“ประวัติของคุณเซี่ยวจิ้งนี่ไม่ธรรมดาเลยนะครับ จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สอบผ่านภาษาอังกฤษระดับ 6 แต่จะมาเป็ครูพละเนี่ย ดูเหมือนว่าคุณสมบัติจะเกินไปหน่อยไหม?” ในสำนักงานคณบดี ชายวัยกลางคนลงพุงกำลังหรี่ตาจ้องเซี่ยวอี๋ ในมือก็ถือเรซูเม่ของเซี่ยวอี๋ไว้ “เอาอย่างนี้ไหม บังเอิญว่าผมกำลังมองหาเลขาฝ่ายบริหารอยู่พอดี คุณมา ‘ทำ’ ให้ผมนะ เงินเดือนสูงกว่าครูเยอะเลย และถ้า ‘ทำ’ ได้ดี 3 เดือนให้หลังผมจะปรับตำแหน่งให้เป็เลขาประจำตัว คุณจะได้ไม่ต้องเป็แค่ลูกจ้างชั่วคราว”
“ท่านคณบดีใจดีกับดิฉันเกินไปแล้วค่ะ” เซี่ยวอี๋พูดพลางถอดรองเท้าส้นสูงออก เธอสวมเพียงถุงน่องผ้าไหมในขณะที่ยืนอยู่บนพรม คณบดีฝ่าฝืนกฎไปตั้งหลายข้อเพื่อลูกจ้างชั่วคราว ชายชรากระหยิ่มยิ้มย่องพร้อมกับเปิดลิ้นชักออก ก่อนจะกลืนยาปลุกกำหนัดเม็ดสีฟ้าเข้าไปหนึ่งเม็ด
เซี่ยวอี๋ไม่ได้เคลื่อนกายเข้าไปใกล้โต๊ะทำงาน เธอหันกลับไปมองโต๊ะกาแฟซึ่งมีขาตั้งโต๊ะที่ทำจากไม้ และทันใดนั้น เซี่ยวอี๋ก็เตะผ่าเข้าที่โต๊ะกาแฟ กระจก้าแตกละเอียดร่วงลงสู่พรม ถ้าไม่ใช่เพราะยาที่ทานไปแล้ว คณบดีคงได้อ่อนปวกเปียก
“ดิฉันคิดว่าดิฉันเหมาะที่จะเป็ครูพละมากกว่าค่ะ งานเลขา ไม่เหมาะกับฉันสักเท่าไร” เซี่ยวอี๋สวมรองเท้าส้นสูงกลับตามเดิม คณบดีปาดเหงื่อตัวสั่นพร้อมกับคืนเรซูเม่และบัตรพนักงานให้กับเซี่ยวอี๋
ตอนนี้ถือว่าเซี่ยวอี๋เป็อาจารย์เต็มตัวแล้ว เธอก้าวออกจากสำนักคณบดี ขณะที่ด้านนอกเสิ่นิกำลังรออยู่อย่างเก้ๆ กังๆ
“สวัสดีครับ คุณเป็ครูที่มาใหม่เหมือนกันหรือ? ผมชื่อเสิ่นซาน อีกหน่อยเราคงได้ร่วมงานกัน” เสิ่นิยิ้มให้อย่างไม่มีพิษมีภัยเหมือนกับครั้งแรกที่เขาปรากฏตัว ชายหนุ่มยังยื่นมือออกมาให้เซี่ยวอี๋จับ
“ร่วมบ้าร่วมบออะไร ไม่มีคนอื่นอยู่ซะหน่อยนายจะแสดงทำไม?” สีหน้าเซี่ยวอี๋เต็มไปด้วยความดูแคลน “เข้าไปแล้วก็ระวังหน่อยล่ะ ไอ้แก่บ้ากามนั่นกินยาเข้าไปแล้ว เกิดหน้ามืดขึ้นมาจับคุณตุ๋ยไม่รู้ด้วยนะ”
“เจอกันครั้งแรกคุณก็คุยเื่น่าตื่นเต้นกับผมแบบนี้ ผมยังเป็ชายบริสุทธิ์อยู่นะ ไม่รู้จะตอบคุณอย่างไรเลย” เสิ่นิทำทีประหม่าและเขินอาย ฝีมือการแสดงน่าจะได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัล ‘ลูกไก่’ ทองคำ
“นายนี่อินกับบทจริงๆ ฉันี้เีจะสนใจนายแล้ว ตาบ๊อง” เซี่ยวอี๋รู้สึกราวกับกำลังจะเกิดฝันร้ายขึ้นอีกครั้ง
เสิ่นิทำท่าทางรักษาก้นเอาไว้ให้มั่น พร้อมกันนั้นก็อมยิ้ม ก่อนจะผลักเปิดประตูห้องคณบดี แม้ว่าพวกเขาจะนับว่าเป็พนักงานที่ถูกรับเข้าทำงานแล้ว แต่ตามกฎก็ยังต้องเข้าพบคณบดีก่อนอยู่ดี
“สวัสดีครับท่านคณบดี ผมชื่อ...”
“ออกไป!” เสียงคำรามดังลั่น และนั่นก็นับว่าเป็อันจบการสัมภาษณ์ของเสิ่นิ
ขนาดของโรงเรียนเอกชนชั้นนำดาวเหนือนั้นเทียบเท่าได้กับเมืองขนาดกลาง มันกว้างเสียจนต้องมีรถรางโดยสารภายใน
วิทยาเขตของโรงเรียนเอกชนชั้นนำดาวเหนือประกอบไปด้วยวิทยาเขตประถมศึกษา วิทยาเขตมัธยมศึกษาตอนต้น วิทยาเขตมัธยมศึกษาตอนปลาย และวิทยาเขตมหาวิทยาลัย ในสี่วิทยาเขตการศึกษานี้ วิทยาเขตที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่วิทยาเขตมหาวิทยาลัย แต่คือวิทยาเขตมัธยมศึกษาปลาย เนื่องจากภาคมัธยมปลายของโรงเรียนดาวเหนือนั้นได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก ทางโรงเรียนจะให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้มีโอกาสสอบเข้าเรียนที่สถาบันต่างประเทศ ก่อนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศจีน เพื่อที่จะได้เลี่ยงการสอบเข้าในประเทศและไปศึกษาต่อยังต่างประเทศได้เลย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีทั้งหมด 8 ห้อง มีจำนวนนักเรียน 400 คน ในทุกๆ ปี สัดส่วนของนักเรียนที่สอบเข้าศึกษาภายในประเทศมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ หลายคนคิดว่าลูกคนรวยคงไม่ได้เื่ได้ราว มาโรงเรียนก็ไม่เรียน เอาแต่หาเื่เกเร เื่ดีๆ ไม่เอา เข้าหาแต่อบายมุข แต่หลังจากที่ได้ััอย่างใกล้ชิดแล้วถึงได้พบว่า คนที่พ่อแม่มีเงิน 3 ขวบก็เริ่มหัดบวกเลข 6 ขวบก็เริ่มเรียนเปียโน ขนาดดูการ์ตูนก็ยังดูแต่ภาคภาษาอังกฤษเท่านั้น เด็กที่ไม่เคยได้ััวัยเด็กเช่นนี้ ต่อให้สมองพิการก็ยังสามารถฝึกฝนให้เป็นักวิชาการได้
ดังนั้นเกรดเฉลี่ยของดาวเหนือจึงได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศมาโดยตลอด ต่อให้ครูห่วยแตกมากแค่ไหน ก็ยากที่เกรดจะแย่ เพราะพอกลับถึงบ้าน ก็มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมาติวให้ถึงที่ ยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงขนาดจ้างครูไปทานข้าวด้วยเพื่อที่จะได้ถกประเด็นที่ยังสงสัยต่อ
เซี่ยวอี๋รับหน้าที่เป็ครูพละประจำชั้น ม.6/1 เนื่องจากชั้น ม.6 ที่นี่ไม่กดดันเื่การสอบเข้า ทุกวันจึงมีคาบเรียนพละหนึ่งคาบ ไม่งดเว้น
เสิ่นิกลายมาเป็ครูสอนฟิสิกส์ชั้น ม.6/1 เื่นี้ทำให้เซี่ยวอี๋เป็ห่วง เพราะที่เสิ่นิบอกจี้เฉินว่าเขาจบมาจากอาชีวะซานตงนั้นเหลวไหลสิ้นดี สิบปีที่ผ่านมา เขาแทบจะอยู่แต่ในสมรภูมิรบ เรียนรู้แต่วิธีฆ่าคน ตำแหน่งครูฟิสิกส์ ม.6 หมอนั่นจะเป็ได้จริงๆ หรือ?
ฟางหยวน เป้าหมายที่พวกเขาต้องให้การคุ้มครองเป็นักเรียนในห้อง ม. 6/1 พอดี และสาวน้อยคนนี้ก็ยังเป็หัวหน้าห้อง กรรมการนักเรียน และตัวแทนนักเรียนทั้งหกระดับชั้นในการชำระความสมาชิก ใช่ว่าฟางหยวนจะชอบช่วยเหลือคน เธอไม่ชอบคุยกับใคร ในห้องก็ไม่มีเพื่อน ทุกครั้งเวลาที่เลือกตั้งตัวแทน เธอก็มักจะหลับ เด็กคนอื่นๆ ไม่อยากจะปวดหัวกับธุระที่ไม่ใช่เื่เขา จึงได้รวมหัวกันเลือกเธอ นี่นับเป็การกลั่นแกล้งในสถานศึกษาหรือไม่?
8 โมงครึ่ง เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น เสิ่นิเดินเข้าไปในชั้นเรียน ม.6 พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ทั้ง 50 คนในชั้น 49 คนยังคงวุ่นวายอยู่กับธุระของตน มีเพียงฟางหยวนเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง พวกนักเรียนบ้างเขียนอายไลเนอร์ บ้างเดาะลูกบาส บ้างก็ซุบซิบนินทา จับกลุ่มสามคน ห้าคนหัวเราะพูดคุยกัน เสียงกริ่งเป็เพียงแค่เสียงผายลม พวกเขาไม่ได้แคร์กันเลยสักนิด
เสิ่นิก้าวขึ้นไปบนโพเดียมด้วยความเคอะเขิน เขาวางตำราไว้บนโต๊ะ ก่อนจะกางแขนทั้งสองออกและกล่าวทักทายทุกคน “นักเรียนทุกคน ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว กรุณานั่งประจำที่ด้วยครับ คลาสกำลังจะเริ่มแล้ว”
ไม่มีใครสนใจเขา จนเสิ่นิต้องตะเบ็งเสียงและกล่าวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ มีลูกบาสลูกหนึ่งเด้งจากกำแพงห้อง พุ่งโค้งเข้ามาชนศีรษะของเสิ่นิ เสิ่นิถูกกระแทกจนล้มลงกับพื้น แว่นตากระเด็นหลุด
“ยิงได้สวย! เอาไปเลยสามแต้ม!” เด็กผู้ชายหลายคนโห่ร้อง เด็กชายคนที่ยิงลูกบาสนั้นท่าทางหล่อเหลาเหมือน รุคาว่า คาเอเดะ (ตัวเอกในการ์ตูนเื่ Slam Dunk) แต่กลับมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับอาคางิ ทาเคโนริ (กัปตันทีมบาสเกตบอลในเื่ Slam Dunk)
เ้าเด็กนั่นชื่อฮั่วกัง เป็กัปตันทีมบาสเกตบอลของโรงเรียน ไม่รู้ว่าตอนเด็กๆ เขาทานโปรไบโอติกเข้าไปเท่าไร พ่อแม่ซึ่งมีส่วนสูงไม่เกิน 160 เิเ แต่เขาผู้ซึ่งเพิ่งจะอายุ 18 ปี กลับสูงเกือบถึง 2 เมตร เขาชอบเล่นบาสเกตบอลและเพาะกาย กล้ามของเขาเหมือนกับสัตว์ประหลาด ฮั่วกังเป็หัวโจกของห้อง ม. 6/1 เขามักจะถูกรายล้อมไปด้วยพวกประจบสอพลอ “นักเรียกทุกคน ขณะเข้าเรียนไม่อนุญาตให้เล่นบอลนะ” เสิ่นิลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม หัวของเขากระเซอะกระเซิงในขณะที่หยิบแว่นเปื้อนฝุ่นขึ้นมาเช็ดอยู่หลายหน
“ขอโทษครับครู แต่ทรงผมของครูเหมือนกับห่วงบาสเกตบอลเลย” ฮั่วกังเล่นมุกโดยแสร้งทำเป็ขอโทษ
“ไม่เป็ไร คราวหน้าก็ระวังหน่อยล่ะ” เสิ่นิยิ้มให้พลางโยนลูกบาสกลับไปด้วยมือเดียว ในระยะ 8 เมตร ลูกบาสพุ่งตรงไปหาฮั่วกัง เด็กน้อยผู้ตื่นตระหนกรีบรับลูกบาสอย่างลนลาน ร่างก็ยังถูกกระแทกจนต้องทรุดนั่งลงไปกับเก้าอี้
ลูกทรงกลมซึ่งลอยฉิวผ่านไปทำให้บรรดาเหล่านักเรียนซึ่งกำลังคุยเล่นพากันตกตะลึง ทั้งห้องเงียบกริบ แม้จะเป็วิธีการที่ไม่ค่อยถูกต้อง แต่ก็สามารถทำให้นักเรียนทั้งชั้นกลับไปยังที่นั่งประจำของตนได้
“สวัสดีทุกคน เนื่องจากครูฟิสิกส์คนเก่าของพวกเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดนรถบรรทุกชน แล้วถูกรถตู้ชนต่อ จากนั้นก็ถูกรถแทรกเตอร์แล่นมาทับ ดังนั้นครูจึงมารับหน้าที่เป็ครูคนใหม่ของพวกเธอ...” เสิ่นิพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ทุกคนกลับรู้สึกได้ว่าครูคนเก่าน่าจะกลายเป็ซอสมะเขือเทศไปแล้ว
“ครูชื่อเสิ่นซาน หวังว่าต่อไปเราทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเข้ากันได้เป็อย่างดี” เมื่อเสิ่นิแนะนำตัวเสร็จ สายตาของผู้ฟังต่างก็เต็มไปด้วยความดูิ่
“ดี งั้นเรามาเช็กชื่อกัน” เสิ่นิพลิกดูบัญชีรายชื่อ “ฟางหยวน”
ไม่มีใครตอบ ที่นั่งแถวสุดท้ายริมหน้าต่าง ตำแหน่งนั้นน่าจะเป็ที่นั่งของฟางหยวน
“เฮ้ เ้าสี่ตา 9 ใน 10 วัน ฟางหยวนเธอมาสายตลอด ส่วนหนึ่งวันที่เหลือนั่น เธอก็ขาดเรียน ข้ามไปชื่อถัดไปเถอะ” ฮั่วกังะโพร้อมกับพาดขาทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ
“นักเรียน ครูไม่ได้ชื่อเ้าสี่ตา เธอจะเรียกครูว่าคุณครูเสิ่น หรือว่าครูเสิ่นซานก็ได้ คราวหน้าอย่าเรียกผิดอีกล่ะ” เสิ่นิอมยิ้มพร้อมกล่าวตักเตือน
และขณะนั้นเอง เสียงคำรามของมอเตอร์ไซด์คันโตก็ดังขึ้นมาจากนอกอาคาร นักเรียนหลายคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างต่างก็พากันอุดหูด้วยความรำคาญ เสิ่นิเดินไปที่หน้าต่างและเปิดออก เขาเห็นว่าภายใต้อาคารเรียน มีมอเตอร์ไซด์ EBR1190 สีดำจอดอยู่ข้างแปลงดอกไม้
เด็กสาวที่สวมชุดนักเรียนกระโปรงสั้นและกางเกงเลคกิ้งยาวถึงเข่าเหวี่ยงขาลงกับพื้น ในขณะที่ถอดหมวกนิรภัยออก เธอััได้ถึงลมเย็นซึ่งพัดผ่านมาปะทะกับใบหน้า
ฟางหยวนเหมือนเป็คนยิ้มไม่เป็ ไม่ว่าจะในรูปถ่ายหรือตัวจริง ก็ไม่ปรากฏร่องรอยของความยิ้มแย้ม ขณะที่เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบรุดมาตรงหน้า ฟางหยวนจอดรถไม่เป็ที่ สาวน้อยก็ไม่พูดไม่จา พร้อมควักธนบัตรออกมาปึกหนึ่ง ก่อนจะยัดมันใส่ปากหมอนั่น แล้วเดินถือกระเป๋าหนังสือมุ่งหน้าไปยังอาคารเรียน
รปภ.ไม่โกรธ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในขณะที่นับทิป ไม่น่าจะต้องเขียนใบสั่ง เงินตั้ง 800 หยวน
เขาไม่เพียงแต่จะไม่สนใจว่ามอเตอร์ไซค์นั้นจะจอดไม่ถูกระเบียบ แต่ยังเช็ดถูรถด้วยความเอาใจใส่ เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ปฏิบัติต่อฟางหยวนราวกับว่าเธอเป็ตู้เอทีเอ็ม พวกเขาผลัดเปลี่ยนหน้ากันมากดเงินสดทุกวัน
เด็กสาวไม่เคาะประตู ฟางหยวนเตะประตูหลังของห้องเรียนและเดินตรงไปยังที่นั่งของตน พอวางกระเป๋าลง เธอก็หยิบหมอนออกมาจากลิ้นชัก ก่อนจะฟุบหน้านอนลงกับโต๊ะ
“งานยากอีกแล้วแน่ๆ ...” เสิ่นิถอนหายใจพร้อมกับบ่นพึมพำกับตัวเอง ในฐานะครูผู้ซึ่งตั้งใจอบรมบ่มวิชา “เอาล่ะ หลังจากทบทวนความรู้เื่แรงโน้มถ่วงกันไปแล้ว ต่อไปครูจะเริ่มถามคำถาม
“สมมติว่าหน่วยรบพิเศษ A ใช้ปืนไรเฟิลระยะไกล M200 ซุ่มยิงผู้ก่อการร้ายซึ่งอยู่ห่างออกไป 2,000 เมตร ใช้ะุ .408 ค่าเบี่ยงเบนของะุในระยะ 2,000 เมตรคือ 1MOA ซึ่ง MOA ก็คือหน่วยความแม่นยำในการยิง เรียกเต็มๆ ว่า ‘Minute of Angle’ แปลเป็ไทยง่ายๆ ก็คือลิปดา ซึ่งเท่ากับ 1/60 ส่วนของ 1/360 องศา
ไม่สนใจความเร็วลม ไม่สนใจความชื้นสัมพัทธ์ โลกหมุนไปตามวิถีของมือปืน พิจารณาเพียงเหตุภายใต้แรงโน้มถ่วง คำถาม เพื่อที่จะเป่าสมองผู้ก่อการร้าย ทหารหน่วยรบพิเศษ A จะต้องปรับกระบอกปืนขึ้นกี่เิเ?”
นักเรียนกลุ่มหนึ่งนั่งฟังจนเป็บ้าใบ้ ถึงแม้คำถามเทพๆ จะผุดขึ้นมาในประเทศไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นคำถามเื่ก๊อกปล่อยน้ำขยะสมองพวกนั้น แต่ก็ไม่มีคำถามใดเหมือนกับคำถามที่เสิ่นิว่ามา ถึงขนาดใช้คำว่าเป่าสมอง
“เฮ้ย คิดว่าเล่นเกม Crossfire อยู่หรือไง?” เด็กชายโพล่งออกมา
“Crossfire มีปรับวิถีะุที่ไหนล่ะ?!” เด็กชายอีกคนตบบ่าพรรคพวก
“ยากไปเหรอ? คำถามนี้ง่ายแล้วนะ” เสิ่นิเท้าคาง ในห้องเรียนโครงการนิรวาน เขาต้องตอบคำถามในขณะที่ประกอบปืนไปด้วย เขาต้องพิจารณาถึงค่าพารามิเตอร์ต่างๆ หากตอบผิดก็จะโดนกระบองไฟฟ้าช็อตจนแทบเต้นระบำ ไม่มีหรอกที่จะง่ายแบบนี้
เสิ่นิมองไปยังฟางหยวนซึ่งอยู่ท้ายห้อง “ถ้าอย่างนั้น ขอให้นักเรียนฟางหยวนลุกขึ้นตอบคำถามข้อนี้ก็แล้วกัน”
ฟางหยวนซึ่งฟุบอยู่กับโต๊ะไม่เงยหน้าขึ้น เธอทำแค่เพียงชูนิ้วกลางไปทางโพเดียม
“นักเรียนฟางหยวนฉลาดมาก ต้องปรับขึ้น 1 เิเ พอเหมาะพอดี”
นักเรียนทั้งห้องฟังจนหัวหมุน นี่มันการเรียนการสอบแบบไหนกัน?