ขณะที่หมดสติไป โล้นซ่าฝันร้ายได้สยดสยองที่สุดในชีวิต ระหว่างที่เขากำลังเล่นจ้ำจี้อยู่นั้น เขาถูกดูดเข้าไปในหนังะเืขวัญเื่ ‘ซอว์’ ปราศจากอาวุธ ไม่มีลูกน้อง ไร้ซึ่งภารกิจ มีเพียงเ้าหุ่นไม้ตัวน้อยซึ่งกำลังขี่รถสามล้อปีนขึ้นมาบนเข่าของเขา หุ่นไม้ขยับปากกว้างของมันก่อนจะงับศีรษะเขา พร้อมกับกลายร่างเป็ซอมบี้ในเกม Plants vs. Zombies แทะเล็มสมองเขาอยู่
ฝันน่ะปลอม แต่ความเ็ปที่ถูกกระตุ้นขึ้นนั้นเป็เื่จริง! โล้นซ่าฟื้นคืนสติจากความเ็ป เืสีแดงสดไหลผ่านม่านขนตาหยดลงบนกางเกง เสิ่นิผู้สวมหน้ากากเ้าตัวอัปลักษณ์ปีนขึ้นมาบนตัวเขา ในมือถือปืนที่ใช้สักและควงมันเล่น
“แกทำอะไรน่ะ” โล้นซ่าฝืนความเจ็บแล้วถามขึ้น
“อย่าขยับ เกือบเสร็จแล้ว ฉันกำลังสักคำว่า ‘ขันที’ ไว้บนหน้าผากของแกน่ะ มันสวยใช้ได้เลยทีเดียว” เสิ่นิจงใจออกแรงให้หนักขึ้น โล้นซ่าเจ็บจนกระทั่งร้องออกมาดังลั่น
“แกฆ่าฉันเถอะ! อย่าแกล้งกันแบบนี้เลย! ฉันไม่ใช่ขันที! แกสักแบบนี้แล้วฉันจะมีหน้าออกไปไหนได้ยังไง?!” โล้นซ่าส่งเสียงครวญคราง
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะทำให้คำคำนี้เป็จริงเอง” ในที่สุดเสิ่นิก็สักคำว่า “ขันที” เสร็จ เขาทิ้งปืนสักลงก่อนจะปลดกางเกงของเ้าโล้นซ่า ไม่ว่าพ่อนักเลงจะดิ้น จะแหกปากร้องบอกว่าไม่เอา แต่ร่างกายนั้นกลับแน่นิ่ง
เมื่อเห็นฉากนั้น เซี่ยวอี๋ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็พลอยหลับตาที่โผล่พ้นออกมาข้างเดียวไปด้วย
“แกจะเอาฉันให้ตายถึงจะพอใจใช่ไหม ให้ฉันตายอย่างสงบเถอะ ฉันจะขอบคุณบรรพบุรุษแกแปดชั่วโคตรเลย” โล้นซ่าร้องเสียจนกลายเป็คนเ้าน้ำตา ไข่ย้อยลอดลงมาตรงรูโบ๋กลางเก้าอี้
“เคยดูหนังเื่ ‘007’ ไหม?” ในขณะที่เสิ่นิถาม เขาก็หยิบเชือกป่านขึ้นมาและผูกปลายด้านหนึ่งไว้กับถุงทราย
“แกหมายถึงภาคไหนล่ะ”
“ ‘007 Casino Royale’ ภาคแรกของ 007 คนใหม่ มีฉากหนึ่งที่พระเอกถูกมัดไว้ ในเื่ก็ใช้เชือกผูกแบบนี้แหละ ความจริงมันก็ไม่สมจริงสักเท่าไรหรอก ถูกทรมานซะขนาดนั้น หลังจากนั้นเจมส์ บอนด์ก็ยังไปขึ้นเตียงกับผู้หญิงได้อีก โคตรปลอมเลย
เพราะถ้าพูดถึงแรงตกกระทบ ไข่ของเจมส์ บอนด์ก็น่าจะแตกกระจุยไปั้แ่ตอนนั้นแล้ว ผมว่าตอนนี้เรามาพิสูจน์เื่นี้กันดูสักตั้งดีกว่า” เสิ่นิยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าโล้นซ่า ในมือเริ่มเหวี่ยงเชือกป่านจนเกิดเสียงลมดังหวีดหวิว
“เอาล่ะนะ หนึ่ง สอง...”
“ฉันพูดแล้ว! ฉันพูดแล้ว! ไอ้บ้าเอ๊ย! อย่าเอาไอ้นั่นมาใกล้ไข่ฉัน!” โล้นซ่าในสภาพที่ยับเยินไปทั้งร่าง ตรรกะสุดท้ายในสมองถูกความกลัวดูดกลืนไปหมด
เขายืนหยัดภายใต้การทรมานของเสิ่นิมาได้ทั้งสิ้น 27 นาที นับว่าอึดไม่เบา คนทั่วไปแค่ 10 นาทีก็ไปต่อไม่ไหวแล้ว แม้แต่ทหารผู้ที่ได้รับการฝึกให้อึดให้อดทนต่อการทรมาน ระยะเวลาที่สามารถฝืนทนได้ก็อยู่ที่ราวๆ 40 นาทีเท่านั้น
สมแล้วที่โล้นซ่าได้ชื่อว่าเป็ขาโจ๋เบอร์ 2 เขารู้อะไรต่อมิอะไรมาก พูดมาชั่วโมงกว่าแล้วก็ยังไม่จบ ดูเหมือนว่านอกจากคู่ขาของตงชวนแล้ว เื่เลวทรามต่างๆ ของซินเหลียนเซิ่งก็หลุดออกมาจนหมด รวมทั้งคดีที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานความมั่นคงสาธารณะตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้ด้วย มีการให้เ้าหน้าที่ตำรวจร่วมร้อยนายเข้าร่วมสืบสวนแต่ก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้ แน่นอนว่ารวมถึงสายลับตำรวจ 2 นายที่ต้องสละชีพเพื่อสืบความลับเหล่านี้
แต่เสิ่นิกลับใช้เวลาเพียงแค่ยี่สิบกว่านาทีในการสืบข้อมูลอาชญากรรมอันล้ำค่าเหล่านี้ ด้วยวิธีการอันทรงประสิทธิภาพ เซี่ยวอี๋ละอายใจไม่น้อย อย่างไรเสีย เธอก็จบจากโรงเรียนตำรวจมา โรงเรียนไม่มีทางสอนทักษะที่เสิ่นิใช้ในอยู่ตอนนี้แน่
“่นี้ทำธุรกิจใหญ่อะไร?” เสิ่นิลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าโล้นซ่า
“เวียดนามจะส่งยาล็อตหนึ่งมาทางทะเล” โล้นซ่าลดศีรษะลง ช่างเหมือน SIRI เสียจริง ถามคำตอบคำ
“มีดีลอะไรเด็ดๆ อีกไหม?”
“เชวียเต๋อเฉียงหาคนจากยูเครนได้กลุ่มหนึ่ง อีกสองวันจะเริ่มเข้ามา”
“ได้ข่าวว่า่นี้พวกแกไม่ถูกกับฟางซื่อเฉวียน มีแผนจะลักพาตัวลูกสาวเขาหรือเปล่า?”
“ไม่ได้ยินพี่ตงชวนพูดถึงเื่ลักพาตัว เราไม่คิดที่จะเรียกค่าไถ่ด้วยซ้ำ แค่กะว่าจะฆ่าเด็กสาวนั่นเลย
ฟางซื่อเฉวียนหลอกฮุบบริษัทเราไป เราจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับถนนสายบาร์ ไม่ว่าจะค้ายา บ่อน หรือค้าประเวณี ซินเหลียนเซิ่งสร้างธุรกิจเหล่านี้ขึ้นมาจากถนนสายบาร์ทั้งสิ้น
มันทำลายหนทางทำมาหากินของซินเหลียนเซิ่ง เราก็จะทำให้มันได้สูญเสียอะไรไปบ้าง นี่เป็คำพูดของพี่ตงชวน”
“ฟางซื่อเฉวียนเป็บุคคลมีชื่อเสียง มีบอดี้การ์ดอยู่รอบกายหลายคน พวกแกคิดจะฆ่าลูกสาวเขายังไง?” เสิ่นิถามต่อ
“พี่ตงชวนเตรียมการไว้ั้แ่เนิ่นๆ แล้ว เราซื้อตัวคนใกล้ชิดฟางหยวนไว้เป็สายให้ รอแค่ถึงเวลาลงมือ ทุกอย่างก็เรียบร้อย”
“สายคนนั้นเป็ใคร?” เซี่ยวอี๋อดไม่ได้ที่จะไล่บี้
“ไม่รู้ คนคนนั้นติดต่อไปที่พี่ตงชวนโดยตรง”
“แล้วจะลงมือเมื่อไร?”
“ไม่รู้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับพี่ตงชวน เราเป็แค่ลูกน้อง แค่ทำตามคำสั่งก็พอ”
“ที่จริงแกก็ไม่เลวนะ ตอบคำถามได้ดีมาก” เสิ่นิลุกขึ้นยืน ก่อนจะตบไหล่โล้นซ่า “ถ้าอย่างนั้นก็มาถึงคำถามสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีรถขุดเจาะที่ไหนแข็งแกร่งที่สุด?”
“หมายความว่ายังไง? พี่ใหญ่ อย่าล้อฉันเล่นได้หรือเปล่า? ที่ฉันรู้ ฉันก็บอกพี่ไปหมดแล้ว” จู่ๆ เ้าโล้นซ่าก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีก
“จะถามอีกรอบ เทคโนโลยีรถขุดเจาะที่ไหนแข็งแกร่งที่สุด?” เสิ่นิเริ่มออกแรงที่มือ ภายใต้สารกระตุ้นความรู้สึก ทำให้พ่อนักเลงโตรู้สึกว่านิ้วของเสิ่นินั้นทะลุเข้ามาถึงกระดูก
“พูดแล้ว! พูดแล้ว! จ้าวหลานเสียง มณฑลซานตง ประเทศจีน!!!” เสียงของโล้นซ่าโหวกเหวกโวยวายจนแทบจะะโออกมา
“ดีมาก แกตอบถูก ตอนนี้ แกหาวิธีหนีเอาเองแล้วกัน” เสิ่นิหัวเราะพลางโยนกุญแจให้ห่างจากหน้าของโล้นซ่าไป 1 เมตร จากนั้นก็ควงแม่พยาบาลสาวขายาวหายวับไปในความมืด
ระหว่างทางกลับบ้าน เซี่ยวอี๋ได้เปลี่ยนมาเป็คนขับ เธอผู้หวังดีคิดๆ แล้วก็ไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถามขึ้นมา “ทำไมถึงปล่อยโล้นซ่าไปล่ะ? ตอนนี้เขาสามารถเป็พยานให้ทางตำรวจได้โดยสมบูรณ์ ซินเหลียนเซิ่งอาจถูกถอนรากถอนโคนเลยก็ได้”
“ผมเป็บอดี้การ์ด ไม่ใช่ตำรวจ ถ้าโล้นซ่าถูกตำรวจจับกุม ตงชวนก็จะไม่ดำเนินการตามแผนเดิม และนั่นอาจจะทำให้นายจ้างของเราเป็อันตรายยิ่งขึ้น ข่าวกรองที่ผมลำบากลำบนสืบมาก็ไร้ความหมาย” เสิ่นหมินเอนหลังพิงเบาะ พร้อมกล่าวอย่างสบายใจ
“คุณปล่อยเขาไปแบบนี้ ไม่กลัวเขาไปฟ้องตงชวนเหรอ?” เซี่ยวอี๋ไม่ชอบด้านมืดของเสิ่นิ
“มันจะกล้าเรอะ? ทรยศตงชวนแล้วยังมีชีวิตรอดกลับไป หรือมันอยากจะโดนคนจับเล่นเกมปาไข่อีกรอบ? พวกนักเลงน่ะฉลาดเป็กรด เพราะพวกมันอยู่ในวัฏจักร ‘ผู้แข็งแกร่งย่อมขย้ำผู้อ่อนแอ’ พวกไม่มีสมอง ยากที่จะอยู่รอด” ข้อนี้เสิ่นิมองโล้นซ่าในแง่ดี จากการที่มันไม่ได้ภักดีจนตัวตาย ก็นับว่ามันเป็นักเลงที่ยังพอมีสมองอยู่บ้าง
“ถ้างั้นอย่างน้อยก็น่าจะแจ้งให้ฟางซื่อเฉวียนทราบ ถึงสถานการณ์ของลูกสาวเขาหน่อยดีกว่า?” เืตำรวจภายในกายของเซี่ยวอี๋ยังไม่จืดจางไป เธอเพิ่งจะได้รู้ถึงแผนการฆาตกรรม จึงคิดทำอะไรตรงไปตรงมา
“บอกแล้วทำอะไรได้? ให้ฟางซื่อเฉวียนส่งลูกสาวหนีไปก่อนเรอะ? หรือจะให้ลูกสาวได้รับความคุ้มครองจากตำรวจ? ไม่ว่าทางไหนก็รังแต่จะทำให้เราตกงาน อย่าลืมสิว่าเงินมัดจำ 2 แสนนั่น คุณก็ช่วยผมผลาญด้วยเหมือนกัน ถ้าชวดงานนี้ขึ้นมา คุณจะให้ผมหาเงินจากไหนมาคืนเขา? ขายตุ๋ยน่ะเหรอ?” เสิ่นิพูดเสียจนเซี่ยวอี๋เถียงไม่ออก
“นายมันชั่ว ในสมองมีแต่เื่งานกับเงิน นายเห็นว่าชีวิตคนไร้ค่าเหมือนกับกระดาษชำระอย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยวอี๋หัวเสีย
“ชีวิตคนช่างไร้ค่า มีแต่รอดชีวิตได้เท่านั้นแหละที่มีค่า วางใจเถอะ ในเมื่อฟางซื่อเฉวียนจ้างผมมาเป็บอดี้การ์ดลูกสาวของเขาแล้ว ภายใต้การคุ้มครองของผม อย่าว่าแต่พวกมีอิทธิพลเลย ต่อให้เป็ผู้ก่อการร้าย ก็อย่าหวังว่าจะทำร้ายหล่อนได้ ชื่อเสียงของบริษัทรักษาความปลอดภัยตระกูลเสิ่นใช่ว่าจะลูบคมกันได้ง่ายๆ” เสิ่นิยิ้มมุมปากฉายแววเ้าเล่ห์ ราวกับจะประกาศศักดาต่อซินเหลียนเซิ่ง
วันรุ่งขึ้น งานรักษาความปลอดภัยก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็ทางการ การซุ่มคุ้มครองคล้ายกับโหมดคุ้มครองแบบมนุษย์ล่องหน เพื่อให้ผู้ถูกคุ้มครองไม่รู้สึกกดดันจากสภาพแวดล้อมที่เหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่ออันตรายมาถึงก็สามารถปกป้องได้ทันท่วงที
ลักษณะนี้เป็การคุ้มภัยที่ยากกว่าการเป็บอดี้การ์ดส่วนตัว เพราะไม่สามารถแสดงตัวตนให้ประจักษ์ได้ ดังนั้นจึงง่ายต่อการเกิดช่องโหว่ซึ่งอาจนำพาให้เกิดความผิดพลาด บอดี้การ์ดยังจำต้องรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมต่อผู้รับการคุ้มครอง และนั่นเป็สิ่งจำเป็ที่บอดี้การ์ดจะต้องมีทักษะด้านปฏิสัมพันธ์ที่ดี อย่างน้อยก็ไม่ควรทำตัวให้ผู้ถูกคุ้มครองเกลียดขี้หน้า
โรงเรียนเอกชนชั้นนำดาวเหนือซึ่งฟางหยวนศึกษาอยู่ เป็สถาบันการศึกษาเพียงไม่กี่แห่งในประเทศที่นำเสนอการเรียนการสอนให้แก่บุตรธิดาชนชั้นสูง มีสภาพแวดล้อมการศึกษาั้แ่ระดับชั้นประถมศึกษาไปจนถึงมหาวิทยาลัย คะแนนสอบไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญในการคัดเลือกเข้าเรียน ผู้ปกครองแค่ต้องแสดงหลักฐานทางทรัพย์สินมูลค่าไม่ต่ำกว่าสิบล้านหยวนขึ้นไป
มิใช่ว่าโรงเรียนเอกชนชั้นนำดาวเหนือจะรังเกียจคนยากคนจน เพียงแต่ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายจิปาถะของที่นี่นั้นสูงะเิ ผู้ปกครองในระดับนี้เท่านั้นถึงจะจ่ายไหว
เนื่องด้วยภูมิทัศน์ของเมืองหลินไห่ ด้านหลังอิงูเา ด้านหน้าทะเล ชาวจีนถือว่าเป็ภูมิศาสตร์แบบนี้จะนำพาความรุ่งเรืองมาให้ ดังนั้นเหล่าครอบครัวผู้มั่งคั่งจึงนิยมส่งบุตรธิดามาศึกษา ณ โรงเรียนแห่งนี้ ช่างเสมือนกับการมาพักตากอากาศ
ฟางซื่อเฉวียนในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการบริหารโรงเรียนเอกชนชั้นนำดาวเหนือ เขามีอำนาจอยู่ไม่น้อย การที่บรรจุเซี่ยวอี๋และเสิ่นิเข้าเป็ครูประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 นั้นนับว่าเป็เื่ปอกกล้วยเข้าปาก
จากประวัติที่แต่งขึ้น ทั้งสองคนไม่รู้จักกันมาก่อน ดังนั้นจึงจำต้องไปถึงโรงเรียนไม่พร้อมกัน
วันนี้เซี่ยวอี๋แต่งกายด้วยชุดทำงานซึ่งเป็กระโปรง ด้านในสวมถุงน่องสีเนื้อ ปิ่นปักผมสีเงินสองเล่มสอดเข้าในมวยผมดำขลับ เพื่อให้มีลุคสุขุม เธอจึงสวมแว่นกรอบทอง ชั่วพริบตาก็กลายร่างเป็สาวงามผู้ซึ่งใครเห็นแล้วก็ไม่อาจละสายตาออกไปได้
ส่วนเสิ่นินั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่โคล่ง สอดเข้าไปในกางเกงสแล็คที่ยับยู่ยี่ รองเท้าหนังเหมือนสินค้าลดราคา สะพายกระเป๋าเอกสารเหมือนกับพนักงานออฟฟิศ แว่นตากรอบพลาสติกสีดำเก่าๆ ราวกับนักวิชาการหัวโบราณซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยดัง
เสิ่นิซึ่งไม่มีรถ เขาต้องออกจากบ้านั้แ่ 6 โมงเช้า เปลี่ยนรถโดยสาร 3 คัน เขาเดินทางจากทางตะวันออกของเมืองกระทั่งถึงโรงเรียนเอกชนชั้นนำดาวเหนือซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือ
เขายืนอยู่ตรงปากทางเข้าโรงเรียนซึ่งกว้างเทียบเท่าจัตุรัสเทียนอันเหมิน ชายหนุ่มต้องผจญกับสายตาเหยียดหยามจากนักเรียนในรถหรูซึ่งต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อลงจากรถ เสิ่นิรู้ตัวทันที ว่าร้อยทั้งร้อยเขาได้กลายเป็คุณครูจอมเฉิ่มเบ๊อะไปแล้ว