สือโถวน้อยกับเด็กชายตาตี่อีกคนหยุดสู้กันทันที
“นักเรียนคนนี้ ทำไมถึงแย่งขนมปังกรอบของเพื่อนล่ะ” เซี่ยโม่หันไปถามสือโถวน้อยกับเด็กชายตาตี่
เด็กชายที่ทะเลาะกับสือโถวน้อยไม่เพียงตาตี่ จมูกยังแบนอีกด้วย หน้าตาค่อนข้างไม่น่าดู เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวก็เก่า ทั้งยังมีรอยปะชุนหลายจุด ใบหน้ามีรอยแผลอยู่สองสามแห่ง น่าจะเกิดจากตอนที่ทะเลาะกันเมื่อครู่
ใบหน้าของสือโถวน้อยเองก็มีรอยแผลเช่นกัน หากเทียบกันแล้ว ใบหน้าของเซี่ยเฉินเฟิงไม่มีรอยแผลเลยแม้แต่รอยเดียว คงเป็เพราะได้สือโถวน้อยปกป้องเอาไว้
ก่อนหน้าที่เธอจะมา เซี่ยเฉินเฟิงน่าจะโมโหจนร้องไห้ บนใบหน้ามีทั้งคราบน้ำตาและคราบฝุ่น สกปรกมอมแมมมากทีเดียว
น้องชายฟ้องต่อ “พี่ครับ พี่สือโถวเห็นเขาแย่งขนมของผมก็เลยเข้ามาช่วยปกป้องผมเอาไว้ แล้วพวกเขาก็ทะเลาะกัน”
ที่แท้เป็เพราะน้องชายเธออายุน้อยกว่าเด็กคนอื่น ตอนเที่ยงกินขนมปังกรอบไม่หมด พอเลิกเรียนรู้สึกหิวก็เลยหยิบออกมาเพื่อจะกินด้วยกันกับสือโถวน้อย แต่ปรากฏว่าเด็กชายตาตี่คนนี้เข้ามาเห็นก็เลยแย่งเอาไป
“ฉันขอขนมจากนายแล้ว แต่นายไม่ให้ ฉันก็เลยต้องแย่ง” เด็กชายตาตี่พูดอย่างไม่รู้สึกผิด
เซี่ยโม่ได้ยินเช่นนั้นจึงแย้งออกไป “ทำไมเราถึงพูดแบบนี้ ของของคนอื่นเื่อะไรเขาต้องให้เราด้วย พอไม่ให้ก็แย่ง เราเป็โจรหรือไง”
เด็กชายตาตี่ทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนที่น้ำตาจะคลอเบ้า “แต่ผมหิวนี่…”
เธอทราบดีว่านักเรียนของโรงเรียนประถมแห่งนี้ ส่วนมากเป็เด็กที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ่พักเที่ยงมีเวลาพักแค่หนึ่งชั่วโมง ไม่มีทางที่จะกลับไปกินข้าวกลางวันที่บ้านได้ทัน แล้วยิ่งเป็เด็กคงไม่มีผู้ใหญ่คนไหนวางใจให้เดินไปกลับเพียงลำพัง เด็กส่วนใหญ่จึงนำของกินติดตัวมากันทั้งนั้น
อาหารมื้อเที่ยงของเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มีไข่ต้มคนละฟอง ขนมปังกรอบอีกคนละหนึ่งห่อ หากกระหายก็มีน้ำพร้อมดื่ม
แต่เด็กคนอื่นอาจไม่เป็เช่นนี้ บางคนที่บ้านฐานะยากจนเลยไม่ได้นำมื้อเที่ยงติดตัวมาด้วย จึงได้แต่ต้องทนหิวตลอดวัน
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไปแย่งของกินจากเพื่อนคนอื่นอยู่ดี
“ถ้าหิวพรุ่งนี้ก็บอกพ่อกับแม่เตรียมอาหารเที่ยงมาให้ด้วยสิ เราดูสิว่ามีใครบ้างที่พอขอของเพื่อนแล้วเพื่อนไม่ให้ก็แย่งมา พอแย่งไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือ” เซี่ยโม่พูดเสียงเข้ม
สีหน้าเด็กชายตาตี่เปลี่ยนเป็ขลาดกลัวก่อนจะร้องไห้ออกมา
“จะร้องไห้ทำไม ไม่มีเหตุผลเลย พวกเราไปหาคุณครูกันตอนนี้เลย ไปคุยให้รู้ว่าที่เราทำแบบนี้มันถูกหรือผิด”
“พี่สาว อย่าไปฟ้องคุณครูเลยนะครับ ถ้าพ่อรู้ต้องไม่ให้ผมมาเรียนแน่ แต่ผมยังอยากมาเรียน” เด็กชายตาตี่รีบเอ่ยขอร้อง
ครั้นเซี่ยโม่เห็นเด็กชายร้องไห้ด้วยท่าทางน่าสงสารก็ใจอ่อน ตัดสินใจว่าจะไม่ไปฟ้องครู แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยเตือนออกไป “ต่อไปเราห้ามแย่งขนมเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยอีก แล้วก็ห้ามรังแกทั้งสองคนด้วย ไม่งั้นครั้งหน้าพี่จะฟ้องคุณครูจริงๆ ด้วย”
“ต่อไปผมไม่กล้าทำเื่ไม่ดีอีกแล้วครับ” เด็กชายตาตี่ร้องไห้พลางให้คำมั่นสัญญา
“ในเมื่อรู้ว่าตัวเองทำเื่ไม่ดีลงไป งั้นต่อไปก็อย่าทำอีก จะได้ไม่ถูกคนอื่นมองว่าเป็เด็กไม่ดี เราต้องเป็เด็กดีคอยปกป้องเพื่อนๆ รู้ไหม”
“พี่สาวพูดถูก ต่อไปผมจะเป็เด็กดีครับ” เด็กชายตอบรับ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ก่อนจะลงไปนั่งคุดคู้กับพื้น
“เอาละ เลิกมุงดูได้แล้ว กลับบ้านกันไปได้แล้วไป” เซี่ยโม่หันไปบอกบรรดาเด็กน้อยที่มุงดูโดยรอบ เด็กทุกคนต่างแยกย้ายกันเดินจากไปเมื่อเื่คลี่คลาย
“พี่ครับ เขาเป็อะไรไปครับ” เซี่ยเฉินเฟิงจับมือเธอพลางถามถึงเด็กชายตาตี่
เดาว่าเด็กชายคนนี้คงจะหิวจนปวดท้องถึงได้ลงไปนั่งกองกับพื้น
เธอเห็นท่าทางเช่นนั้นก็นึกสงสารเลยยื่นลูกอมให้เด็กชายไปหนึ่งเม็ด “เรากินลูกอมรองท้องก่อน พักสักครู่แล้วค่อยกลับบ้าน”
“ขอบคุณครับพี่สาว” เด็กชายรีบแกะห่อลูกอมก่อนจะนำเข้าปาก ไม่นานสีหน้าที่เคยซีดขาวก็กลับมาเป็ปกติ
ใช่อย่างที่เธอคาดการณ์
เซี่ยโม่หยิบขนมปังกรอบหนึ่งห่อออกมาจากในกระเป๋านักเรียนแล้วส่งให้ “พี่ยังมีขนมปังกรอบเหลืออยู่ กินแล้วก็รีบกลับบ้านซะนะ”
เด็กชายตาตี่มองเซี่ยโม่ด้วยความตื้นตันอย่างสุดซึ้ง นึกไม่ถึงว่าหลังจากถูกตำหนิแล้ว พี่สาวคนนี้จะใจดีให้ขนมปังกรอบตัวเองมาหนึ่งห่อ ทำให้ตนรู้สึกผิดยิ่งนัก
เซี่ยโม่ไม่ได้สนใจเด็กชายตาตี่อีก เธอพาเด็กน้อยทั้งสองออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางครุ่นคิดไปด้วยว่า วันต่อไปหากถึงเวลามื้อเที่ยงของทั้งคู่ เธอจะทำอย่างไรดี
เด็กชายทั้งสองคนยังเล็กอยู่ ไม่สามารถทนต่อความหิวได้ จะให้กินแต่ขนมปังกรอบทุกวันก็คงไม่ได้เช่นกัน
ผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านต่างก็ยุ่ง ส่วนเธอหากเทียบแล้วนับว่ามีเวลามากกว่าคนอื่น ในโกดังสินค้ามีสิ่งของมากมาย เธอสามารถทำอาหารในนั้นแล้วขี่จักรยานนำข้าวมาให้เด็กชายทั้งสองคนกินตอนพักเที่ยงได้
ในห้องของคนดูแลโกดังสินค้ามีเตาแก๊สและท่อส่งแก๊ส ทั้งในโกดังสินค้ามีน้ำประปากับระบบไฟฟ้าพร้อมสรรพ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่อส่งแก๊สยังมีแก๊สจ่ายเข้ามาหรือไม่
เธอขี่จักรยานไปด้วยนึกภาพตัวเองกำลังลองเปิดเตาแก๊สในห้องคนดูแลโกดังสินค้าไปด้วย ผลปรากฏว่าเตาแก๊สเปิดติด
สุดยอดไปเลย!
หลังจากนี้สามารถใช้่เวลาเรียน เข้าไปหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าในโกดังสินค้าได้
ส่วนกับข้าวค่อยทำ่เวลาพักเปลี่ยนคาบ พอถึงตอนพักกลางวันเธอก็ค่อยขี่จักรยานนำมื้อเที่ยงไปกินกับเด็กชายทั้งสองคน
ขณะที่เซี่ยโม่กำลังวางแผนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ถ้าผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านเกิดสงสัยว่าเธอไปทำกับข้าวที่ไหน ควรต้องอ้างว่าอย่างไรดี
บอกว่าทำที่บ้านเพื่อนร่วมห้อง แต่เพื่อนคนนี้ของเธอไม่สะดวกให้พบก็แล้วกัน เมื่อได้ข้อสรุปเธอก็ยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา
เซี่ยโม่ขี่จักรยานไปบ้านของผู้ใหญ่บ้านก่อนเพื่อส่งสือโถว เมื่อใกล้ถึงที่หมาย เธอเห็นคุณอาเหมยฮวากำลังให้อาหารไก่อยู่บริเวณหน้าบ้าน ในขณะที่สายตาคอยมองมาทางถนนเป็ระยะ
“คุณอาเหมยฮวาคะ พวกเรากลับมาแล้วค่ะ” ถึงหน้าบ้านแล้วเธอก็หยุดรถ
คุณอาเหมยฮวาเดินเข้ามาหาด้วยความดีใจ ก่อนจะอุ้มสือโถวลงจากรถจักรยาน แต่พอเห็นรอยแผลตามใบหน้าและเนื้อตัวบุตรชายก็รีบเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “สือโถว หน้าลูกไปโดนอะไรมา”
“คุณอาเหมยฮวาคะ เมื่อกี้ตอนหนูไปรับเด็กทั้งสอง…” เซี่ยโม่เล่าเื่ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ ให้ฟัง
คุณอาเหมยฮวาถอนหายใจออกมา “วันต่อๆ ไปคงปล่อยให้เด็กทั้งสองคนไม่กินข้าวเที่ยงไม่ได้แล้ว ดีนะที่เราให้ขนมปังกรอบเด็กๆ ไปคนละห่อ”
“คุณอาเหมยฮวาคะ หนูคิดว่ากับเด็กคนอื่นพวกเราจะไปสนใจมากคงไม่ได้ ตอนเที่ยงหนูมีเวลาพักสองชั่วโมง หนูคิดว่าจะไปทำอาหารที่บ้านเพื่อนในห้องแล้วค่อยขี่จักรยานเอาไปกินกับเด็กๆ ที่โรงเรียนค่ะ” เซี่ยโม่พูดแผนของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
“โม่โม่ เวลาพักเที่ยงของเราพอเหรอ”
“พอค่ะ เอาแบบนี้ไปก่อน พอถึงฤดูหนาวค่อยเช่าบ้านใกล้ๆ กับโรงเรียน ไว้ให้เด็กสองคนกลับมากินข้าวที่บ้านได้” เธออธิบายต่อ
คุณอาเหมยฮวาทำท่าขบคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “่นี้คงต้องลำบากเราแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว ในหมู่บ้านยุ่งกันมาก แต่พอเข้าฤดูหนาวแล้วก็จะมีเวลาว่างกว่านี้ พอถึงตอนนั้นอาค่อยเปลี่ยนหน้าที่กับเรา อาจจะทำอาหารให้เด็กทั้งสองคนกินเอง”
ประโยคเสนอตัวเมื่อครู่ทำให้ทราบว่าคุณอาเหมยฮวาไม่อยากกินแรงเธอ สลับกันทำหน้าที่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
“ได้ค่ะ งั้นหนูเริ่มพรุ่งนี้เลยนะคะ”
หลังจากตกลงกันได้เธอขี่จักรยานพาน้องชายกลับไปที่บ้าน พอเห็นประตูบ้านไม่ได้ลงกลอนเธอก็ดีใจ เพราะหมายถึงว่ามีใครสักคนกลับมาแล้ว
เซี่ยโม่จูงจักรยานเข้าไปในบริเวณบ้าน ที่แท้เป็คุณยายนั่นเองที่กลับมาถึงบ้านก่อนใคร
“คุณยายคะ พวกหนูกลับมาแล้วค่ะ”
“เฉินเฟิง ไปโรงเรียนมาเป็ยังไงบ้าง”
“คุณยายครับ ผมฟังที่คุณครูสอนรู้เื่ด้วยครับ คุณครูถามแล้วผมตอบถูก คุณครูก็ชมผมด้วย” เซี่ยเฉินเฟิงตอบอย่างตื่นเต้น
ั้แ่ที่เธอไปรับเซี่ยเฉินเฟิงที่โรงเรียนก็มัวแต่จัดการเื่ที่พวกเด็กๆ ทะเลาะวิวาทกัน เลยไม่ทันได้ถามไถ่ว่าการเรียนวันนี้เป็อย่างไรบ้าง แต่พอได้ยินน้องชายพูดเช่นนี้เธอก็รู้สึกวางใจ
เซี่ยโม่มองอากัปกิริยาน้องชายก่อนจะยกยิ้ม หากอีกฝ่ายมีหางละก็ จะต้องกำลังสะบัดไปมาอย่างแน่นอน น้องชายเธอช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง