การบุกถึงตำหนักจาวหยางต้องผ่านด่านสำคัญสามด่านซึ่งก็คือ ด่านหานเยว่ด่านเฉียนหลง และด่านเจ๋อเทียน
ขณะที่เขาเพิ่งข้ามแม่น้ำภายในวังเข้ามาถึงด่านหานเยว่นั้นเสียงซือจู๋จากด้านในก็ดังลอดออกมาเบาๆ
เขาวิ่งพุ่งไปทางทิศนั้นอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งอย่างร้อนใจร้อนใจจริงๆ จนกระทั่งรู้สึกแผดเผาที่ปอด เขากล่าวเร่งตัวเองอยู่ในใจเร็วขึ้นหน่อย เร็วขึ้นอีกหน่อย
สายลมหนาวพัดโชยเป็ระยะ บนท้องนภามีสายฝนโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วบริเวณพระราชวังใหญ่โตงดงามเช่นนี้ทว่าท่ามกลางแสงโคมไฟและความมืดมิดกลับดูน่าเกรงขามและเดียวดาย
ณ ที่แห่งนี้ กงเจวี๋ยวิ่งสุดชีวิต เขาวิ่งแข่งกับความเป็ความตาย ทว่าเขากลับถูกขวางไว้อีกครั้ง
ครั้งนี้ผู้ที่ขวางเขาไว้มีลักษณะเหมือนกับกลุ่มที่แล้วเป็องครักษ์ภายในวังทว่าสายตาสงบนิ่งของพวกเขาทำให้กงเจวี๋ยแอบระวังตัวมากยิ่งขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่องครักษ์ทั่วไปเหมือนครั้งที่แล้ว
“ฮองเฮามีรับสั่ง ผู้ที่บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตสามารถสังหารได้ทันที”
ประโยคสุดท้ายกล่าวขึ้นอย่างเ็าทำให้ั์ตาของกงเจวี๋ยสะท้อนประกายพิฆาตฮองเฮา คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าขวางเขาไว้ ที่สำคัญผู้บงการคนเหล่านี้คือฮองเฮาดังนั้นพวกเขาไม่มีทางออมมืออย่างแน่นอน
อีกฝ่ายมีถึงสิบห้านาย อีกทั้งได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดีหาก้าจัดการเด็กน้อยหนึ่งคนถือว่าเพียงพอแล้ว
ทว่ากงเจวี๋ยไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดาเขามองผู้คนเบื้องหน้าพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่ได้กล่าวแม้แต่คำเดียว แต่ทำเพียงชูกระบี่ในมือขึ้นมาตัวกระบี่สั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังรอคอยดื่มโลหิตอย่างใจจดใจจ่อ
เข้ามาสิ เขาจะสังหารทุกคนที่ขัดขวางเขา
สมัยเด็ก่ที่ไม่มีใครดูแลอยู่ในตำหนักเย็นในระหว่างสองปีนั้นทำให้บุคลิกของเขากลายเป็คนเก็บกดและโเี้หากสามารถสังหารศัตรูได้แปดร้อย เขายินดีทำลายตัวเองหนึ่งพัน
เพราะความโเี้เช่นนี้ ขณะต่อสู้ติดพัน ภายในระยะเวลาสั้นๆองครักษ์ยอดฝีมือสิบกว่านายไม่มีใครสักคนที่สามารถเข้าประชิดตัวเขาได้เลย
องครักษ์แอบร้อนใจอยู่เงียบๆเนื่องจากพวกเขาได้รับคำสั่งลับจากหลิ่วเสียนเฟยด้วยเช่นกันพวกเขาต้องสังหารองค์ชายเก้าอยู่ตรงนี้
ตอนแรกกงเจวี๋ยคิดจะลงมืออย่างระมัดระวัง ทว่าเมื่อคิดว่ากงอี่โม่ผู้อยู่ในตำหนักเย็นที่ห่างออกไปกำลังตกอยู่ในอันตรายเขาจึงออกอาการเหมือนคนบ้าคลั่ง เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลย
เขาใช้กระบี่คล่องแคล่วชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆแต่ละกระบวนท่าโเี้แม่นยำ ความรู้สึกขณะกรีดแทงเนื้อหนังมันวนเวียนอยู่รอบๆทำให้เขารู้สึกหลงใหล
ขณะต่อสู้นั้น สายตาเ็าของเขามองไปยังทิศทางสว่างไสวในระยะไกลดวงตาสีน้ำหมึกสะท้อนประกายเย็นวาบจนน่าใ
เพราะเหตุใด? ทั้งที่เป็พระโอรสเช่นเดียวกันคนอื่นสามารถใช้ชีวิตในตำหนักจินหลวนอย่างสุขสบาย ส่วนเขาและเสด็จพี่กลับต้องซุกตัวอยู่มุมหนึ่งในตำหนักเย็นเพราะเหตุใดเขาต้องฉกฉวยแย่งชิงทุกอย่างด้วยตนเอง? เพราะเหตุใด?
เวลานี้เส้นผมสีน้ำหมึกปลิวสยายร่างในชุดขาวอาบย้อมไปด้วยรอยโลหิตนับไม่ถ้วนหากมองจากระยะไกลเกิดเป็ภาพดุจบุปผากำลังผลิบานเดิมทีควรเป็เด็กน้อยงดงามราวกับเซียนน้อยข้างกายเ้าแม่กวนอิมแต่เวลานี้ดวงตาดุจหยกสีน้ำหมึกคู่นั้นเต็มไปด้วยโลหิตและรังสีอำมหิตเขามีสภาพราวกับเทพสังหารเลยทีเดียว
กระบี่ฟาดฟันลงไป โลหิตอุ่นคาวสาดกระเซ็นอยู่บนใบหน้าขาวดุจหยกของเขาเดิมทีเขาเม้มริมฝีปากแน่น แต่เวลานี้กลับปรากฏรอยยิ้มอย่างไร้สาเหตุ
หากนี่คือเส้นทางที่เขาต้องเดิน เพื่อเสด็จพี่แล้ว เขาจะมุ่งหน้าเดินต่อไป
สักวัน ไม่ว่าจะเป็ฮองเฮา พระโอรส หรือแม้กระทั่งฮ่องเต้ไม่ว่าจะตัดสินใจลงโทษหรือให้อภัย ล้วนขึ้นกับความ้าของเขา
ซินเอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง เวลานี้ไม่มีใครคิดถึงนางชั่วคราวนางจึงสามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้
ผู้คนในยุคสมัยนี้ไม่เคยให้ความสำคัญกับชีวิตของคนรับใช้จึงไม่มีทางใช้นางมาข่มขู่กงอี่โม่ได้เลย ตอนนี้เรือนเหลิ่งชิวมีสภาพเละเทะผู้บุกรุกทั้งสี่เสียชีวิตไปแล้วสามคนพวกเขาเริ่มต่อสู้จากในห้องจนกระทั่งไล่ไปถึงบริเวณสวน
กระบี่ยาวในมือของกงอี่โม่ถูกตวัดเป็ประกายดูเหมือนนางสงบนิ่งไม่ร้อนใจ มุมปากของนางยกยิ้มอย่างไม่ไยดีนางยังมีเวลากล่าวเย้ยหยันอีกฝ่าย
“เห็นเ้ามีอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเองแล้ว คาดว่าเ้านายของเ้าต้องให้ความสำคัญกับเ้าอย่างแน่นอนแต่น่าเสียดาย เ้านายของเ้ารู้หรือไม่ว่าเ้ามีความสามารถอ่อนด้อยเช่นนี้สังหารเด็กน้อยสักคนยังต้องหาตัวช่วยอีก”
บุรุษชุดดำสี่คนที่บุกเข้ามา เวลานี้เหลือเพียงเขาคนเดียวทว่าเขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด เนื่องจากลองคำนวณเวลาแล้ว คนอื่นๆน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะสังหารองค์หญิงพระองค์นี้ก่อนจากนั้นค่อยไปสังหารพระโอรสที่เพิ่งหนีไปพระองค์นั้น
เขาไม่กังวลว่ากงเจวี๋ยจะหนีรอดไปได้เพราะหากพระราชวังแห่งนี้สามารถบุกทะลวงได้ง่ายขนาดนั้นถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้คงตไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หรือบางทีอาจไม่ต้องถึงมือเขาองค์ชายน้อยอาจตายอยู่ในวังด้วยฝีมือของคนอื่นไปเสียก่อน
หลิ่วโม่มองเด็กหญิงตัวน้อยเบื้องหน้าเขารู้สึกนับถืออีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้ เวลานี้อีกฝ่ายร่างกายเต็มไปด้วยรอยโลหิตทว่ากลับเอ่ยวาจากับเขาอย่างสง่าผ่าเผย การกระทำของนางก็เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้นเอง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแ่เบาดังมาจากระยะไกล หลิ่วโม่จึงถอนหายใจเขาส่งยิ้มอย่างเ็าพร้อมเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าคนของข้าจะมาถึงก่อนวันนี้เ้าถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตายอยู่ที่นี่”
เพียงไม่นาน กลุ่มคนสิบสองนายเดินเข้ามาอย่างช้าๆท่ามกลางความมืดมิด พวกเขาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหลิ่วโม่แม้ว่ามองไม่เห็นสีหน้าของหลิ่วโม่ แต่ก็สามารถฟังออกว่าเขาลำพองใจขนาดไหน
“ยังคิดจะรอองค์ชายน้อยพาคนมาช่วยเ้าอีกหรือ? ช่างเป็ความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระยิ่งนักบางทีในขณะที่ฝ่าายังไม่ทราบเื่นั้นเขาก็คงถูกคนสังหารอยู่ที่สามด่านสำคัญแล้ว ตอนนี้เกรงว่าคงจะสิ้นใจไปแล้ว”
หากเป็เช่นนี้ พวกเ้าก็ประเมินฮ่องเต้พระองค์นี้ไว้ต่ำเกินไป
กงอี่โม่มองบุรุษชุดดำที่เพิ่งปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของนางดวงตาของพวกเขาสะท้อนประกายอำมหิต นางหัวเราะด้วยท่าทีอ่อนล้าเล็กน้อย“อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าพวกเ้าจะสังหารข้าก่อน? หรือเขาจะพาคนมาช่วยข้าได้ก่อน? ”
หลิ่วโม่หรี่ดวงตาทั้งสองข้าง “สังหาร”
——
สิบห้านาทีผ่านไป นอกจากกงเจวี๋ยแล้วในบริเวณด่านหานเยว่ไม่มีใครสักคนที่ยังคงยืนอยู่ ท้องฟ้ามีเม็ดฝนโปรยปรายคละคลุ้งไปด้วยโลหิต อาบย้อมแม่น้ำในพระราชวังจนกลายเป็สีแดงฉาน
สถานการณ์ไม่ควรเป็เช่นนี้ทั้งพระราชวังมีทหารอารักขาอยู่ห้าพันนายส่วนนี้ยังไม่นับรวมราชองครักษ์ในพระองค์และองครักษ์ลับทว่าเวลานี้กลับปล่อยให้เขาสังหารคนเหล่านี้โดยไม่มีใครเข้ามาขัดขวาง
กงเจวี๋ยเข้าใจแล้ว ดวงตาดุจประกายไฟจ้องไปทางตำหนักจาวหยาง ทว่าเขาเพิ่งก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวร่างของเขาพลันทรุดลง กระบี่เรียวค้ำบนพื้น เขาคุกเข่าข้างเดียว
ความเ็ปไปทั้งร่างกอปรกับความรู้สึกว่างเปล่าที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้ว่าเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้วทว่าเมื่อคิดถึงผู้ที่ยังอยู่ในตำหนักเย็นอย่างกงอี่โม่ กงเจวี๋ยจึงกัดฟันลุกขึ้นมาเส้นผมสีน้ำหมึกแนบติดหน้าผาก ท่ามกลางผมเผ้ายุ่งเหยิงสิ่งที่เป็ประกายน่าตกตะลึงก็คือดวงตาสีน้ำหมึกของเขา
เขาจะต้องเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ
เมื่อผ่านด่านหานเยว่แล้วเขาก็ผ่านด่านเฉียนหลงด้วยสภาพโลหิตอาบกาย สุดท้ายจึงมาถึงด่านเจ๋อเทียน ร่างเล็กๆของเขากลายเป็มนุษย์โลหิตอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้เขายืนหยัดอย่างหยิ่งผยองและดื้อรั้น มองผู้คนที่ขวางทางเขาด้วยสายตาเคียดแค้น
เพราะอะไรจึงต้องขวางเขาไว้? เพราะอะไร?!
บุคคลเบื้องหน้าคือขันทีหนวดเคราและเส้นผมสีขาวโพลนผู้หนึ่งกงเจวี๋ยจำเขาได้ เขาคือฉางสี่ บุคคลอันดับหนึ่งผู้อยู่ข้างกายฮ่องเต้
เวลานี้เขาถอนหายใจด้วยใบหน้าเคร่งเครียดจากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นราวกับกำลังปลอบเด็กน้อยดื้อรั้นคนหนึ่ง “ขอทูลถามองค์ชายไม่ทราบว่าองค์ชายเก้าบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยเหตุอันใด?”
กงเจวี๋ยสะบัดกระบี่เรียวในมือเบาๆหยาดโลหิตสีแดงเข้มกระเซ็นลงบนพื้นเขาต้องใช้พลังเฮือกสุดท้ายจึงสามารถยืนหยัดอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ไม่เหลือพลังใดๆอีกแล้ว เขามองด้วยั์ตาแดงก่ำ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“ข้ามีเื่ด่วนขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ หวังว่ากงกง* จะช่วยกราบทูล”
เขามองฉางสี่ด้วยสายตาอ้อนวอน เขาไม่มีเวลาแล้วหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไปเขาเชื่อว่าที่เขาสามารถเดินมาถึงจุดนี้จะต้องเป็สิ่งที่เสด็จพ่อทรงเห็นด้วยอย่างแน่นอนเช่นนั้นเสด็จพ่อน่าจะทรงอนุญาตให้เขาเข้าเฝ้าสิ
แต่ใครจะรู้ ฉางสี่กลับส่ายศีรษะ เขาถอนหายใจพร้อมเอ่ยขึ้น“เชิญองค์ชายเก้ากลับตำหนักเย็นเถิด ฝ่าามีรับสั่งวันนี้เป็วันเฉลิมฉลองจึงงดเว้นโทษปะาที่องค์ชายบุกเข้ามาในวัง หากมีครั้งหน้าปะาโดยไม่มีการต่อรอง”
ปะาโดยไม่มีการต่อรอง
ประโยคนี้ไหลเข้าสู่พลังภายใน มันวนล้อมอยู่รอบด่านเจ๋อเทียนราวกับถูกกำแพงกดทับอยู่้า ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังจนถึงที่สุด
* กงกง เป็คำที่ใช้เรียกขันที