หยางหนิงรู้ว่าต้วนชางไห่ร่างกายกำยำ มีราศีของความเป็ทหารอย่างชัดเจน รวมไปถึงฉีเฟิงกับจ้าวอู๋ชางด้วย หยางหนิงััถึงความเป็ทหารของพวกเขาได้
แต่แค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็คนของค่ายกิเลนดำ แถมยังเป็ทหารในสังกัดของท่านสาม
“ท่านสามกับท่านแม่ทัพ ท่านเหล่าโหวฝึกฝนมากับมือ ดังนั้นตอนท่านสามหนุ่มๆ ก็เหมือนกับท่านแม่ทัพ ติดตามท่านเหล่าโหวไปรบตลอด” ต้วนชางไห่พูดอย่างหดหู่ “หากไม่ใช่เพราะครั้งนั้น... เห้อ ตอนนี้ท่านสามก็น่าจะเป็ขุนพลอันดับหนึ่งในใต้หล้าไปแล้ว”
หยางหนิฟังมาถึงตรงนี้ ก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นเกี่ยวกับจวนองครักษ์เสื้อแพร แล้วถามว่า “หลังจากศึกครั้งนั้นพวกเ้าถีงกลับมาเมืองหลวงหรือ?”
“หลังจากศึกของค่ายกิเลนดำกับกองกำลังเสวี่ยหลัน เหลือกำลังทหารไม่ถึงสิบนาย” ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “แต่ว่าท่านแม่ทัพทำอะไรรอบคอบมาตลอด ตอนที่ค่ายกิเลนดำาเ็ล้มตาย ทหารเสริมก็ตามมาได้ทัน กองกำลังเสวี่ยหลันตอนนั้นก็แทบจะหมดกำลังแล้ว ไม่มีแรงจะสู้ต่อได้อีก พวกเขาก็เลยหนีไป เราถึงได้รอดมาได้”
หยางหนิงพูดว่า “ค่ายกิเลนดำของเราถึงแม้จะล่มสลายไปหมด แต่ว่าหลังจากสู้ศึก กองกำลังเสวี่ยหลันก็แทบจะไม่มีแรงรบอีก ดังนั้นทางเหนือของไหวชุ่ยถึงยังรักษาเอาไว้ได้”
ต้วนชางไห่มีสีหน้าแปลก แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อเป็ลูกเสือ เื่พวกนี้ คงเข้าใจได้ดี” แล้วพูดต่ออีกว่า “ซื่อจื่อพูดถูก ถึงแม้ค่ายกิเลนดำจะหายสาบสูญไป แต่กองกำลังเสวี่ยหลันที่จางหลิงโหวฝึกฝนมาเองก็หมดเรี่ยวแรง ไม่มีแรงจะแสดงอำนาจต่อเราได้อีก” แล้วเขาก็หยุดไป ก่อนจะพูดต่อว่า “ท่านแม่ทัพได้ยื่นฎีกาต่อราชสำนัก ขอพระราชทานบำเหน็จรางวัลให้กับทหารของค่ายกิเลนดำที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็เลยถูกเลื่อนขั้นไปตามที่ต่างๆ ส่วนเราก็มาอยู่ที่นี่”
“อ๋อ?” หยางหนิงประหลาดใจ “แล้วทำไม? ได้เป็ขุนนางไม่เอา มาอยู่เป็ทหารยามที่นี่แทนเล่า?”
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “เราติดตามท่านสามออกรบ หลายครั้งที่ท่านสามช่วยเรามาจากความตาย ั้แ่ตอนนั้นเป็ต้นมาเราก็สาบานไว้ว่า เราจะติดตามท่านสามไปจนวันตาย ไม่คิดเป็อื่น” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านสามตายไป ตอนแรกเราคิดที่จะตายตามท่านสามไป แต่ท่านแม่ทัพมาขวางเราไว้ เขาบอกว่าถ้าเราไม่อยากเป็ซื่อกวน ก็มาเป็ทหารที่จวนโหวได้ ไม่เพียงสามารถคุ้มครองจวนโหวได้ ยังสามารถคุ้มครองฮูหยินสามได้ด้วย”
หยางหนิงพยักหน้า ในใจก็คิดว่ามีตำแหน่งขุนนางให้เป็ไม่เป็ แต่กลับมาเป็ทหารยามที่จวนโหว ถือได้ว่าเป็คนที่มีความจงรักภักดีมาก พวกเขายอมเป็บ่าวไพร่ในจวนโหว คิดว่าน่าจะเห็นแก่หน้าของท่านสามมากกว่าจะเป็องครักษ์เสื้อแพร เพราะม่ายของท่านสามยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาอยู่ในจวนโหว คิดว่าน่าจะอยากคุ้มครองฮูหยินสาม เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านสาม
ไม่แปลกใจทำไมฮูหยินสามถึงได้มีอำนาจในจวนโหวแบบนี้ เพราะนางเป็เมียแต่งของท่านสาม ตำแหน่งในจวนโหวก็ไม่ธรรมดา น่าเสียดายที่คนสวยๆ แบบนี้ ต้องมาเป็ม่ายั้แ่อายุยังน้อย
ต้วนชางไห่เหมือนจะสร่างเมาแล้ว มีสติขึ้นมามาก ยิ่งหยางหนิงถามเขาถึงเื่ที่ทำให้เขารู้สึกมีเกียรติกับเื่ที่เสียใจเมื่อก่อน เขาแทบจะยกสมองของเขาออกมาทั้งหมดเลย
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ฟ้าค่อยๆ มืดลง จวนโหวในทุกมุมกำลังจุดโคมสีขาวที่มีคำว่า “เตี้ยน”
“เมื่อกี้เ้าบอกว่าพ่อข้าตายเพราะอาการาเ็ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” หยางหนิงพูด “อาการาเ็ของเขาหนักมากเลยหรือ?”
“ท่านแม่ทัพออกรบหลายปี บนร่างกายเต็มไปด้วยาแมากมาย” ต้วนชางไห่พูดขึ้น “ตระกูลองครักษ์เสื้อแพรใช้ความสามารถในการรบแลกมาซึ่งเกียรติ ท่านเหล่าโหวเองก็เช่นกัน ท่านสามก็ใช่ ดังนั้นชายตระกูลฉีร่างกายก็จะเต็มไปด้วยาแ จริงๆ แล้วท่านแม่ทัพกลับมาพักที่เมืองหลวงแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนชาวเป่ยฮั่นนำทัพหนึ่งแสนบุกมา ท่านแม่ทัพจึงต้องออกไปอีก ไปคราวนี้ไปนานถึงสามปี ท่านแม่ทัพอดทนแบบนี้ถึงสามปี...!” สายตาของเขาแดงก่ำ “ในใจของพวกเรารู้ดีว่า ร่างกายของท่านแม่ทัพยังไม่หายดี วันแล้ววันเล่า แผลเก่าแผลใหม่รวมกัน เ็ปรวดร้าว แต่ว่าคราวนี้เมื่อท่านแม่ทัพล้มลง ต้าฉู่ก็จะมีภัยแน่นอน ดังนั้นท่านจึงปิดบังเอาไว้...!”
สีหน้าของหยางหนิงดูชื่นชมและเคารพ คิดในใจว่าฉีหุ้ยจิ่งเป็วีรบุรุษจริงๆ
“เมื่อหลายเดือนก่อน ทั้งสองฝั่งทำสัญญาสงบศึกกัน ชาวเป่ยฮั่นยอมถอนทหารกลับไป” ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ที่ชาวเป่ยฮั่นยอมถอนทหารกลับไป ทั้งสองฝ่ายตกลงอะไรกันบ้าง ข้าเองก็ไม่รู้ คิดว่าคงจะได้พักรบ ท่านแม่ทัพจะได้กลับเมืองหลวงมารักษาตัว ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกาย แต่ว่า...!” เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “แต่ใครจะคิดว่าเื่จะเป็แบบนี้ ท่านแม่ทัพทำเพื่อต้าฉู่ เหนื่อยตายเสียอย่างนั้น”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้องครักษ์เสื้อแพรท่านนี้ก็เป็วีรบุรุษที่โหมงานหนัก ต้วนชางไห่ลุกขึ้นมา “ซื่อจื่อ ค่ำแล้ว เราไปกันดีกว่า ท่านกลับมาแล้ว ฮูหยินสามวันนี้เพื่อท่านแล้วถึงกับทะเลาะกับท่านใหญ่สาม ท่านอย่าทำให้ความหวังดีของนางต้องสูญเปล่าเลย”
หยางหนิงรู้ว่านั่งฟังต้วนชางไห่พูดแบบนี้ครึ่งค่อนวัน มันกินเวลาไปมากเหมือนกัน ในเมื่อตัวเขาเป็ซื่อจื่อ พ่อตัวเองตาย อย่างไรก็ต้องทำหน้าที่ให้ดี
ทั้งสองเดินไปยังโถงบรรพชน หยางหนิงพลางถามว่า “ท่านอาต้วน ในเมืองหลวงมีสำนักคุ้มกันกี่แห่ง?”
“สำนักคุ้มกันหรือ?” ต้วนชางไห่คิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะถามถึงสำนักคุ้มกัน รู้สึกงงๆ นิดหน่อย “ซื่อจื่อถามถึงสำนักคุ้มกันทำไม?”
หยางหนิงคิดไว้แล้วว่าจะตอบอย่างไรจึงพูดไปว่า “ข้าถูกพวกนั้นจับตัวไป มีครั้งหนึ่งได้ยินพวกเขาพูดถึงสำนักคุ้มกัน”
ต้วนชางไห่หยุดเดิน สีหน้าจริงจังขึ้นมา มองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อท่านได้ยินพวกเขาพูดถึงสำนักคุ้มกันหรือ? หรือว่าจะมีคนของหอเก้านภาซ่อนตัวอยู่ในสำนักคุ้มกัน?”
หยางหนิงตอบว่า “รายละเอียดอย่างไรข้าไม่รู้ ตอนนั้นเขาพูดกันเสียงเบา ข้าได้ยินแค่พวกเขาพูดถึงสำนักคุ้มกัน ยังบอกอีกว่าเป็สำนักคุ้มกันอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ท่านอาต้วน สำนักคุ้มกันอันดับต้นๆ ในเมืองหลวงมีที่ใดบ้าง?”
“ในเมืองหลวงมีสำนักคุ้มกันไม่น้อยเลย แต่ว่าอันดับต้นๆ นั้น มีอยู่สามแห่ง” ต้วนชางไห่คิด แล้วพูดว่า “มีสำนักคุ้มกันฉางผิง สำนักคุ้มกันซื่อไห่ กับสำนักคุ้มกันซวี่รื่อที่เป็สำนักคุ้มกันที่มีอิทธิพลในเมืองหลวง ซื่อจื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงสำนักคุ้มกันสามเ้านี้ไหม?”
หยางหนิงส่ายหน้า ในใจรู้สึกดีใจ คิดว่าต้วนชางไห่รู้เื่ในเมืองหลวงดีทีเดียว
สำนักคุ้มกันซื่อไห่เขาเคยเจอไปแล้ว ตอนนั้นเขาเจอสำนักคุ้มกันซื่อไห่ที่ร้านเหล้า แล้วก็เจอพวกนินจาฮิดะที่นั่นที่กำลังตามล่าเซียวกวง
“จะวางสายเอาไว้ในสำนักคุ้มกัน ก็พอมีวิธีอยู่” ต้วนชางไห่กำลังพูดกับตัวเองอยู่ คิดแล้วก็พูดว่า “แต่ว่าจวนโหวของเราไม่เหมาะที่จะออกหน้า เดี๋ยวไปลองถามเอาที่จวนเสินโหวล่ะกัน ให้คนของจวนเสินโหวไปตรวจสอบ สำนักคุ้มกันสามเ้านั้นรับมือไม่ง่าย อีกอย่างเราเองไม่มีเวลาไปสนใจมากนัก เดี๋ยวให้จวนเสินโหวไปสืบน่าจะเหมาะกว่า”
“จวนเสินโหว?” หยางหนิงพูดด้วยความประหลาดใจ “มันคือที่ไหนหรือ?”
สีหน้าต้วนชางไห่รู้สึกเขอะเขิน ซื่อจื่อท่านนี้ จะบอกว่าเขาบ้า วันนี้พูดจามีเหตุมีผลฉะฉาน ดูไม่ออกว่าบ้าเลย แต่จะบอกว่าเขาฉลาด ก็เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
เขากำลังจะอธิบาย ก็ได้ยินเสียงดังลอยมา “ท่านต้วน ท่านอยู่ที่นี่เองหรือ? เห็นฮูหยินสามหรือไม่?”
หยางหนิงมองไป เห็นพ่อบ้านชิวกำลังมาทางนี้
“พ่อบ้านชิว!” ต้วนชางไห่พูด “ท่านหาฮูหยินสามหรือ?”
“ใช่แล้ว” พ่อบ้านชิวเดินมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและร่างกายที่อ้วนท้วม สายตาเล็กๆ มองไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อคงเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวค่ำอีกนิด ท่านก็กลับไปพักได้แล้ว ข้าได้ไปเจรจจากับทางฉงอี๋เหนียงมาแล้ว ตอนกลางคืนจะให้คุณชายฉีอวี้มาเฝ้า พอเช้า ก็จะให้ท่านซื่อจื่อมาเฝ้า”
“อ๋อ?” ถึงแม้หยางหนิงจะจับจุดของพ่อบ้านชิวไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไม เห็นคนๆ นี้ทีไร ในใจก็รู้สึกมีอคติ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมฉีอวี้ยังคิดจะแข่งขันกับข้าอีกหรือ?”
หยางหนิงรู้ดีว่า ต้วนชางไห่เป็ชาวยุทธ์ ถึงแม้เขาจะละเอียดรอบคอบ แต่นิสัยค่อนข้างตรงเกินไป รับมือง่าย แต่กับพ่อบ้านชิวนั้นเหมือนจะมีลับลมคมในเต็มไปหมด ไม่น่าจะใช่คนที่รับมือได้ง่าย ต่อหน้าเขา ต้องระวังให้มาก เพื่อไม่ให้หลุดช่องโหว่อะไรออกไปที่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อน
หยางหนิงเชื่อว่าในตอนนี้ ในจวนยังไม่มีใครสงสัยสถานะของเขา แต่หากไม่ระวังให้ดี หลุดอะไรออกมา ก็จะทำให้คนอื่นสงสัยได้
“ท่านซื่อจื่อล้อเล่นแล้ว” พ่อบ้านชิวหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านเป็ซื่อจื่อของจวนโหว ฉีอวี้จะกล้าแข่งขันกับท่านได้อย่างไร? แต่ถึงแม้เขาจะเป็ลูกอนุ อย่างไรเสียเขาก็มีสายเืของท่านโหวอยู่ กลางวันไม่ให้เขาออกไปพบปะผู้คน กลางคืนก็ให้เขาได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญูบ้าง อย่างน้อยหากเกิดเื่ไม่คาดคิดในเวลากลางคืนเขาก็ยังจัดการแทนซื่อจื่อได้ ซื่อจื่อเองก็จะมีเวลาพักผ่อนเพื่อกักเก็บพลังกาย ต่อไปท่านต้องมีเื่ให้ทำมากกว่านี้ หากท่านซื่อจื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ เกรงว่าพละกำลังของท่านจะก้าวตามเขาไม่ทัน”
หยางหนิงไม่ได้สนใจในการแย่งกันเฝ้าศพแสดงความกตัญญูเท่าไร วันนี้ที่แสดงอำนาจไป ก็เพราะทนไม่ไหวที่พวกนั้นพุ่งเป้าใส่กู้ชิงฮั่น หากฉีอวี้จะเฝ้าศพแทนเขาในตอนกลางคืน เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ท่านต้วน เื่ในวันนี้ ท่านอย่าคิดมากไปเลยนะ” พ่อบ้านชิวมองไปที่ต้วนชางไห่ ยิ้มแล้วพูดว่า “นิสัยท่านห้า เราต่างรู้ดี ก็เป็แบบนั้นแหละ วันนี้อาจจะใจร้อนไปหน่อย เมื่อกี้ข้าไปดูมาแล้ว ท่านใหญ่สามยังพูดอยู่เลยว่าท่านห้าไม่ควรทำกับท่านแบบนั้น”
ต้วนชางไห่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “พ่อบ้านชิวคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ใส่ใจอะไร เราต่างก็เป็บ่าวไพร่ ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับคนเป็นายหรอก”
พ่อบ้านชิวหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “พูดแบบนี้ก็เหมือนยังมีอารมณ์อยู่ แต่ว่าข้าเข้าใจท่านต้วนนะ ทำใจให้สบาย เื่นี้พอถึงพรุ่งนี้ ท่านก็ลืมแล้ว” แล้วพูดอีกว่า “น้องต้วน ถึงแม้ว่าข้าจะเป็คนจัดการเื่ต่างๆ ในจวนโหว แต่หลายๆ เื่ก็ต้องพิจารณาตามเหตุการณ์โดยรวม การที่ซื่อจื่อมาเฝ้าศพนั้นก็ถือว่าเป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว พวกเราไม่สมควรพูดอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือคำนึงถึงสถานการ์ที่เกิดขึ้น ท่านใหญ่สามก็อยู่ตรงนั้น พวกเราจะไม่ใส่ใจท่านไม่ได้ จริงไหม? รอให้เื่ตรงหน้านี้ผ่านไปก่อน ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ตอนนี้เราต้องดูแลความรู้สึกและท่าทีต่างๆ ของบ้านตระกูลฉีก่อน เ้าว่าที่ข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่?”
ต้วนชางไห่พูดว่า “พ่อบ้านชิว ข้าเป็เพียงคนฝึกยุทธ์ รู้แค่เื่ปกป้องคุ้มครองจวนโหวเท่านั้น เื่อื่นๆ ข้าไม่ควรยุ่งมาก เพราะข้าเองก็ไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าอะไรก็ตามที่ฮูหยินสามพูด ไม่มีทางผิด หากจะให้พูดถึงส่วนรวม พ่อบ้านชิวปรึกษากับทางฮูหยินสามก็พอ หากมีอะไรที่จะให้ข้าทำ ฮูหยินสามสั่งคำเดียวก็ได้แล้ว”
“ใครบอกว่าท่านไม่เห็นแก่ส่วนรวมล่ะ?” เสียงใสๆ ดังมาจากด้านหลังของหยางหนิง “ที่โถงบรรพชนเ้ายอมอดกลั่น ไม่ทำอะไรโง่ๆ ลงไป นั่นก็ทำเพื่อส่วนรวมมากแล้วจริงไหม?”
หยางหนิงหันหลังไปดู เห็นกู้ชิงฮั่นที่ขาวราวกับกับเมฆสีขาวเดินลอยมา สวยราวกับนางฟ้า