“แม่สาวน้อยจอมพลัง ดูเหมือนว่าเธอจะฟันโยกแล้วนะ” เซี่ยวอี๋บิดคาง ก่อนจะถ่มเืออกมา แก้มของเธอบวมเล็กน้อย
“ยังไม่จบนะคะครู หนูยังได้คำแนะนำไม่พอ!” ฟางหยวนจมูกช้ำหน้าบวมสั่นไปทั้งร่าง เธอยับเยินเสียกว่าเซี่ยวอี๋อีกสามเท่า
ถึงฟางหยวนจะเริ่มเรียนมวยไทยั้แ่สิบขวบ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจเทียบชั้นเซี่ยวอี๋ซึ่งมีคู่ซ้อมเป็พ่อและพี่ชายมาั้แ่เด็กได้
“ประลองฝีมือกันสนุกมาก จนครูลืมออมแรงไปเลย ครูนี่ไม่ไหวเลยนะ ไม่รู้จักอ่อนข้อให้แม่สาวน้อยอย่างเธอ” เซี่ยวอี๋ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “เอาอย่างนี้ดีไหม เราถอยกันคนละก้าว พอเท่านี้ก่อน”
บรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างก็ตื่นกลัวจนพากันส่งเสียงโอ้วอ้าวออกมา ใครจะคิดล่ะว่าการประลองจะรุนแรงถึงขั้นเอาเป็เอาตาย
“ครูต้องขอโทษแม่ของหนูก่อน!” ฟางหยวนแหกปากร้องพร้อมกับเตรียมพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง แต่เนื่องจากน่องขวาถูกเซี่ยวอี๋เตะไป 3 หนติด ความเร็วในการจู่โจมจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอบังคับครูเองนะ หรือถ้าเธอนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่า?” เซี่ยวอี๋ยืนหันข้าง เท้าขวาด้านหลังเตรียมเรียกพลัง เรียวขา 105 เิเ พร้อมยิงเหมือนกับะุปืนใหญ่
แต่ในขณะนั้นเอง สัญญาณดับเพลิงก็ดังขึ้น ฝนเทียมเทสาดลงมา นักเรียนทั้งชั้นกรีดร้องและพากันวิ่งหนีไปยังทางออกฉุกเฉิน ฟางหยวนถูกฝูงชนผลักไปจนกระทั่งถึงทางออก ถึงกระนั้น เด็กสาวก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมาะโด้วยมุมปากที่เปื้อนเืว่า “ครูติดค้างคำขอโทษแม่ของหนูอยู่นะ! แล้วหนูจะมาทวง!”
“เด็กสมัยนี้ สงสัยจะหมดทางเยียวยาซะแล้ว” เซี่ยวอี๋ยืนอยู่ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำ เธอไม่ได้กังวลต่ออัคคีภัยเลย เธอหมุนตัวเดินออกไปยังประตูหลังของโรงยิม
และนั่นเสิ่นิ เ้าตัวการยืนอยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่ด้านประตูหลัง สีหน้าไร้เดียงสายิ้มโดยที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
“เช็ดหน่อยสิ เปียกหมดแล้ว แอร์ในโรงเรียนเย็นมาก ระวังจะเป็หวัด” เสิ่นิยื่นผ้าขนหนูมาให้
“อยู่กับนายนี่ซวยตลอด ถ้าไม่เปียกโชก ก็ต้องวิ่งหน้าตั้ง ชาติที่แล้วฉันคงติดหนี้นายไว้ล่ะมั้ง?” เซี่ยวอี๋สบถ เสื้อขาวรัดรูปและกางเกงขาสั้นเปียกเสียจนทะลุเห็นชุดชั้นใน
“โทษผมไม่ได้นะ คุณเล่นใหญ่เกินไป อย่าลืมสิว่าเราเป็บอดี้การ์ดนะ ไม่ใช่มือสังหาร” เสิ่นิเตือนสติ
“นายไม่เห็นหรือว่าแม่นั่นใช้ท่าอะไร ทั้งศอกสับใบหน้า ทั้งตีเข่าที่เป้า แต่ละท่ากะจะฆ่าหรือทำหมันกันเลยนะ ดุขนาดนี้ มีไฟอยู่แน่! แต่ก็ต้องยอมรับนะ ทักษะการต่อสู้ของเธอไม่เลวเลย ถ้าสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ คงได้คะแนนเต็มในด้านการต่อสู้ระยะประชิด นักเลงไม่กี่คน ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก” เซี่ยวอี๋เช็ดศีรษะด้วยผ้าขนหนู ส่วนล่างยังคงเหนอะหนะ ไม่ค่อยสบายตัวนัก
“ยิ่งเธอเป็แบบนี้ เธอก็ยิ่งอันตราย เช่นเดียวกับคนจมน้ำตาย ส่วนใหญ่จะเป็คนที่ว่ายน้ำเป็ เธอแข็งแกร่งอยู่บ้าง จึงทำให้ความตื่นตัวต่อภัยอันตรายของเธอลดลง คุณทำได้ดีมาก ไปอาบน้ำเถอะ” เสิ่นิพูดจบก็หมุนตัวจากไป แต่จู่ๆ เขาก็หันกลับมาพูดว่า “จริงสิ คราวหน้าอย่าใส่กางเกงในลายลูกไม้อีกนะ ผมพูดจริง พอเปียกแล้วเห็นหมดเลย”
“ไอ้ลามก!” เซี่ยวอี๋ก้มลงมองส่วนล่างอย่างแตกตื่น มันดูโป๊จริงๆ เธอจึงรีบเอาผ้าขนหนูห่อท่อนล่างไว้
ค่ำคืนอันเงียบสงบ พอฟางหยวนทำแผลที่โรงพยาบาลของโรงเรียนเสร็จ เมื่อได้ยินเสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น เธอก็ติดเครื่องยนต์ EBR ขึ้นก่อนจะบิดมันออกจากประตูไป
ฟางหยวนออกจากบ้านมาอยู่คนเดียวั้แ่เมื่อสองปีก่อน เธอซื้ออะพาร์ตเมนต์หนึ่งห้องนอนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก นอกจากเงินที่โอนเข้ามาในบัญชีทุกเดือนแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อของเธอ ฟางซื่อเฉวียน นั้นนับว่าเท่ากับศูนย์
ฟางหยวนชินกับการใช้ชีวิตตัวคนเดียว เธอขี่รถเข้าไปยังชั้นล่างของอะพาร์ตเมนต์ตามปกติ ในขณะที่กำลังจะดับเครื่องยนต์ จู่ๆ ก็มีรถเก๋งฮอนด้าขับถอยหลังมา ล้อหลังของมอเตอร์ไซค์ของฟางหยวนโดนกันชนของรถเก๋งฮอนด้าปะทะเข้า คุณภาพรถตามราคาที่ซื้อ กันชนของรถเก๋งหลุดออกมา ในขณะที่ยางของมอเตอร์ไซค์ของฟางหยวนนั้นเป็รอยแค่นิดหน่อย
ประตูทั้งสี่บานของรถฮอนด้าเปิดออกพร้อมๆ กัน ทันใดนั้น นักเลงที่สวมสร้อยทองพร้อมเสื้อลายดอกทั้ง 5 คนก็พากันออกมา
“เวรเอ๊ย พี่ใหญ่ รถพี่ถูกชนแล้ว!” น้องชายคนหนึ่งชะเง้อดูกันชนที่หลุดออกมาพร้อมทั้งะโโวยวายเสียจนเกินจริง
“น้องสาวช่างใจกล้า พี่ใหญ่ของเราเพิ่งจะถอยรถออกมาใหม่ จ่ายไปตั้ง 4 แสนกว่า มาโดนเธอชนแบบนี้ เธอบอกมาซิว่าจะชดใช้ยังไง?” น้องชายอีกคนช่วยพูด “ไม่เอาน่า พวกแกอย่าทำน้องเขาใสิ ให้พี่ลองดูก่อน” จิ๋กโก๋อายุอย่างมากก็น่าจะ 24 หรือ 25 ปีเดินไปที่หลังรถ เขาเหลือบดูกันชนก่อนจะแสยะยิ้ม “ที่จริงแล้วชนเบามาก น้องสาว พี่ไม่อยากสร้างความลำบากให้น้อง ไม่ต้องห่วงเื่ค่าะเืใจ ค่ารักษาพยาบาล น้องแค่จ่ายค่าซ่อมรถมาก็พอ พี่จะบอกตัวเลขมงคลให้นะ 8,888 หยวน ถือเสียว่าเป็ราคามิตรภาพ”
“ใช้เงินแก้ปัญหาก็ได้ ฉันไม่ได้ขี้เหนียว...” ฟางหยวนกล่าวพลางเอี้ยวตัวลงจากเบาะนั่ง เธอถอดหมวกกันน็อค ออก เผยให้เห็นสีหน้าอันเ็าและเย่อหยิ่ง ที่ขาขวายังมีผ้าพันแผลพันอยู่ ที่มุมปากก็ยังมีรอยฟกช้ำ “แต่วิธีนั้นน่ะมีไว้สำหรับมนุษย์เท่านั้น กับพวกหมาจรจัดอย่างพวกแก ฉันชอบหักขาเล่น แล้วค่อยจ่ายค่ายาให้มากกว่า”
“น้องสาวอยากมีเื่เหรอ? พี่ชายหลายคนจะคอยดูว่าน้องสาวจะหักขาหมาจรจัดอย่างพวกพี่ได้ยังไง?” พี่ใหญ่พูดเปิดทาง นักเลงที่เหลือก็พากันล้อมวง
ฟางหยวนกำหมัดแน่นเตรียมพร้อมจะลงมือ แต่จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาตัดหน้าเธอ เขาบังตัวเธอไว้ด้านหลัง มือของพ่อหนุ่มคนนี้ถือถุงพลาสติกไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ถือกระเป๋าเอกสาร เขาวิ่งเร็วเสียจนแว่นตาตกพื้น
“พี่ใหญ่ทั้งหลายหยุดก่อน น้องสาวคนนี้ไม่รู้ความ อย่าถือสาเธอเลย มีเื่อะไรคุยกับผมดีกว่า! ผมเป็ครูของเธอเอง!” เสิ่นิกลัวจนขาสั่น เขายกแขนขึ้นทั้งสองข้างเพื่อกำบังเหล่าอันธพาล แต่เขาก็ยังสะบัดก้นส่งสัญญาณให้ฟางหยวนหนีไปทางประตูอะพาร์ตเมนต์
“ครูงี่เง่า ใครใช้ให้ครูมาช่วย? เศษสวะพวกนี้มันชอบขู่กรรโชก หาเหตุผลดีๆ มาคุยกับพวกมันได้ที่ไหน?” ฟางหยวนขมวดคิ้ว
“แม่สาวน้อย เธอว่าใครเป็เศษสวะนะ? ไหนลองพูดอีกทีซิ?” หนึ่งในพวกสิบแปดมงกุฎหัวร้อนถึงขั้นควักมีดออกมา
“พูดให้มันน้อยๆ หน่อย หนีไปเร็วเข้า เดี๋ยวตรงนี้ครูจัดการเอง!” เสิ่นิผลักฟางหยวนเข้าไปในประตูอะพาร์ตเมนต์
“ครูปัญญาอ่อน อยากจะเล่นบทฮีโร่หรือไง หาเื่เองนะ หนูี้เีจะสนใจแล้ว” ฟางหยวนเดินเข้าลิฟต์ไปด้วยความโมโห ปล่อยให้เสิ่นิรับมือกับพวกนักเลงตามลำพัง
“หมาสี่ตา แกอยากเป็เหมือนเหลยเฟิง (ทหารคอมมิวนิสต์ ผู้เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่) ใช่ไหม?” พี่ใหญ่พูดพลางโยนแว่นตาสีดำซึ่งแตกยับเยินแล้วใส่เสิ่นิ “แม่สาวนั่นด่าพวกเรากี่ประโยค แกนับไว้หรือเปล่า? รวมกับค่าซ่อมรถแล้ว ทั้งหมด 18,888 หยวน ถ้าไม่มีจ่าย วันนี้แกเสร็จฉันแน่”
“ถึงนักเรียนผมจะเข้าสังคมไม่ค่อยเป็ แต่บางอย่างที่เธอพูดมันก็ถูกนะ” พอลิฟต์ปิดลง ความกลัวของเสิ่นิก็หายวับไปในทันที เขาอมยิ้มพลางสอดแว่นไว้ ในกระเป๋าเสื้อ “กับเศษสวะอย่างพวกแก ไม่ควรจะคุยกันด้วยเหตุผล”
“ห่าน! จัดการมันซะ!” พี่ใหญ่สั่งการ 4 คนที่เหลือพร้อมกรูกันเข้าไป
เมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่ 16 ซึ่งเธอพักอาศัย ฟางหยวนก็เหลียวซ้ายแลขวาและยังไม่ก้าวเข้าห้อง เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร. 110 “ฮัลโหล ฉันเป็พลเมืองดีนะคะ ที่ชั้นล่างของอะพาร์ตเมนต์xx มีกลุ่มนักเลงกำลังรุมซ้อมพลเมืองใส่แว่น น่าจะกำลังปล้นทรัพย์เขา พวกคุณรีบ...”
ฟางหยวนพูดยังไม่ทันจบดี ประตูลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้ง เสิ่นิสวมแว่นตาที่พังยับเยิน ในมือถือถุงพลาสติกสองใบก้าวออกมาจากลิฟต์
“ฮัลโหล คุณคะ คุณพอทราบไหมว่ามีคนร้ายกี่คนคะ?” ตำรวจหญิงในสายถามด้วยความกระตือรือร้น
“อ้อ ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ฉันฝันไปน่ะ ขอโทษด้วย” ฟางหยวนตัดสายทิ้ง เธอกวาดตามองสำรวจเสิ่นิรอบหนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาว่า “ทำไมครูขึ้นมาเร็วจัง แล้วไอ้พวกหมาจรจัดพวกนั้นล่ะ?”
“ครูไล่พวกมันไปแล้ว” เสิ่นิอมยิ้ม
“ครูให้เงินพวกมันเหรอ?”
“ครูมีเงินให้พวกมันที่ไหนล่ะ พวกมันก็พอจะมีอารยธรรมอยู่บ้าง เลยคุยกันด้วยเหตุผลได้ ครูอบรมพวกเขาว่าการขู่กรรโชกทรัพย์นั้นเป็การกระทำที่ผิดกฎหมาย พวกเขาก็เลยยอมรับผิดแล้วๆ กันไป” เสิ่นิพูดตัดปัญหา
“ครูล้อเล่นหรือเปล่า? นั่นมันอันธพาลนะ ครูคิดว่าตัวเองเป็พระพุทธเ้าที่กำลังเทศนาพระธรรมหรือยังไง? ช่างเถอะ ี้เีจะสนใจ ไม่เป็ไรก็ดี ไปล่ะ...” ฟางหยวนพูดจบ เธอก็เปิดประตูห้อง 1601
“บังเอิญจัง ที่แท้ครูกับฟางหยวนก็เป็เพื่อนบ้านกัน ครูซื้อกับข้าวมา ถ้าอย่างนั้นเรา...” เสิ่นิยกถุงพลาสติกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่มีความสุข
“ไม่สนค่ะ” ฟางหยวนไม่รอจนเสิ่นิพูดจบ เธอปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว เสิ่นิได้แต่กลับไปยังห้อง 1602 ของตน
เธอส่องดูคุณครูสุดเฉิ่มเบ๊อะผ่านตาแมวบนประตูจึงเห็นว่าเขาเป็เพื่อนบ้านของเธอจริงๆ ฟางหยวนรู้สึกว่าตัวเองซวยชะมัด ระบบรักษาความปลอดภัยแถวนี้นอกจากจะห่วยแล้ว ครูก็ยังกลายมาเป็เพื่อนบ้านของเธออีก จะมีเื่อะไรที่น่าปวดใจไปมากกว่านี้อีกไหม
โชคยังดีที่อีกครึ่งเดือนเธอก็จะไปอยู่ที่อื่นแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะอดทนได้นานแค่ไหน...
ฟางหยวนถอดเสื้อผ้าด้วยความเหนื่อยล้า หญิงสาวไม่ได้เปิดไฟ เธออาศัยแสงจันทร์ซึ่งลอดผ่านระเบียงเข้ามาพาเธอเดินไปยังตู้เย็น เธอกำลังจะหยิบอาหารแช่แข็งที่เตรียมไว้สำหรับมือเย็น แต่กลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอได้ทานกล่องสุดท้ายไปแล้ว
“ไม่น่านะ จำได้ว่ายังเหลืออยู่อีกกล่องนี่นา” ฟางหยวนกุมขมับด้วยความประหลาดใจ ช่วยไม่ได้ อดเอาก็แล้วกัน พอเธอมาถึงห้องน้ำและเตรียมที่จะอาบน้ำ เด็กสาวหมุนก๊อกอยู่นานแต่น้ำก็ไม่ไหลออกมาซักหยด
“บ้าจริง วันนี้มันวันเฮงซวยอะไรเนี่ย?!” ฟางหยวนหงุดหงิดแทบบ้า เธอนึกอยากเช็กปฏิทินจีนขึ้นมาว่าวันนี้เธอดวงชงหรือเปล่า
ในขณะนั้นเอง อีชางซูก็เดินออกมาจากทางหนีไฟของอะพาร์ตเมนต์ ในมือของเขามีกล่องอาหารสำเร็จรูปหนึ่งกล่องและวาล์วน้ำ
อีชางซูยิ้มเจื่อนแบบเกาหลีในขณะที่โทรหาเสิ่นิ “พี่ชาย ผมช่วยได้เท่านี้นะ ที่เหลือพี่ต้องจัดการเองแล้วล่ะ”
ขณะที่อีชางซูเดินผ่านที่จอดรถริมอะพาร์ตเมนต์ ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่ารถเก๋งฮอนด้านั้นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
“คนสมัยนี้ หน้าไม่อาย ฟ้ายังไม่ทันมืดก็จัดกันบนรถซะแล้ว” อีชางซูก้าวเดินต่อไปในขณะที่รู้สึกผิดหวังต่อโลกยุคนี้ แล้วจู่ๆ เขาก็เห็นว่าในห้องผู้โดยสารไม่มีใครสักคน แต่ตัวรถก็ยังคงโยกขึ้นโยกลงไม่หยุด
“หรือว่าจะเป็รถผีสิงที่เขาร่ำลือกัน?” อีชางซูใจเสียเมื่อได้ยินเสียงหอนดังออกมาจากหลังรถ
ชายหนุ่มเปิดกระโปรงหลังรถด้วยความระมัดระวัง เขาเห็นนักเลงจมูกเขียวหน้าบวม 5 คนนอนเบียดเสียดกันอยู่ในนั้น แลดูมือกับเท้าจะบิดเบี้ยวจนไม่เป็รูป พวกเขาแทบไม่เหลือคราบความเป็มนุษย์อยู่เลย พระเ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเสิ่นิจับพวกมันยัดเข้าไปในนั้นได้อย่างไร
“เฮ้อ หาเื่ใครไม่ว่า ดันไปหาเื่หมอนั่น พวกแกนี่ซวยจริงๆ” อีชางซูถอนหายใจพลางปิดกระโปรงรถลง ปล่อยให้พวกมันโยกเยกกันต่อไป