เช้าวันถัดมา ในตอนที่อวิ๋นซีเพิ่งจะได้กินอาหารเช้า ผู้ช่วยที่โรงหมอก็ได้แจ้งว่า รถม้าของจวนหานอ๋องมาถึงแล้ว พวกเขามาเพื่อรอรับนางไปตรวจโรคที่จวนอ๋อง อวิ๋นซานที่ยังกินไม่อิ่มเสมองบุตรสาวตน ก่อนจะถามออกมาด้วยความสงสัย “เ้าจะไปตรวจโรคที่จวนหานอ๋องหรือ? ”
เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินอาซีพูดถึงเื่นี้มาก่อนเลยเล่า?
อวิ๋นซียิ้มบางๆ “เมื่อวานตอนเจอหานอ๋อง พระองค์ตรัสว่า ในจวนมีเด็กคนหนึ่งป่วยอยู่ แต่ไม่ว่าจะเรียกหมอฝีมือดีมีชื่อเสียงคนใดมาก็ล้วนไม่มีประโยชน์ จึงอยากให้ข้าลองไปตรวจดูเสียหน่อยเ้าค่ะ”
อวิ๋นซานได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังบุตรสาว จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ “เด็กที่เ้าพูดถึงเกรงว่าจะเป็บุตรสาวของหานอ๋องกระมัง จวิ้นจู่น้อยหวานหว่านแห่งจวนอ๋อง นางเป็สาวน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง แต่โชคร้ายที่ต้องมารับพิษจากครรภ์มารดาที่เป็พิษ ช่างน่าสงสารนัก เพราะพิษนี้คงทำร้ายนางแสนสาหัสเลยทีเดียว”
ตอนที่อวิ๋นซีได้ยินว่าเป็บุตรสาวของจวินเหยียนนั้น ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง “บุตรสาวของหานอ๋อง? ไม่ใช่ว่าชาวบ้านเขาลือกันว่าพระองค์ไม่ชอบการเข้าใกล้สตรีหรอกหรือ? เหตุใดจึงมีบุตรสาวได้? จากอนุภรรยา? ”
อวิ๋นซานหัวเราะ ก่อนจะวางถ้วยและตะเกียบลงแล้วจึงพูดต่อ “พ่อเคยไปจวนหานอ๋องมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นก็ไปเพื่อตรวจโรคให้จวิ้นจู่น้อยท่านนั้นนี่แหละ แต่ก็มีข่าวลือว่าเรือนหลังของหานอ๋องว่างเปล่าปราศจากผู้ใด ต่อให้จะมีพวกนักร้องนางรำอยู่บ้าง แต่ก็ถูกจัดให้พักอยู่ในเรือนอื่นที่แยกออกไป ดังนั้นในจวนหานอ๋อง นอกจากจวิ้นจู่น้อยผู้นี้แล้วก็ไม่มีใครอื่นที่มีฐานะเป็นายหญิงแห่งจวนแม้แต่คนเดียว”
“ไม่มีอนุภรรยาหรือสตรี? เช่นนั้นจวิ้นจู่น้อยท่านนี้มาจากที่ใดกัน? หรือจะถือกำเนิดมาจากก้อนหินเ้าคะ? ” นางอดเลิกคิ้วถามไม่ได้ นี่มันประหลาดเสียจริงที่บุรุษเย้ายวนฉูดฉาดผู้นั้นไม่เข้าใกล้สตรีผู้ใดเลยจริงๆ ?
ไม่ ไม่น่าจะเป็เช่นนั้นได้เลย เพราะเมื่อวานตอนบังคับจูบตน ท่าทางของเขาดูเหมือนจะเพลิดเพลินมากด้วยซ้ำ หากจะบอกว่าบุคคลเช่นนี้ไม่เข้าใกล้สตรี นางเชื่อว่าคงจะโดนผีหลอกเป็แน่
อวิ๋นซานส่ายศีรษะน้อยๆ “ด้วยเื่นี้ พ่อคาดว่าคงจะมีเพียงหานอ๋องเท่านั้นที่รู้ ทว่าตอนที่เ้าไปจับชีพจรให้จวิ้นจู่น้อยผู้นั้นก็อย่าได้สงสัยใคร่รู้เช่นนี้อีกเล่า เื่บางเื่อย่ารู้เลยจะดีที่สุด”
อวิ๋นซีพยักหน้ารับรู้พลางจดจ้องไปที่นายท่านอวิ๋นผู้เป็บิดาด้วยความเคลือบแคลง เหตุที่เขาพูดเช่นนี้ได้ แสดงว่าคนต้องเคยรักษาให้หวานหว่านมาก่อนเป็แน่ ทว่าวิชาแพทย์ของอวิ๋นซานนั้นนับว่าใช้ได้เลยทีเดียว ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเป็พิษชนิดใดที่รับมาจากในครรภ์
ขณะเดียวกันเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของบุตรสาว อวิ๋นซานก็พอจะเดาได้ว่า นาง้าจะถามสิ่งใด เขายิ้มแล้วชิงตอบก่อน “เ้าอย่าได้คิดถามพ่อเลย พิษในร่างของเด็กคนนั้นจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่อาจวินิจฉัยได้ อีกประการข้าเคยตรวจรักษานางไปเมื่อครึ่งปีก่อน ยามนี้จึงไม่รู้ว่าจวิ้นจู่น้อยหวานหว่านเป็อย่างไรบ้างแล้ว”
“เ้าค่ะ ดูท่าคงจะต้องไปดูถึงจะรู้”
นางพูดคุยกับอวิ๋นซานต่ออีกสองสามประโยคแล้วจึงเดินมุ่งหน้าออกไปด้านนอก และกว่าจะไปถึงจวนหานอ๋องก็เป็่ยามเฉิน [1] ไปแล้ว นี่ถือเป็ครั้งแรกที่นางได้มาเยือนจวนหานอ๋อง แต่หากมิใช่เพราะแผ่นป้ายด้านนอกเขียนเอาไว้ว่า ‘จวนหานอ๋อง’ นางก็คงไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าสถานที่ที่ตกแต่งได้อย่างงามสง่า แต่เรียบง่ายในเวลาเดียวกันราวกับเป็สวนแห่งเจียงหนาน [2] นี้คือจวนหานอ๋อง
ก่อนนี้ตอนที่อยู่ในเมืองหลวง จวนอ๋องทุกแห่ง นางล้วนเคยไปเยือน ถึงแม้จวนอ๋องเ่าั้จะไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหรายิ่งใหญ่เหมือนดั่งจวนรัชทายาท แต่ก็ไม่มีทางตกแต่งให้ดูสง่างามเรียบง่ายราวกับสวนป่าเช่นนี้ ในสายตาของเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์เ่าั้มีเพียงความหรูหราอลังการที่จะช่วยขับเน้นฐานะอันสูงส่งของพวกเขาออกมาได้
พ่อบ้านเห็นว่าอวิ๋นซีมีท่าทีสนอกสนใจความงามในจวนอ๋อง เขาก็รีบยิ้มแย้มแล้วกล่าว “กาลก่อนยามที่ท่านอ๋องของเราเพิ่งเสด็จมาถึงที่แห่งนี้ การตกแต่งใดๆ ล้วนไม่ได้แตกต่างไปจากจวนอ๋องในเมืองหลวงมากมายนัก แต่เพราะท่านอ๋องไม่ทรงโปรด สุดท้ายจึงมีดำริให้สร้างใหม่จนเป็อย่างที่เห็นนี่แหละขอรับ”
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่าจวนแห่งนี้จะมีเื่ราวเช่นนี้อยู่ด้วย นางแย้มยิ้มบาง “งดงามมากเลยเ้าค่ะ ดูแล้วสง่างาม กว้างขวางมาก”
เมื่อพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา “ถูกแล้วขอรับ ถูกแล้วขอรับ ท่านอ๋องของเราก็ตรัสเช่นนี้เหมือนกัน ท่านตรัสว่า สถานที่อยู่อาศัยก็ต้องทำให้สบายกายสบายใจ มิใช่ต้องหรูหราฟุ่มเฟือย”
จริงๆ แล้วในฐานะของคนรับใช้ใกล้ชิด เขารู้สึกว่าท่านอ๋องของตนทรงพระปรีชายิ่ง ทั้งยังทรงห่วงใยชาวประชาอย่างแท้จริง แต่ที่น่าเสียดายก็คือ คนภายนอกล้วนเข้าใจพระองค์ผิดและทึกทักกันไปว่าทรงเป็แค่คนที่รู้จักเพียงกินดื่มหาความสำราญ
ถึงกระนั้นสำหรับอวิ๋นซีแล้ว นางจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าพ่อบ้านกำลังยกยอนายของตนอยู่ เพราะบุรุษที่อายุยี่สิบสองปีแล้ว แต่ยังไม่แต่งงาน หากเป็คนภายนอกก็คงเผลอคิดไปว่าคนคนนั้นจะต้องไม่ปกติเป็แน่ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วคนที่มีอายุอยู่ใน่นี้จะมีความเหมาะสมแก่การเป็เสด็จพ่อของโอรสธิดาได้แล้ว
อ้อ ไม่ถูกสิ แท้จริงแล้วตัวเขาในตอนนี้ก็นับเป็บิดาที่มีบุตรแล้ว เพราะเหตุที่นางมาที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อบุตรสาวของเขาหรอกหรือ
ก่อนจะเจอหวานหว่าน นางไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยว่าบนโลกใบนี้จะยังมีเด็กสาวที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ด้วย ดวงหน้าเล็กๆ รูปไข่ ผิวนวลขาวสะอาดตา ดวงตากลมโต และเมื่อยามแย้มยิ้มก็จะเผยให้เห็นลักยิ้มน่ารักทั้งสองข้างแก้ม เด็กน้อยคนนี้งดงามจนแทบจะต่างกันราวหน้ามือกับหลังมือเมื่อเทียบกับเ้าปีศาจเย้ายวนคนนั้น ทว่า อันที่จริงยามที่เขากำลังแย้มยิ้มอย่างชั่วร้ายนั้นก็สามารถมองเห็นลักยิ้มคู่หนึ่งได้เหมือนกัน ให้พูดก็พูดเถิด บุรุษที่ยิ้มแล้วมีลักยิ้มช่างเป็อะไรที่หาได้ยากยิ่ง
ตอนที่เดินเข้าไปในเรือน ยามนั้นหวานหว่านกำลังหยอกเย้าเ้าหนูตัวเล็กๆ สีขาวที่อยู่บนโต๊ะเพียงลำพัง ซึ่งอวิ๋นซีดูไม่ออกว่าเป็หนูชนิดใด แต่มันมีท่าทางเฉลียวฉลาดว่องไว มิหนำซ้ำยังใช้ดวงตากลมโตกระจ่างใสคู่นั้นจ้องมองมาทางอวิ๋นซีอีกด้วย
นอกจากหนูขาวตัวน้อยที่กำลังให้ความสนใจผู้มาใหม่แล้วก็ยังมีหวานหว่านอายุสองขวบกว่าอีกคนหนึ่งที่หันมองมาทางอวิ๋นซี นางมองอวิ๋นซี จากนั้นก็เอ่ยถามพ่อบ้าน “พ่อบ้านเฉียว นี่คือผู้ใดกัน? ”
อวิ๋นซีโดนท่าทางสงสัยใคร่รู้แสนน่ารักของหวานหว่านดึงดูดความสนใจเข้าแล้ว ไม่รู้ด้วยเหตุใดเพียงครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กคนนี้ นางก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ารักเหลือเกินจนนางอดไม่ได้ที่จะชมชอบยิ่ง
อวิ๋นซีก้าวไปด้านหน้าเพื่อแนะนำตัวเอง “ถวายบังคมเพคะจวิ้นจู่น้อย หม่อมฉันมีนามว่าอวิ๋นซี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวานหว่านก็เดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าวแล้วสูดดมกลิ่นบนเสื้อผ้าของสตรีเบื้องหน้า จากนั้นจึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยถาม “พี่สาว ท่านเป็หมอหรือ? ” ยามเมื่อเด็กน้อยแย้มยิ้ม เขี้ยวเสือเล็กๆ ที่แสนน่ารักสองซี่ก็โผล่ออกมา เขี้ยวแบบนี้ทำให้นางยิ่งน่ารักเข้าไปอีก
อวิ๋นซีพยักหน้า “เพคะ พี่สาวเป็หมอ” นางนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้าน ก่อนจะมองดูหวานหว่านที่แสนชดช้อยน่ารัก “จวิ้นจู่น้อยเป็คนที่เข้มแข็งหรือไม่เพคะ? ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเสด็จพ่อของข้าปรีชาสามารถมาก ดังนั้นข้าเองจึงเป็คนที่เข้มแข็งมากเช่นกัน” เมื่อพูดจบเด็กน้อยก็เดินไปอยู่ข้างกายอวิ๋นซี จากนั้นก็ยื่นมือให้นาง “ข้ารู้ว่าทุกครั้งที่หมอเช่นพวกท่านมาที่นี่จะต้องช่วยจับชีพจรให้ข้า”
อวิ๋นซีแย้มยิ้มก่อนจะกุมมือเล็กๆ ของนางไว้พร้อมๆ กับเอื้อมมือไปลูบศีรษะนางอย่างแ่เบาด้วยไม่อาจจะหักห้ามใจ “ใครบอกกัน หม่อมฉันไม่ทำเช่นนั้นหรอกเพคะ” เมื่อพูดจบแล้ว นางก็เริ่มตรวจดูั์ตาของหวานหว่านก่อนเป็อันดับแรก และตามด้วยหลังหู ทว่าในตอนที่นางมองเห็นเส้นสีแดงคล้ายมีคล้ายไม่มีบริเวณหลังหูของอีกฝ่าย หัวคิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ จากนั้นจึงเริ่มจับชีพจรให้หวานหว่านอย่างรวดเร็ว “เหตุใดจึงเป็เช่นนี้? ”
พ่อบ้านที่อยู่อีกด้านเห็นท่าทางไม่ปกติของอวิ๋นซีก็รีบถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ? พระวรกายของจวิ้นจู่น้อยเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีกอย่างนั้นหรือขอรับ? ” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พ่อบ้านเฉียวก็วิตกกังวลยิ่ง จวิ้นจู่น้อยต้องพบเจออุปสรรคมามากมายนับแต่เล็กจนโตจริงๆ
เขาที่เป็ข้าทาสบริวารเพียงเห็นแล้วยังอดปวดใจมิได้ จวิ้นจู่เป็เด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ แต่์ช่างโเี้กับนางเสียเหลือเกิน
อวิ๋นซีได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวตอบ “ไม่ใช่เ้าค่ะ ยามนี้จวิ้นจู่น้อยแข็งแรงดีมาก ในวันหน้าก็จะไม่เป็อะไรเช่นกัน”
เมื่อหวานหว่านน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจจนเผลอกุมมืออวิ๋นซีไว้ “พี่สาว วันหน้าข้าจะไม่เป็อะไรแล้วจริงๆ หรือ? ” ถึงแม้นางจะยังเล็ก ทว่ามิได้โง่เขลา ทั้งยังทราบดีว่าสาวใช้เ่าั้มักแอบพูดกันในที่ลับๆ ว่า ตัวนางนั้นถูกพิษ และจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีกไม่กี่ปี
ถึงแม้นางจะยังเด็กจนไม่รู้ความว่าการถูกพิษคืออะไร ทว่าเมื่อได้รู้ว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไม่ว่าเวลาจะเหลืออีกกี่มากน้อย นางก็ให้รู้สึกปวดใจ เพราะหากเป็ไปได้ นางก็ปรารถนาที่จะได้เห็นตัวเองเติบโตไปเป็ผู้ใหญ่ได้อย่างปลอดภัยและจะได้อยู่เป็เพื่อนเสด็จพ่อไปอีกนานๆ
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ยามเฉิน(辰时)เวลาประมาณ 5 โมงเช้าถึง 7 โมงเช้า
[2] สวนแห่งเจียงหนาน(江南园林)เขตเจียงหนาน หมายถึง พื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง บ้านเรือนในบริเวณเขตเจียงหนานนี้จะมีการจัดสวนที่เป็เอกลักษณ์จนคนนิยมเรียกว่า สวนแบบเจียงหนาน ซึ่งเป็การจัดสวนแบบเรียบง่าย แต่ดูงามสง่า โดยมีการนำหินจำลองริมแม่น้ำแกะสลักอย่างประณีตมาประดับวางพร้อมด้วยพืชพันธุ์หลากหลาย