นมาได้?”
“วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน” หยางหนิงถอนหายใจ สีหน้าหดหู่ “ท่านพ่อจากไปแล้ว ข้า... ข้าอยากจะรู้อะไรให้มากขึ้นหน่อย”
ต้วนชางไห่แค่พยักหน้า คิดแค่เพียงว่าการตายของฉีหุ้ยจิ่งมันกระทบกระเทือนจิตใจของซื่อจื่อ ในใจก็เลยรู้สึกซาบซึ้ง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อก็รู้ดีว่า ตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรนั้นได้รับสืบทอดมาจากท่านเหล่าโหวที่เป็เสนาบดีาุโ ท่านเหล่าโหวเป็แม่ทัพคนแรกของต้าฉู่ เป็คนที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอดีตฮ้องเต้ จนกระทั่งสามารถรวบรวมดินแดนเป็แผ่นดินต้าฉู่ได้อย่างทุกวันนี้”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้องครักษ์เสื้อแพรก็เป็การสืบทอดตำแหน่งจากรุ่นสู่รุ่นนั่นเอง ท่านเหล่าโหว ก็น่าจะเป็พ่อของฉีหุ้ยจิ่ง หรือก็คือปู่แท้ๆ ของซื่อจื่อนั่นเอง
“ตอนนั้นท่านเหล่าโหวข้ามแม่น้ำไหว ยึดหรู่หนานกับโซ่วชุนได้...!” ต้วนชางไห่หยุด เหมือนรู้สึกว่าพูดเื่พวกนี้ไปซื่อจื่อก็คงไม่เข้าใจ ก็เลยเล่าให้ง่ายขึ้น “ท่านเหล่าโหวยึดเมืองของเป่ยฮั่นได้สองเมือง เมื่อถูกแทงเป็แผลใหญ่ ชาวเป่ยฮั่นก็คิดอยากจะชิงมันกลับไปตลอดเวลา แต่ก็ไม่สำเร็จ”
“เหมือน...ท่านปู่จะทำาเก่งนะ” หยางหนิงกล่าว
ต้วนชางไห่มีสีหน้ารู้สึกเคารพยำเกรงมาก แล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว มีพ่อเป็เสือแล้วลูกจะหมาได้อย่างไร ตอนนั้นท่านแม่ทัพเองก็ติดตามท่านเหล่าโหวออกรบ หลังจากที่ท่านเหล่าโหวสิ้นบุญไป ชาวเป่ยฮั่นก็ฉวยโอกาสชิงสองเมืองไป ตอนนั้นสถานการณ์คับขันมาก แต่ท่านแม่ทัพก็ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้ แล้วขับไล่ชาวเป่ยฮั่นออกไปจากพื้นที่ได้สำเร็จ สร้างชื่อั้แ่ตอนนั้น” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เหมือนรู้สึกว่าเป็เกียรติมาก
“แล้วต่อมาล่ะ?” หยางหนิงถาม
ต้วนชางไห่พูดว่า “จากนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ออกพระราชโองการให้ท่านแม่ทัพประจำการอยู่ที่ไหวชุ่ย สู้ศึกกับชาวเป่ยฮั่นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วก็ได้รับชัยชนะกลับมาทุกครั้ง”
“เหมือนชาวเป่ยฮั่นจะไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีดปักในใจของตัวเองแท้ๆ แต่ดึงไม่ออก”
ต้วนชางไห่รีบพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “ซื่อจื่อ ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะเก่งกาจ ทหารต้าฉู่ของเรารบชนะได้ แต่จะดูถูกชาวเป่ยฮั่นไม่ได้นะ” สายตของเขาเปลี่ยนไป “ตอนนั้นทางเป่ยฮั่นภายใต้การบัญชาของจางหลิงโหวมีหน่วยกองกำลังเสวี่ยหลัน หน่วยนั่น... ถือได้ว่าเป็หน่วยทหารกล้าตายที่องอาจและเด็ดขาดมากๆ เลย”
“จางหลิงโหว?” หยางหนิงพูดอย่างประหลาดใจ “คนๆ นี้ร้ายกาจมากเลยหรือ? แล้วหน่วยกองกำลังเสวี่ยหลันเป็กองกำลังแบบไหน?”
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจัง แล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านแม่ทัพประจำการอยู่ที่ไหวชุ่ย คนที่สามารถเป็คู่ปรับของท่านแม่ทัพก็มีแต่เป่ยฮั่นจางหลิงโหวนี่แหละ” เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “จางหลิงโหวเป็บุคคลสำคัญของเป่ยฮั่น คนๆ นี้เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๋ สิ่งที่เก่งที่สุดก็คือการฝึกกองทัพที่แข็งแกร่งมาก เกราะของกองทัพหน่วยนี้ จะมีดอกกล้วยไม้สีแดงติดอยู่ สีเหมือนเื ดังนั้นจึงเรียกทหารหน่วยนี้ว่ากองกำลังเสวี่ยหลัน”
“กองกำลังเสวี่ยหลัน?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ชื่อนี้ฟังดูเหมือนผู้หญิงเลย”
ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฟังดูเหมือนผู้หญิง แต่ว่าเมื่อพวกเขาลงมือ มันยิ่งกว่าสัตว์ร้ายเสียอีก ต้าฉู่ของเรายึดหรู่หนานกับโซ่วชุนไว้ ตอนนั้นท่านแม่ทัพอยู่ที่หรู่หนาน ชาวเป่ยฮั่นก็เข้าบุกโจมตีโซ่วชุน โซ่วชุนรีบแจ้งข่าวด่วนเข้ามา ท่านแม่ทัพก็เลยนำทหารจากค่ายกิเลนดำไปช่วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อไปถึงเป่ยถังชิ่งกลับถูกสุ่มโจมตีจากทหารของกองกำลังเสวี่ยหลัน...!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก สีหน้าเปลี่ยนไปดูหดหู่มาก มือของเขากำหมัดแน่น
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ค่ายกิเลนดำร้ายกาจมากเลยหรือ?”
“ซื่อจื่อ ศพที่เราเห็นที่ศาลเ้า ข้าเคยบอกว่าเป็ฝีมือของค่ายดาบดำ ท่านจำได้ไหม?” ต้วนชางไห่ถามกลับ
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเห็นเ้าดูกลัวค่ายดาบดำมากเลย”
“ต้าฉู่ของเรามีทัพทหารม้าสองกองที่แข็งแกร่งมาก นั่นก็คือค่ายดาบดำกับค่ายกิเลนดำ” ต้วนชางไห่ค่อยๆ พูดว่า “ทัพม้าสองกองนี้คือที่สุดของต้าฉู่ของเรา ทหารคนไหนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปสังกัดถือได้ว่าเป็เกียรติสูงสุดของชีวิตเลยก็ว่าได้” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ค่ายกิเลนดำท่านเหล่าโหวเป็คนก่อตั้ง ถือได้ว่าเป็หน่วยอาชาเหล็กอย่างแท้จริง ถึงแม้คนของสองค่ายนี้จะมีไม่มาก แต่สามารถสะท้านไปทั่วทิศ”
“งั้นตอนนี้ค่ายกิเลนดำก็อยู่แนวหน้าหรือ?” หยางหนิงถาม
“แนวหน้า?” ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ค่ายกิเลนดำไม่มีอีกแล้ว หลายปีก่อนค่ายกิเลนดำต่อสู้กับกองกำลังเสวี่ยหลัน สู้กันสามวันสามคืน ทหารของค่ายกิเลนดำตายทั้งหมด ส่วนทหารของกองกำลังเสวี่ยหลันเองก็าเ็สาหัส...!” จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วพูดว่า “ท่านสามก็ตายเพราะาในครั้งนี้”
“ท่านสาม?” หยางหนิงตะลึง “งั้นก็...อาสามของข้าหรือ?”
ต้วนชางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “สิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นท่านยังเด็กมาก อาจจะจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไร ท่านสามเป็ผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำ เป็มือซ้ายมือขวาของท่านแม่ทัพ เป็เหมือนเสาหลักของต้าฉู่ของเรา...!” เขาดวงตาแดงก่ำ ถอนหายใจยาวแล้วพูดต่อว่า “ท่านสามเสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง ตายในสนามรบ ทิ้งฮูหยินสามเอาไว้...!”
หยางหนิใแล้วพูดว่า “เ้าว่า ซานเหนียงนางเป็...นางเป็...ของอาสามหรือ?” เขาไม่ได้พูดจนจบ แต่ในตอนนี้ก็รู้แล้วว่ากู้ชิงฮั่นไม่ใช่อนุขององครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่ง แต่เป็เมียแต่งของท่านสามของจวนตระกูลฉี คลายความสงสัยได้สักที มิน่ากู้ชิงฮั่นถึงได้ไม่เกรงใจฉงอี๋เหนียงเลย
“จะว่าไปแล้วชะตาของฮูหยินสามก็ช่าง...!” ต้วนชางไห่กดเสียงต่ำลง หรือว่าอาจจะเป็เพราะดื่มเหล้าเยอะ ก็เลยพูดมากเป็พิเศษ “หลายปีมานี้ ฮูหยินสามดูแลจัดการทุกอย่างในจวน หากไม่ได้ฮูหยินสาม จวนโหวก็คงไม่มีระเบียบแบบแผนอย่างทุกวันนี้” แล้วพูดต่ออีกว่า “ซื่อจื่อ หลายปีมานี้ฮูหยินสามดูแลท่านอย่างดีมาตลอด ต่อไปท่านจะต้องดีกับฮูหยินสามให้มากนะ” เขาเหมือนจะรู้สึกว่าไม่ควรพูดจาแบบนี้กับหยางหนิง ก็เลยพูดอย่างเขินๆ ว่า “ท่านซื่อจื่ออย่าได้ถือสาข้าเลยนะ ข้าน้อย...ข้าน้อยดื่มเยอะไปหน่อย ก็เลยพูดอะไรเหลวไหลไปเยอะ”
ตอนนี้หยางหนิงไม่โทษที่ต้วนชางไห่พูดเยอะ ยังย้อนถามด้วยความสงสัยไปว่า “งั้น...งั้นแม่แท้ๆ ของข้าล่ะ...?”
ในใจของเขารู้สึกแปลกใจอยู่ตลอด ตัวเขาเป็ลูกชายคนโตของเมียแต่งขององครักษ์เสื้อแพร งั้นแม่ของซื่อจื่อก็คือฮูหยินของท่านโหว แต่ว่าการจัดการในจวนกับเป็ของฮูหยินสามอย่างกู้ชิงฮั่น หลังจากเข้ามาในจวน กลับไม่เห็นฮูหยินของท่านโหวเลย หากฮูหยินท่านโหวอยู่ในจวน กู้ชิงฮั่นพาตัวเขาไปพบไท่ฟูเหรินแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่พาเขาไปพบกับฮูหยินของท่านโหวแน่ๆ
แต่ว่าในจวนดูเหมือนจะไม่มีคนๆ นี้อยู่
สายตาของต้วนชางไห่แปลกๆ เหมือนจะรู้ว่าหยางหนิงอยากจะถามอะไร แต่กลับไม่ตอบ แถมยังลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เรา...เราไปที่โถงบรรพชนกันเถอะ ทางนั้นน่าจะเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว เราไปอยู่เป็เพื่อนท่านแม่ทัพกันดีกว่า”
“เ้านั่งลงก่อน” หยางหนิงดึงชายเสื้อของต้วนชางไห่ แล้วสั่งให้เขานั่งลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อะไรกันข้าแค่ถามถึงแม่แท้ๆ ของข้า เ้าก็จะไปเลยหรือ?”
สีหน้าของต้วนชางไห่แปลกๆ มองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยเสียงที่เบามากว่า “ท่านซื่อจื่อ เื่นี้... เื่นี้ไว้วันไหนว่างๆ ท่านไปถามไท่ฟูเหรินดีกว่า ในจวนมีกฎ ไม่ว่าใครก็ตามห้ามพูดถึงฮูหยินใหญ่โดยเด็ดขาด จริงๆ...จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฮูหยินใหญ่เลย ท่านถามข้าข้าก็ไม่รู้”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าต้วนชางไห่จะตอบแบบนี้
เขาเหมือนจะใ ไม่เข้าใจว่าทำไมในจวนองครักษ์เสื้อแพรถึงมีกฎประหลาดแบบนี้ ฮูหยินใหญ่เป็ภรรยาขององครักษ์เสื้อแพร ฐานะและตำแหน่งสำคัญกับจวนโหวมาก สูงกว่าตำแหน่งของกู้ชิงฮั่นอีก แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพูดถึงไม่ได้
เื่นี้มันมีเงื่อนงำจริงๆ
“เ้าอยู่ในจวนนี่มากี่ปีแล้ว?” หยางหนิงถาม “ทำไมเ้าถึงได้ไม่รู้เื่เกี่ยวกับแม่แท้ๆ ของข้าล่ะ?”
ต้วนชางไห่ยกมือขึ้นจับศีรษะของตัวเอง แล้วพูดเบาๆ ว่า “หลังจากค่ายกิเลนดำล่มสลาย ท่านแม่ทัพก็ย้ายข้ากับฉีเฟิงแล้วก็จ้าวอู๋ชางกลับเมืองหลวง แล้วก็จัดให้ข้ามาทำงานที่จวนโหวนี่ จนถึงตอนนี้ก็หลายปีแล้ว”
“หลังจากค่ายกิเลนดำล่มสลาย?” หยางหนิงใ “พวกเ้าเป็อะไรกับค่ายกิเลนดำ?”
ต้วนชางไห่มองหยางหนิง แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เราสามคน โตมาจากค่ายกิเลนดำ ข้าติดตามอยู่ข้างท่านสามมาตลอด เป็รองแม่ทัพของเขาในตอนนั้น!” สายตาของเขาเหมือนจะมีความเสียใจไม่น้อย แต่กลับปกปิดด้วยสีหน้าท่าทางของเขา