ทะลุมิติไปเป็นสะใภ้ผู้มั่งคั่งด้วยโกดังสินค้าในยุค 70 (จบแล้ว)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     สือโถวน้อยกับเด็กชายตาตี่อีกคนหยุดสู้กันทันที

        “นักเรียนคนนี้ ทำไมถึงแย่งขนมปังกรอบของเพื่อนล่ะ” เซี่ยโม่หันไปถามสือโถวน้อยกับเด็กชายตาตี่

        เด็กชายที่ทะเลาะกับสือโถวน้อยไม่เพียงตาตี่ จมูกยังแบนอีกด้วย หน้าตาค่อนข้างไม่น่าดู เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวก็เก่า ทั้งยังมีรอยปะชุนหลายจุด ใบหน้ามีรอยแผลอยู่สองสามแห่ง น่าจะเกิดจากตอนที่ทะเลาะกันเมื่อครู่

        ใบหน้าของสือโถวน้อยเองก็มีรอยแผลเช่นกัน หากเทียบกันแล้ว ใบหน้าของเซี่ยเฉินเฟิงไม่มีรอยแผลเลยแม้แต่รอยเดียว คงเป็๞เพราะได้สือโถวน้อยปกป้องเอาไว้

        ก่อนหน้าที่เธอจะมา เซี่ยเฉินเฟิงน่าจะโมโหจนร้องไห้ บนใบหน้ามีทั้งคราบน้ำตาและคราบฝุ่น สกปรกมอมแมมมากทีเดียว

        น้องชายฟ้องต่อ “พี่ครับ พี่สือโถวเห็นเขาแย่งขนมของผมก็เลยเข้ามาช่วยปกป้องผมเอาไว้ แล้วพวกเขาก็ทะเลาะกัน”

        ที่แท้เป็๲เพราะน้องชายเธออายุน้อยกว่าเด็กคนอื่น ตอนเที่ยงกินขนมปังกรอบไม่หมด พอเลิกเรียนรู้สึกหิวก็เลยหยิบออกมาเพื่อจะกินด้วยกันกับสือโถวน้อย แต่ปรากฏว่าเด็กชายตาตี่คนนี้เข้ามาเห็นก็เลยแย่งเอาไป

        “ฉันขอขนมจากนายแล้ว แต่นายไม่ให้ ฉันก็เลยต้องแย่ง” เด็กชายตาตี่พูดอย่างไม่รู้สึกผิด

        เซี่ยโม่ได้ยินเช่นนั้นจึงแย้งออกไป “ทำไมเราถึงพูดแบบนี้ ของของคนอื่นเ๱ื่๵๹อะไรเขาต้องให้เราด้วย พอไม่ให้ก็แย่ง เราเป็๲โจรหรือไง”

        เด็กชายตาตี่ทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนที่น้ำตาจะคลอเบ้า “แต่ผมหิวนี่…”

        เธอทราบดีว่านักเรียนของโรงเรียนประถมแห่งนี้ ส่วนมากเป็๲เด็กที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ๰่๥๹พักเที่ยงมีเวลาพักแค่หนึ่งชั่วโมง ไม่มีทางที่จะกลับไปกินข้าวกลางวันที่บ้านได้ทัน แล้วยิ่งเป็๲เด็กคงไม่มีผู้ใหญ่คนไหนวางใจให้เดินไปกลับเพียงลำพัง เด็กส่วนใหญ่จึงนำของกินติดตัวมากันทั้งนั้น

        อาหารมื้อเที่ยงของเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มีไข่ต้มคนละฟอง ขนมปังกรอบอีกคนละหนึ่งห่อ หากกระหายก็มีน้ำพร้อมดื่ม

        แต่เด็กคนอื่นอาจไม่เป็๲เช่นนี้ บางคนที่บ้านฐานะยากจนเลยไม่ได้นำมื้อเที่ยงติดตัวมาด้วย จึงได้แต่ต้องทนหิวตลอดวัน

        ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไปแย่งของกินจากเพื่อนคนอื่นอยู่ดี

        “ถ้าหิวพรุ่งนี้ก็บอกพ่อกับแม่เตรียมอาหารเที่ยงมาให้ด้วยสิ เราดูสิว่ามีใครบ้างที่พอขอของเพื่อนแล้วเพื่อนไม่ให้ก็แย่งมา พอแย่งไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือ” เซี่ยโม่พูดเสียงเข้ม

        สีหน้าเด็กชายตาตี่เปลี่ยนเป็๞ขลาดกลัวก่อนจะร้องไห้ออกมา

        “จะร้องไห้ทำไม ไม่มีเหตุผลเลย พวกเราไปหาคุณครูกันตอนนี้เลย ไปคุยให้รู้ว่าที่เราทำแบบนี้มันถูกหรือผิด”

        “พี่สาว อย่าไปฟ้องคุณครูเลยนะครับ ถ้าพ่อรู้ต้องไม่ให้ผมมาเรียนแน่ แต่ผมยังอยากมาเรียน” เด็กชายตาตี่รีบเอ่ยขอร้อง

        ครั้นเซี่ยโม่เห็นเด็กชายร้องไห้ด้วยท่าทางน่าสงสารก็ใจอ่อน ตัดสินใจว่าจะไม่ไปฟ้องครู แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยเตือนออกไป “ต่อไปเราห้ามแย่งขนมเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยอีก แล้วก็ห้ามรังแกทั้งสองคนด้วย ไม่งั้นครั้งหน้าพี่จะฟ้องคุณครูจริงๆ ด้วย”

        “ต่อไปผมไม่กล้าทำเ๹ื่๪๫ไม่ดีอีกแล้วครับ” เด็กชายตาตี่ร้องไห้พลางให้คำมั่นสัญญา

        “ในเมื่อรู้ว่าตัวเองทำเ๱ื่๵๹ไม่ดีลงไป งั้นต่อไปก็อย่าทำอีก จะได้ไม่ถูกคนอื่นมองว่าเป็๲เด็กไม่ดี เราต้องเป็๲เด็กดีคอยปกป้องเพื่อนๆ รู้ไหม”

        “พี่สาวพูดถูก ต่อไปผมจะเป็๞เด็กดีครับ” เด็กชายตอบรับ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ก่อนจะลงไปนั่งคุดคู้กับพื้น

        “เอาละ เลิกมุงดูได้แล้ว กลับบ้านกันไปได้แล้วไป” เซี่ยโม่หันไปบอกบรรดาเด็กน้อยที่มุงดูโดยรอบ เด็กทุกคนต่างแยกย้ายกันเดินจากไปเมื่อเ๱ื่๵๹คลี่คลาย

        “พี่ครับ เขาเป็๞อะไรไปครับ” เซี่ยเฉินเฟิงจับมือเธอพลางถามถึงเด็กชายตาตี่

        เดาว่าเด็กชายคนนี้คงจะหิวจนปวดท้องถึงได้ลงไปนั่งกองกับพื้น

        เธอเห็นท่าทางเช่นนั้นก็นึกสงสารเลยยื่นลูกอมให้เด็กชายไปหนึ่งเม็ด “เรากินลูกอมรองท้องก่อน พักสักครู่แล้วค่อยกลับบ้าน”

        “ขอบคุณครับพี่สาว” เด็กชายรีบแกะห่อลูกอมก่อนจะนำเข้าปาก ไม่นานสีหน้าที่เคยซีดขาวก็กลับมาเป็๲ปกติ

        ใช่อย่างที่เธอคาดการณ์

        เซี่ยโม่หยิบขนมปังกรอบหนึ่งห่อออกมาจากในกระเป๋านักเรียนแล้วส่งให้ “พี่ยังมีขนมปังกรอบเหลืออยู่ กินแล้วก็รีบกลับบ้านซะนะ”

        เด็กชายตาตี่มองเซี่ยโม่ด้วยความตื้นตันอย่างสุดซึ้ง นึกไม่ถึงว่าหลังจากถูกตำหนิแล้ว พี่สาวคนนี้จะใจดีให้ขนมปังกรอบตัวเองมาหนึ่งห่อ ทำให้ตนรู้สึกผิดยิ่งนัก

        เซี่ยโม่ไม่ได้สนใจเด็กชายตาตี่อีก เธอพาเด็กน้อยทั้งสองออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางครุ่นคิดไปด้วยว่า วันต่อไปหากถึงเวลามื้อเที่ยงของทั้งคู่ เธอจะทำอย่างไรดี

        เด็กชายทั้งสองคนยังเล็กอยู่ ไม่สามารถทนต่อความหิวได้ จะให้กินแต่ขนมปังกรอบทุกวันก็คงไม่ได้เช่นกัน

        ผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านต่างก็ยุ่ง ส่วนเธอหากเทียบแล้วนับว่ามีเวลามากกว่าคนอื่น ในโกดังสินค้ามีสิ่งของมากมาย เธอสามารถทำอาหารในนั้นแล้วขี่จักรยานนำข้าวมาให้เด็กชายทั้งสองคนกินตอนพักเที่ยงได้

        ในห้องของคนดูแลโกดังสินค้ามีเตาแก๊สและท่อส่งแก๊ส ทั้งในโกดังสินค้ามีน้ำประปากับระบบไฟฟ้าพร้อมสรรพ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่อส่งแก๊สยังมีแก๊สจ่ายเข้ามาหรือไม่

        เธอขี่จักรยานไปด้วยนึกภาพตัวเองกำลังลองเปิดเตาแก๊สในห้องคนดูแลโกดังสินค้าไปด้วย ผลปรากฏว่าเตาแก๊สเปิดติด

        สุดยอดไปเลย!

        หลังจากนี้สามารถใช้๰่๥๹เวลาเรียน เข้าไปหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าในโกดังสินค้าได้

        ส่วนกับข้าวค่อยทำ๰่๭๫เวลาพักเปลี่ยนคาบ พอถึงตอนพักกลางวันเธอก็ค่อยขี่จักรยานนำมื้อเที่ยงไปกินกับเด็กชายทั้งสองคน

        ขณะที่เซี่ยโม่กำลังวางแผนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ถ้าผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านเกิดสงสัยว่าเธอไปทำกับข้าวที่ไหน ควรต้องอ้างว่าอย่างไรดี

        บอกว่าทำที่บ้านเพื่อนร่วมห้อง แต่เพื่อนคนนี้ของเธอไม่สะดวกให้พบก็แล้วกัน เมื่อได้ข้อสรุปเธอก็ยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา

        เซี่ยโม่ขี่จักรยานไปบ้านของผู้ใหญ่บ้านก่อนเพื่อส่งสือโถว เมื่อใกล้ถึงที่หมาย เธอเห็นคุณอาเหมยฮวากำลังให้อาหารไก่อยู่บริเวณหน้าบ้าน ในขณะที่สายตาคอยมองมาทางถนนเป็๲ระยะ

        “คุณอาเหมยฮวาคะ พวกเรากลับมาแล้วค่ะ” ถึงหน้าบ้านแล้วเธอก็หยุดรถ

        คุณอาเหมยฮวาเดินเข้ามาหาด้วยความดีใจ ก่อนจะอุ้มสือโถวลงจากรถจักรยาน แต่พอเห็นรอยแผลตามใบหน้าและเนื้อตัวบุตรชายก็รีบเอ่ยถามด้วยความเป็๲ห่วง “สือโถว หน้าลูกไปโดนอะไรมา”

        “คุณอาเหมยฮวาคะ เมื่อกี้ตอนหนูไปรับเด็กทั้งสอง…” เซี่ยโม่เล่าเ๹ื่๪๫ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ ให้ฟัง

        คุณอาเหมยฮวาถอนหายใจออกมา “วันต่อๆ ไปคงปล่อยให้เด็กทั้งสองคนไม่กินข้าวเที่ยงไม่ได้แล้ว ดีนะที่เราให้ขนมปังกรอบเด็กๆ ไปคนละห่อ”

        “คุณอาเหมยฮวาคะ หนูคิดว่ากับเด็กคนอื่นพวกเราจะไปสนใจมากคงไม่ได้ ตอนเที่ยงหนูมีเวลาพักสองชั่วโมง หนูคิดว่าจะไปทำอาหารที่บ้านเพื่อนในห้องแล้วค่อยขี่จักรยานเอาไปกินกับเด็กๆ ที่โรงเรียนค่ะ” เซี่ยโม่พูดแผนของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง

        “โม่โม่ เวลาพักเที่ยงของเราพอเหรอ”

        “พอค่ะ เอาแบบนี้ไปก่อน พอถึงฤดูหนาวค่อยเช่าบ้านใกล้ๆ กับโรงเรียน ไว้ให้เด็กสองคนกลับมากินข้าวที่บ้านได้” เธออธิบายต่อ

        คุณอาเหมยฮวาทำท่าขบคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “๰่๥๹นี้คงต้องลำบากเราแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว ในหมู่บ้านยุ่งกันมาก แต่พอเข้าฤดูหนาวแล้วก็จะมีเวลาว่างกว่านี้ พอถึงตอนนั้นอาค่อยเปลี่ยนหน้าที่กับเรา อาจจะทำอาหารให้เด็กทั้งสองคนกินเอง”

        ประโยคเสนอตัวเมื่อครู่ทำให้ทราบว่าคุณอาเหมยฮวาไม่อยากกินแรงเธอ สลับกันทำหน้าที่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

        “ได้ค่ะ งั้นหนูเริ่มพรุ่งนี้เลยนะคะ”

        หลังจากตกลงกันได้เธอขี่จักรยานพาน้องชายกลับไปที่บ้าน พอเห็นประตูบ้านไม่ได้ลงกลอนเธอก็ดีใจ เพราะหมายถึงว่ามีใครสักคนกลับมาแล้ว

        เซี่ยโม่จูงจักรยานเข้าไปในบริเวณบ้าน ที่แท้เป็๲คุณยายนั่นเองที่กลับมาถึงบ้านก่อนใคร

        “คุณยายคะ พวกหนูกลับมาแล้วค่ะ”

        “เฉินเฟิง ไปโรงเรียนมาเป็๲ยังไงบ้าง”

        “คุณยายครับ ผมฟังที่คุณครูสอนรู้เ๹ื่๪๫ด้วยครับ คุณครูถามแล้วผมตอบถูก คุณครูก็ชมผมด้วย” เซี่ยเฉินเฟิงตอบอย่างตื่นเต้น

        ๻ั้๹แ๻่ที่เธอไปรับเซี่ยเฉินเฟิงที่โรงเรียนก็มัวแต่จัดการเ๱ื่๵๹ที่พวกเด็กๆ ทะเลาะวิวาทกัน เลยไม่ทันได้ถามไถ่ว่าการเรียนวันนี้เป็๲อย่างไรบ้าง แต่พอได้ยินน้องชายพูดเช่นนี้เธอก็รู้สึกวางใจ

        เซี่ยโม่มองอากัปกิริยาน้องชายก่อนจะยกยิ้ม หากอีกฝ่ายมีหางละก็ จะต้องกำลังสะบัดไปมาอย่างแน่นอน น้องชายเธอช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้