เช้าวัดถัดมา จวนจ้าวอ๋องปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม บรรยากาศในจวนไม่สู้ดีนัก
ข้างในจวนใหญ่วิจิตรงดงาม กล่าวกันว่าหรูหราไม่ต่างจากวังหลวง กระถางปั๋วซานสีทองเผาไหม้ยาหอมกลิ่นกานซงผสมไป๋จื่อ หัวเตียงยังมีกระถางเครื่องหอมใบเล็กที่ทำจากไม้มะเกลือวางไว้เพื่อกลบกลิ่นฉุนของยาสมุนไพร
ส่วนคนที่นอนอยู่บนเตียงก็คือจ้าวอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเสี่ยนนอนร้องโอดครวญ บนเนื้อตัวด้านหลังมีผ้าขาวพันาแเอาไว้หลายชั้น มีสาวใช้สี่คนคอยเช็ดเหงื่อและพัดหวีให้
“ท่านพ่อ ลูกไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้...”
จ้าวอ๋องนับเป็บุรุษภูมิฐานผู้หนึ่ง ใบหน้าคมสัน หนวดยาวคมเข้ม แต่พออายุมากขึ้น หางตาก็เริ่มหย่อนคล้อย จมูกก็งุ้มลง เขาในยามนี้จึงดูเป็คนดุดันและเผด็จการ
เขาเอาแต่เดินวนไปวนมาในห้องโถงด้วยจิตใจอันร้อนรน แม้อยากจะต่อว่าบุตรชายเพียงใดก็ยังไม่มีกระจิตกระใจจะอ้าปาก เ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวที่เขามีชอบก่อเื่ตีรันฟันแทงทุกวัน แต่มันก็ไม่ใช่เื่ใหญ่โตร้ายแรง ทว่าคราวนี้ถึงขั้นกล้าแอบพาฝ่าาออกมานอกวังหลวง หากเกิดอันใดขึ้นกับฝ่าา ใต้หล้านี้คงไม่มีที่ให้พวกเขายืนแล้ว
“เ้าร้องไห้หรือ! เ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกหรือ! หากฝ่าาเป็อันใดไป ข้าจะตีเ้าให้ตายแล้วฝังเ้าไว้ในหลุมศพของฝ่าา!”
จ้าวอ๋องเห็นบุตรชายร้องไห้ก็ยิ่งร้อนใจ ดุด่าบุตรชายด้วยความโกรธ ในขณะที่ชายาอ๋องขยับเข้าไปเขย่าแขนผู้เป็สามีพลางร้องไห้โฮ “หากท่านอ๋องจะตีเขาให้ตาย มิสู้ท่านฆ่าพวกเราให้ตายตกไปด้วยกันเสียเลยเล่า ผู้คนจะได้จารึกชื่อเสียงความจงรักภักดีของท่าน”
“ฆ่าเ้า? ข้าจะกล้าฆ่าเ้าได้อย่างไร?” จ้าวอ๋องแสยะยิ้ม “มีหวังวันพรุ่งนี้ใต้หล้าได้ตกเป็ของตระกูลหวนของพวกเ้า”
“ท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับบีบบังคับให้ข้าตาย!” ชายาอ๋องลุกขึ้นหมายจะวิ่งเอาหัวโขกตู้ แต่ถูกเหล่าสาวใช้คว้าตัวไว้ทัน บัดนี้ในห้องจึงเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ดังระงม
“โธ่เอ๊ย อยากจะมาตายอันใดในเวลาคับขันเช่นนี้!” จ้าวอ๋องรู้ว่านางเป็คนแข็งกร้าว แต่เขาก็รู้สึกผิดที่เอ่ยถึงเื่ที่ไม่ควรพูด เขาจึงทั้งโมโหและงุ่นง่าน ได้แต่สะบัดแขนเสื้อระบายอารมณ์ “หากคนไม่รอดกลับมาจริงๆ อย่าว่าแต่เ้ากับข้าเลย เราทั้งจวนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ถึงอย่างไรก็ต้องตายทั้งหมด!”
“ท่านอ๋อง! ท่านอ๋อง…”
“เ้าจะเรียกข้าอันใดนักหนา!” จ้าวอ๋องสบัดชายแขนเสื้อพร้อมเดินจากไป
ทันใดนั้นบ่าวรับใช้ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงาน “มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาขอพบซื่อจื่อขอรับ”
“ไม่เห็นหรือว่าซื่อจื่อไม่สบาย!”
“บ่าวแจ้งไปแล้วขอรับ แต่เขาให้นำของสิ่งนี้มามอบให้ซื่อจื่อ” บ่าวรับใช้นำของบางอย่างออกมา จ้าวอ๋องเหลือบมองก็ต้องขมวดคิ้ว มันคือเศษซากไม้ไผ่สาน กระดาษขาดรุ่งริ่งเปียกน้ำ มองแทบไม่ออกว่ามันคือสิ่งใด
“นี่มันสิ่งใดกัน เอาไปทิ้ง”
“เดี๋ยวก่อน!” เว่ยเสี่ยนร้องห้าม รีบพลิกตัวคลานลงจากเตียง จับของที่ดูเหมือนเศษขยะขึ้นมาดู ก่อนจะคว้าคอเสื้อบ่าวรับใช้มาถามทันที “คนเล่า! ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด!”
“ยังอยู่ขอรับ รออยู่ข้างนอก จะให้บ่าวไป…”
“เชิญ! รีบไปเชิญเขาเข้ามา! ไม่ดีกว่า เดี๋ยวข้าออกไปพบเขาเอง!”
จ้าวอ๋องเห็นอย่างนั้นก็พอเดาสถานการณ์ได้ รีบสั่งให้คนพยุงบุตรชายออกไปข้างนอก ส่วนตนเองวิ่งนำหน้าออกไปก่อน
แต่พอมาถึงประตูจวนกลับพบเพียงเกวียนเทียมวัวคันหนึ่งจอดอยู่ เว่ยเสี่ยนรีบขึ้นมาเปิดม่านดู ปรากฏว่ามีเว่ยชงอยู่ในนั้น กำลังโบกมือให้เขาด้วยท่าทางไร้เดียงสา ไม่รู้เื่รู้ราว ทำหน้าไม่ถูกเหมือนไม่รู้จะร้องไห้หรือไม่ร้องดี ด้านจ้าวอ๋องถึงกับเข่าอ่อนจนต้องคว้าเพลาเกวียนพยุงตัวไว้
องครักษ์ขึ้นไปอุ้มคนลงมา พบว่าบนนั้นยังมีกระบี่ไร้ฝักอีกหนึ่งเล่ม จำได้ทันทีว่าเป็กระบี่หยกพระราชทานของเว่ยเสี่ยน พอเว่ยเสี่ยนเห็นมันก็ถอนหายใจแล้วโบกมือสั่งให้บ่าวรับใช้นำมันไปเก็บ
จ้าวอ๋องนวดขมับพลางเอ่ยถาม “ผู้ใดมาส่ง? ควรจักตอบแทนเขาอย่างงาม”
“บัณฑิตคนหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง” เว่ยเสี่ยนพึ่งจะเข้าใจว่าสิ่งใดคือเหตุต้นผลกรรม “เป็คนที่กล้าหาญมาก”
……
ิหยวนกลับมาไม่ทันได้พักหายใจ เขาก็ถูกิเยี่ยลากตัวมาซักฟอกจนหมดเปลือก หลังจากนั้นก็พาเขาเก็บข้าวของ เตรียมตัวเข้าสำหรับการเข้าศึกษา ทั้งพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก หนังสือ และเครื่องนอน
“ควรเอาเครื่องนอนแบบไหนไปดี จะต้องเหมาะกับทั้งหน้าหนาวหน้าร้อน ที่นั่นห้องหับก็เก่ายิ่งกว่าอะไรดี ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่ครบครัน แถมยังมีกฎเกณฑ์มากมาย นอกจากบัญฑิตยากจนไม่มีทางเลือกแล้วก็ไม่มีผู้ใดอยากเข้าไปอยู่ที่นั่นหรอก” ิเยี่ยพยายามเกลี้ยกล่อมเขาเป็รอบที่สามร้อยหกสิบ “เ้าอยู่ที่นี่กับข้าไม่ดีกว่าหรือ?”
“เอาล่ะ คุณชายสาม ที่นี่คือจวนตระกูลิ ส่วนข้าเป็ลูกหลานชาวนายากจน พักอาศัยในหอพักสำนักศึกษานับว่าเหมาะสมแล้ว ทั้งประหยัดและสะดวก ที่นี่ข้าแทบไม่รู้จักผู้ใด ควรออกไปทำความรู้จักคนใหม่ๆ คบหาเป็สหายบ้างมิใช่หรือ?”
ิหยวนไม่ได้หลงระเริงกับความรุ่งเรืองของเมืองหลวง แม้ิหลานจะบอกว่าควรเขาพักกับิเยี่ยจะได้คอยดูแลกัน และให้คิดซะว่าเป็บ้านของตัวเองก็ตาม ต่อให้ิเยี่ยเห็นเขาเป็เหมือนพี่น้องก็ตาม แต่เขารู้ฐานะของตนดี หลายวันมานี้เขาพักอยู่ที่จวนกับิเยี่ย ได้สวมเสื้อผ้าดีๆ กินอาหารรสเลิศ เรียกได้ว่ากินหรูอยู่สบาย ทว่าเขาไม่เคยลืมเตือนสติตนเองอยู่เสมอ อย่าหลงลืมตัวคิดว่าตนคุณชายจากตระกูลขุนนางเพราะความใจดีของคนอื่น
ดังนั้นไม่ว่าิเยี่ยจะพยายามโน้มน้าวเขาเพียงใด ิหยวนก็ยังเอาแต่ยิ้ม ไม่ยอมตอบตกลง จนิเยี่ยนึกโมโห คว้าผ้ามาดึงทึ้งระบายความโกรธ
ฟัดกับผ้าจนพอใจแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะรีบตามิหยวนไปรายงานตัวเข้าสำนักศึกษาหลวง โชคดีที่ิเยี่ยเป็คนร่าเริง เดินทางไปได้ครึ่งทางเขากลับมาอารมณ์ดี ิหยวนไปลงทะเบียนและยื่นเอกสาร พร้อมแจ้งความ้าเข้าพักในหอพักสำนักศึกษา หลังจากนั้นก็มีคนพาพวกเขามาดูห้องทันที
ิเยี่ยมอบเงินสองเหรียญทองแดงให้คนที่พามาส่ง ก่อนจะกวาดตามองห้องพักซอมซ่อพลางถอนหายใจ “ยามฝนตกน้ำรั่วเ้าก็อย่าร้องไห้มาหาข้าก็แล้วกัน”
ิหยวนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บ้านพักหลังใหญ่ที่ก่ออิฐฉาบปูนทั้งภายในและภายนอกดีกว่าบ้านเขาเสียอีก แม้เครื่องเรือนและของตกแต่งจะเรียบง่ายไปหน่อย ทว่าไม่มีทางฝนตกน้ำรั่วแน่นอน
“คุณชายสามขอรับ ท่านคิดว่าที่นี่คือจวนตระกูลิหรืออย่างไร? ท่านถึงได้คาดหวังให้มันหรูหราอลังการ”
“หรูหราอลังการ?” ิเยี่ยหัวเราะเยาะ “คงเห็นไม่บ่อยถึงได้มองว่าแปลกกระมัง เ้ายังไม่เคยเห็นพวกบัณฑิตในสำนักศึกษากลางน่ะสิ คนพวกนั้นเรียกได้ว่า ‘ตรอกชุดดำ ถิ่นของผู้มั่งคั่ง กำแพงจวนตระกูลหวังฝังเงิน กำแพงจวนตระกูลเซี่ยฝังทอง’ ข้าวของที่พวกเขาใช้ อาหารที่พวกเขากิน ข้าเห็นแล้วยังต้องตะลึง เกรงว่าอยู่ดีกินดีกว่าฮ่องเต้ปัญญาอ่อนในวังอีกกระมัง”
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “ฮ่องเต้ปัญญาอ่อน” จู่ๆ ิเยี่ยก็ตัวแข็งทื่อ คอยๆ หันมองิหยวน “วันนั้น นั่น นั่น นั่น คือ...”
ิหยวนเห็นท่าทางเงอะงะของเขาก็หลุดหัวเราะ จ้องเขาตอบพร้อมทำเป็ไขสือ “คืออันใด?”
“คือ คือ…” ิเยี่ยพูดติดอ้างอ้าปากค้าง จ้องอีกคนจนตาแทบหลุด
รู้สึกตัวช้ามาก
ิหยวนนึกขัน ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนเดินออกไป ปล่อยให้ห่านโง่ยืนอยู่ตรงนั้นไปตัวเดียวเถอะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------