“ครูคนนี้น่าสนใจดีนะ” นี่คือความคิดเห็นของนักเรียนห้อง 1 หลังจากผ่านไปครึ่งคาบเรียน ถึงเขาจะสอนตามตำรา แต่ก็ชอบยกตัวอย่างทางทหาร และถามคำถามที่ประลองปัญญา
จะเป่าหัวต้องขยับปืนขึ้นกี่เิเ คนเหยียบทุ่นะเิจะปลิวไปได้ไกลแค่ไหน...คำถามของเขาล้วนแต่ประหลาดเสียจนเด็กๆ รู้สึกสนุก นักเรียนท่าทางกวนๆ หลายคนเผลอคิดแก้ปัญหาตามเขา คำนวณจนกระทั่งได้คำตอบ
บรรยากาศในห้องเรียนเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ เสิ่นิกับนักเรียนถกกันในเื่ข้อเท็จจริงของการซุ่มยิง ทั้งร่วมสนทนาว่าเกมการแข่งขันควรจะดำเนินไปในทิศทางไหน
“เพลินกันเชียวนะ พวกแกกลายเป็เด็กว่านอนสอนง่ายกันไปหมดแล้วหรือไง?” ฮั่วกังไม่ได้ตอบคำถามเลยสักข้อ เขากอดอกพลางะโขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ บรรยากาศในชั้นเรียนสงบนิ่งลงทันที
ขณะนั้นเอง เสียงกริ่งก็ดังขึ้น การสอนคาบแรกในชีวิตของเสิ่นิได้จบลงไปแล้ว แม้จะเริ่มต้นได้ไม่สวย แต่ก็จบได้ไม่เลว เพียงแต่ปฏิสัมพันธ์เดียวที่ฟางหยวนมีต่อเขาคือชูนิ้วกลางให้
ระหว่างคาบเรียนมีเวลาพัก 10 นาที ใครอยากจะไปเข้าห้องน้ำก็ไปห้องน้ำ ใครอยากจะไปซื้อของกินก็ไปซื้อของกิน ความแตกต่างเดียวก็คือที่โรงเรียนชนชั้นสูงแห่งนี้มีแม่บ้านคอยบริการยื่นกระดาษชำระให้ภายในห้องน้ำ ร้านขายขนมจุบจิบก็มีพนักงานคอยบริการอยู่ราวๆ 30 คน ขนาดหมากฝรั่งก็ยังต้องยื่นให้
เสิ่นิเดินฮัมเพลงในขณะที่ถืออาหารเช้าซึ่งยังไม่ได้รับประทาน เขาตรงไปยังดาดฟ้าของอาคารฝั่งตรงข้าม และนั่งลงข้างหน้ารั้วลวดหนาม เขากัดขนมปังพลางมองไปยังด้านนอกห้อง ม.6/1 ซึ่งอยู่ห่างตรงนี้ประมาณร้อยเมตร นักเรียนยังคงเล่นกันอย่างคึกคัก ฟางหยวนเอาแต่หลับตลอด เด็กสาวภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับว่าเธอกำลังนอนกอดหมอนอยู่ เธอไม่เปิดเปลือกตาเลยสักนิด เสียงเอะอะรอบตัวไม่ได้มีผลอะไรกับเธอทั้งสิ้น
“อยู่ที่นี่เอง ชั้นเรียนเป็ยังไงบ้าง?” เซี่ยวอี๋มาถึงดาดฟ้าหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับเตรียมสอนเสร็จ ชุดนักกีฬารัดรูป เผยให้เห็นชุดชั้นในสีดำ กระโปรงทรงสอบด้านล่างก็ถูกแทนที่ด้วยกางเกงวอร์มขาสั้น ใส่คู่กับรองเท้าผ้าใบ ดูเท่ชะมัด
“ที่แท้ก็คุณครูเซี่ยวจิ้งนี่เอง คุณก็ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าหรือ?” เสิ่นิดันกรอบแว่นพลาสติกที่สันจมูกขึ้น ในมือกำขนมปังพลางหันไปยิ้มให้
“ฉันบอกแล้วไงว่าพอได้แล้ว จะแสดงกับฉันทำไม?” เซี่ยวอี๋เหลียวซ้ายแลขวา เห็นๆ อยู่ว่าบนดาดฟ้ามีแค่พวกเขาสองคน
“ได้ยินว่าคุณครูเซี่ยวจิ้งจบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไม่ทราบว่าคุณเชี่ยวชาญสาขาไหนหรือครับ?” เสิ่นิยังคงสวมบทบาทต่อไป
“ฉันชำนาญเื่การอัดผู้ชาย นายอยากจะลองไหมล่ะ?” เซี่ยวอี๋นั่งลงข้างเสิ่นิ มองดูฟางหยวนซึ่งนั่งประจำที่ตรงข้างหน้าต่าง “นึกไม่ถึงเลยว่าโรงเรียนนี้ถึงขั้นมีโรงพยาบาลเฉพาะสำหรับนักเรียน ฉันแอบไปส่องไฟล์ของฟางหยวนมา จิตแพทย์ประเมินว่าเธอมีแนวโน้มเป็โรคซึมเศร้า หมกมุ่นเล็กน้อย ไม่ยอมปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว รวมทั้งกับนักจิตวิทยาด้วย
ฉันไปถามครูประจำชั้นห้อง 1 มา เธอไม่มีเพื่อน ไม่ฟังบรรยาย และไม่ตอบคำถามครู แต่ทุกครั้งคะแนนสอบของเธอก็ติดอันดับท็อป 10 ของโรงเรียนอยู่เสมอ ไอคิวของเธอสูงถึง 140”
“ดูเหมือนว่าจะเป็สาวน้อยอัจฉริยะ น่าจะได้มาจากพ่อล่ะมั้ง?” เสิ่นิกัดขนมปังไปคำหนึ่ง
“งานอดิเรกของเธอก็ไม่เลวเลย มวยไทย ตอนนี้เธอเป็สมาชิกสมาคมมวยไทย แต่เธอก็ไม่ได้ไปฝึกนานแล้ว ไม่รู้ว่าลืมไปหมดแล้วหรือยัง?” เซี่ยวอี๋ใช้เวลาหนึ่งคาบเรียนในการสืบสถานการณ์แวดล้อมของเป้าหมายในโรงเรียนจนหมด
“ผู้หญิงที่รักศิลปะการต่อสู้ล้วนแต่เป็สาวแกร่ง เช่นนี้แล้วเมื่อเป้าหมายต้องเผชิญกับอันตรายก็สามารถป้องกันตนเองได้ จะว่าไป คาบต่อไปคือคาบเรียนพละของห้อง 1 ไม่ใช่หรือ?” เสิ่นิจ้องเซี่ยวอี๋ด้วยสายตาที่ลึกลับ
“นายคิดจะทำอะไรน่ะ?” เซี่ยวอี๋สังหรณ์ใจไม่ดี
“ลองสอนศิลปะการต่อสู้ดูสิ ให้ทุกคนได้บริหารกระดูกกันสักหน่อย” เสิ่นิยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ใช่เด็กที่ให้ความร่วมมือกับครูผู้สอนหรอกนะ?” เซี่ยวอี๋กล่าวอย่างอึดอัดใจ
“ทุกคนก็มีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น ข้อมูลระบุว่าเธอย้ายออกมาจากบ้าน หลังจากที่แม่เสียชีวิต เธอน่าจะรักแม่ของเธอน่าดู...” เสิ่นิกล่าวถึงตอนท้าย
“คุณจะให้ฉันรับบทเป็นางมารร้ายเหรอ?” เซี่ยวอี๋เข้าใจความคิดชั่วๆ ของเสิ่นิ
“โบราณว่าไว้ ยาดีย่อมมีรสขม ผมอยากรู้ว่าเธอมีความสามารถในการป้องกันตัวมากแค่ไหน” เสิ่นิเขมือบขนมปังที่เหลือจนหมดในคราเดียว
เวลาในโรงเรียนผ่านไปไว พริบตาเดียวก็ถึงคาบสามที่เป็วิชาพละแล้ว เด็กชายและเด็กหญิงเปลี่ยนเป็ชุดพละ ก่อนจะไปรวมตัวกันที่สนามบาสเกตบอล
ต่อให้เป็ลูกคนรวยก็ชอบเรียนวิชาพละ มันเป็เหมือนเวลาที่ได้เล่นเกม มีใครไม่ชอบบ้างล่ะ? ยิ่งตอนที่ขาเรียว 105 เิเนั่นย่างกรายเข้ามาในสนามแล้วด้วย ทั้งชั้นเรียนต่างมองกันเป็ตาเดียว
แม้ว่าเหล่าลูกคนรวยจะไม่เคยขาดสาวสวยข้างกาย ปาร์ตี้เลี้ยงรุ่นอะไรก็ผ่านกันมาหมดแล้ว แต่ความงามที่มีออร่าของครูสาวนั้นช่างกระตุ้นฮอร์โมนในตัวพวกเขา น่าจะเป็ผลจากการถูกวางยาในหนังแอคชั่นโรมแมนติกของญี่ปุ่น
ส่วนเด็กสาวก็จ้องกันตาเป็ประกาย พวกเธอพากันชื่นชอบชื่นชมคนสวย
“เอาล่ะทุกคน ไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ฉันคือครูพละคนใหม่ ชื่อเซี่ยวจิ้ง สำหรับชื่อของพวกเธอ ฉันดูมาจากข้อมูลพื้นฐานแล้ว เรามาเริ่มบทเรียน ‘ศิลปะการรุกและการป้องกันตัวแบบฟรีสไตล์’ กันเลยดีกว่า” เซี่ยวอี๋พูดถึงเค้าโครงการสอนอย่างคร่าวๆ
“คุณครูครับ ข้าศึกโจมตีผมแล้วครับ!” ฮั่วกังยกมือขึ้นพร้อมกับยิ้มลามก
“ถ้างั้นเดี๋ยวเธอออกมาสาธิต ผู้ชาย ไปเอาเบาะออกมา” เซี่ยวอี๋ปรบมือเพื่อเป็การกระตุ้น
5 นาทีผ่านไป เด็กชายและเด็กหญิงก็นั่งล้อมวงกันอยู่บนเบาะ ฮั่วกังผู้ซึ่งขึ้นชื่อในเื่ชกต่อยที่สุดในห้อง ขณะนี้กำลังมองโลกในทิศทางที่กลับหัวกลับหาง “เป็ไปได้ยังไง...”
เด็กหนุ่มพูดไม่ทันจบ ร่างเขาก็กระแทกเข้ากับเบาะอย่างแรง ด้วยส่วนสูงเกือบ 200 เิเ น้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม เขาเป็คนแรกที่ออกมาท้าทายคุณครูคนใหม่ในการต่อสู้แบบฟรีสไตล์ สองมือของเขาพุ่งตรงไปยังหน้าอกไซซ์ 32C แต่เมื่อใกล้จะััมัน ทันใดนั้น ครูก็คว้าข้อมือเขา แล้วหลังจากนั้น เท้าของเขาก็ลอยขึ้นจากพื้น ทะยานข้ามไหล่ของเซี่ยวอี๋ไป และหล่นลงพื้นดังโครม
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เก่งอย่างที่คุยไว้นะ แค่เห็นหน้าอกก็คิดจะคว้า เธอยังไม่หย่านมหรือไง?” คำถากถางของเซี่ยวอี๋ทำเอาเด็กทั้งห้องหัวเราะกันระนาว
“หัวเราะหาอะไร!” ฮั่วกังโกรธเป็ฟืนเป็ไฟพร้อมลุกขึ้นยืน แต่เขาก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นกับคุณครูอีก ในเมื่อคู่ต่อสู้เป็มืออาชีพ พ่อรูปหล่อจึงได้แต่ถอยทัพและกลับไปตั้งหลัก เขากลับไปนั่งร่วมกับคนอื่นๆ
“การต่อสู้แบบฟรีสไตล์ไม่ได้มีข้อได้เปรียบที่รูปร่างใหญ่กว่า แต่ประสบการณ์ ปฏิกิริยาที่รวดเร็ว และเทคนิคเป็สิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้หญิง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ตัวโตกว่าอย่างเช่นเมื่อครู่นี้ อย่ากลัวจนถอยหนีไป ให้ใช้สภาพแวดล้อมและเทคนิคที่เหมาะสม ก็จะสามารถเอาชนะได้ แน่นอนว่าการทุ่มนั้นอาจจะไม่ง่าย แต่การทำให้สะดุดก็นับว่าไม่ได้ยาก” การสอนของเซี่ยวอี๋มีประสิทธิภาพมาก เด็กสาวพากันชอบใจที่พวกเธอมีครูใหม่ที่ร้ายและแซ่บแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้น ลำดับต่อไป ขอให้นักเรียนหญิงขึ้นมาเป็ผู้สาธิตก็แล้วกัน เธอน่ะ ครูจำได้ว่าเธอชื่อฟางหยวนใช่ไหม?” ทุกคนหันหน้ากลับไปมองฟางหยวนที่อยู่ด้านหลังสุดตามคำพูดของเซี่ยวอี๋ ฟางหยวนเอาแต่นอนอยู่บนพื้น
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งหวังดีจึงสะกิดเรียกฟางหยวน “เฮ้ ครูเรียกเธอน่ะ”
“ฉันไม่สน เรียกคนอื่นเถอะ” ฟางหยวนไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง
“นักเรียนคนนี้ดูท่าจะไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่นสักเท่าไร หลับอย่างเดียวสมองจะเสื่อมเอาได้นะ ออกมาขยับร่างกายหน่อยดีกว่า” เซี่ยวอี๋เท้าเอว เธอเริ่มเปิดศึกกับฟางหยวนแล้ว
“ครูคะ อย่าไปยุ่งกับเธอเลย เธอน่ะ...” เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเตือนโดยการใช้นิ้วจิ้มหัวแล้วทำท่าหมุนอยู่หลายรอบ
“ช่างเถอะ ไม่มีมารยาทขนาดนี้ ตอนอยู่บ้านแม่คงไม่ได้สั่งสอนแน่” เซี่ยวอี๋ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ ฟางหยวนซึ่งนอนปิดตาเหมือนสิ้นชีพอยู่ก็เบิกตาโตทันที
“ครูชอบหาเื่ชกต่อยเหรอ?” ฟางหยวนเดินฝ่าเพื่อนร่วมชั้นขึ้นไปบนเบาะ เธอสะบัดคอ จนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ
“ไม่ใช่ชกต่อย ครูสอนต่อสู้ แต่ถ้าเธอจะคิดอย่างนั้น ก็ไม่เป็ไร” เซี่ยวอี๋ััได้ถึงรังสีแห่งความเป็ปรปักษ์
“ขอโทษแม่ของหนูเดี๋ยวนี้ แล้วหนูจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ฟางหยวนตั้งท่าแบบมวยไทย ดูเหมือนว่าเธอจะลืมการฝึกศิลปะการต่อสู้แบบฟรีสไตล์ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว
“ถ้าชนะแล้วครูจะขอโทษ ไม่อย่างนั้นเธอก็เป็แค่ลูกที่โตมากับพ่อ เป็เด็กไม่ดีที่ไม่มีแม่คอยสั่งสอน” เซี่ยวอี๋ยังคงยืนสบายๆ
“ครูหาเื่หนูเองนะ” ฟางหยวนก้าวไปข้างหน้า ด้วยความสูงที่พอๆ กันกับเซี่ยวอี๋ แต่ผอมบางกว่า ความรวดเร็วในการจู่โจมนั้นเร็วจนน่าใ ชั่วพริบตาเดียว เธอก็เข้ามาถึง่อกครูแล้ว
เซี่ยวอี๋เองก็ประหลาดใจ ดูจากฝีเท้าแล้ว ฟางหยวนจัดอยู่ในมวยไทยมาตรฐานขั้นที่สี่แน่ ด้วยอายุเท่านี้ มันไม่น่าเป็ไปได้
ฟางหยวนซึ่งตัวผอมบางะโมาถึงตรงหน้าของเซี่ยวอี๋ เธอเหวี่ยงศอกขวาขึ้นเพื่อโจมตีเซี่ยวอี๋จากบนลงล่าง เซี่ยวอี๋ใช้แขนยันไว้ ฝ่าเท้าถูกน้ำหนักบดขยี้
มวยไทยเป็ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทย ถือได้ว่าเป็ศิลปะแห่งการสังหาร มันพลิกแพลงและยืดหยุ่นได้หลายท่วงท่า มีความรวดเร็วและแม่นยำ พื้นฐานของมวยไทยคือการใช้หมัด เท้า เข่า ศอก ศอกนับว่าเป็อาวุธอันตรายซึ่งร้ายกาจยิ่งกว่ากำปั้น เพราะมันจู่โจมได้รุนแรงและรวดเร็วยิ่งกว่า
เซี่ยวอี๋สกัดการโจมตีรอบต่อไปของฟางหยวนได้ด้วยมือเดียว เธอผลักฟางหยวนให้ถอยกลับไป แต่เด็กสาวก็บิดตัวและเตะขาเป็วงเวียนกลางอากาศ และแม้ว่าเซี่ยวอี๋จะสกัดไว้ได้อีกครั้ง แต่มันก็ทำให้เซี่ยวอี๋เซถอยหลังไป 2 ก้าว ก่อนจะตั้งตัวได้
“แม่นักมวยสาวคืนสังเวียนแล้ว...” ฮั่วกังอดตัวสั่นไม่ได้ 2 ปีก่อนหน้านี้ เขาเคยสร้างความขุ่นเคืองให้กับฟางหยวนโดยไม่ได้เจตนา เด็กหนุ่มถูกสั่งสอนจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปเป็สัปดาห์ จากนั้นมา ทุกคนก็ให้ฉายาเธอว่า “แม่นักมวยสาว”
“แม่สาวน้อย ฝีมือไม่เลวเลยนะ ถ้าพี่สาวไม่เคยฝึกมาก่อน สองยกนั้นคงจะเสร็จเธอแล้ว...” เซี่ยวอี๋ชักจะโมโห นักเรียนนายร้อยตำรวจถูกเด็กสาวรังแก ช่างน่าอับอาย
“แล้วยังไง? พ่อหนูมีเงิน ขาครูหัก หนูก็เลี้ยงบรรพบุรุษครูได้สามชั่วโคตร ครูควรจะขอบคุณหนูด้วยซ้ำ ถึงจะถูก” ฟางหยวนแสยะยิ้ม
“ก็เข้ามาหักดูจริงๆ สิ เข้ามาเลย ลองดู!” เซี่ยวอี๋ลืมไปแล้วว่าตอนนี้เธออยู่ในฐานะครู เธอเตรียมกล้ามเนื้อ อยู่ในท่าพร้อมสู้
“คุณเป็ครู ครูสั่งหนูก็ต้องทำตาม!” ฟางหยวนพุ่งเข้าใส่เธออีกครั้ง