ดวงตาของกงเจวี๋ยคู่นั้นแทบมีโลหิตหยดออกมา
เขาจ้องเขม็งไปที่ฉางสี่เป็จุดเดียวความโกรธและความไม่ยินยอมผุดขึ้นอย่างมหึมา จากนั้นจึงกดทับเขาจนแทบทำให้เขาจมลงไป
นี่คือเสด็จพ่อที่เขาเคยรู้สึกโหยหาในบางครั้งด้านหนึ่งกำลังฉลองให้กับบุตรชายที่เพิ่งเกิดด้านหนึ่งกลับกล่าวกับบุตรชายอีกคนว่าให้ปะาโดยไม่มีการต่อรองราชสกุลไร้ความเมตตา เป็การเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ความเป็ธรรม
ในเมื่อเป็เช่นนี้เพราะเหตุใดจึง้าให้เขาเดินมาถึงจุดนี้? เล่นตลกกับเขาหรือ?
เมื่อได้ยินเสียงบรรเลงอย่างชัดเจนอยู่ข้างหูกงเจวี๋ยพลันหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ั์ตาของเขาไร้ความเ็ปอย่างสิ้นเชิงเขามีเพียงการสังหาร ถึงต้องตาย เขาก็ต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้จงได้ เขาเชื่อว่าฮ่องเต้ไม่มีทางทนมองคนอื่นสังหารบุตรของตนต่อหน้าต่อตา
ฉางสี่คาดไม่ถึงว่าเวลานี้กงเจวี๋ยยังคงมีเรี่ยวแรงอยู่ เขาก็เป็คนหนึ่งที่มีวรยุทธ์อีกทั้งยังเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของฝ่ายในแล้วเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเวลานี้กงเจวี๋ยไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีกแล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งกระบี่เรียวออกมา ฉางสี่สะบัดแส้ในมือพร้อมกล่าวขึ้น
“องค์ชายท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกระหม่อม ขอให้ท่านกลับไปเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าผู้ที่ตกอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งอย่างกงเจวี๋ยกลับไม่ได้ยินเสียงนี้เลยสักนิดสมองของเขามีแต่คำว่าสังหาร สังหาร! สังหาร!! ขอเพียงเขาสังหารคนเป็จำนวนมากพอ ฮ่องเต้ต้องเสด็จออกมา แม้ว่าอาจเสด็จมาเพื่อสั่งปะาเขาก็ตาม
เดิมทีสายลมและธรรมชาติเป็วรยุทธ์สงบนิ่ง ทว่ายิ่งใช้มันกงเจวี๋ยกลับมีพลังพิฆาตแผ่กระจาย ความเ็ปแผ่ซ่านจากแขนขาไม่รู้หยดน้ำฝนหรือหยาดโลหิตทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัว กระบี่ในมือหนักขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่ออกกระบวนท่ากลายเป็ความหนักหน่วงราวกับภูผา ใน่เวลาเช่นนี้จิตใจของเขามีแต่ความเคว้งคว้างว่างเปล่า ราวกับขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป
เขาช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เป็ตัวถ่วงให้กับคนที่เขาไม่้าเป็ตัวถ่วงมากที่สุดแม้กระทั่งภารกิจง่ายๆ อย่างการขอความช่วยเหลือเขายังทำไม่สำเร็จเขาจะมีหน้าไปอยู่ข้างกายเสด็จพี่ได้อย่างไร? ครั้งนี้เขาได้รับการปกป้องจากเสด็จพี่ แล้วครั้งหน้า? ครั้งถัดๆ ไปล่ะ?
เมื่อคิดว่าต่อไปกงอี่โม่ต้องตกอยู่ในอันตรายโดยมีเขาเป็ต้นเหตุอีกครั้งกงเจวี๋ยไม่สามารถให้อภัยตนเองได้เลย เขาควรทำอย่างไรจึงจะสามารถแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเขา้ากลายเป็ผู้แข็งแกร่ง เขา้าแข็งแกร่งมีพลังมากกว่าเดิม
เขามีคนที่เขา้าปกป้อง
ราวกับมีพลังบางอย่างไหลเข้าสู่ลมปราณของเขากงเจวี๋ยพลันรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่างกาย ในสถานการณ์เช่นนี้เขากลับก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมแล้วส่วนฉางสี่ที่กำลังรับมืออยู่พลันรู้สึกประหลาดใจจนต้องร้อง “เอ๊ะ” ขึ้นมาหนึ่งคำ
ชั่วขณะที่กำลังตกตะลึงนั้น เขากลับถูกกงเจวี๋ยแทงเข้าที่แขนจนเกิดาแเขานิ่งงันไปทันที สิบกว่าปีมาแล้ว เขาเกือบลืมความรู้สึกเวลาาเ็ไปเสียแล้ว ส่วนกงเจวี๋ยยังไม่พอใจที่ทำให้อีกฝ่ายแค่าเ็ เพราะสิ่งที่เขา้าคือสังหารบุคคลผู้นี้
เวลานี้เสียงหัวเราะทุ้มต่ำมีน้ำหนักพลันดังลอยมา เมื่อรับมือกระบวนท่านี้แล้วฉางสี่จึงรีบถอยออกไปหลายสิบเมตรเขาก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อมพร้อมกล่าวขึ้นเสียงสูง “ขอน้อมต้อนรับฝ่าา”
ฝ่าาเสด็จพ่อ?
กงเจวี๋ยรู้สึกหัวใจเบาโหวงในทันใดสีหน้าแสดงอาการตกตะลึง
เนื่องจากประตูตำหนักเปิดกว้างเสียงบรรเลงจากตำหนักจาวหยางจึงลอยออกมาอย่างชัดเจน เวลานี้ร่างของกงเจวี๋ยพลันโงนเงนแทบคุกเข่าล้มลง เขาฝืนตัวเบิ่งตามองตรงไป เห็นเพียงแสงตะเกียงกะพริบวิบวับสว่างใกล้เข้ามาขณะที่แสงและเงาตัดผ่านนั้น คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาทางเขา ส่วนบุรุษผู้ที่เดินนำหน้าสุดมีมงกุฎสวมอยู่บนศีรษะเสื้อคลุมัสีทองอร่ามสะท้อนท่ามกลางแสงตะเกียงจนเกิดเป็ประกายระยิบระยับ
ดูเหมือนกงเซิ่งจะเล่นสนุกพอแล้วเขาสาวเท้ายาวๆ เดินนำมาที่หน้าตำหนัก เวลานี้พระสนมชายาขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ติดตามเขามาต่างยืนอยู่บนบันไดส่วนกงเจวี๋ยยืนอยู่ด้านล่างเพียงคนเดียว ฝ่ายหนึ่งมีผู้คนมากมาย สูงส่งสง่างามฝ่ายหนึ่งโดดเดี่ยวหนาวสั่น าแเต็มตัว
“เ้าคือบุตรลำดับที่เก้าของข้า?”
“เ้าทำร้ายองครักษ์ บุกรุกพระราชวังต้องห้าม เ้าไม่กลัวตายหรือ?” ดูเหมือนกงเซิ่งคิดไม่ออกว่าบุตรคนนี้ชื่ออะไรเขาส่งยิ้มอย่างเ็า
รอยยิ้มของฮ่องเต้รวมทั้งสายตาของพระสนมชายา องค์ชาย องค์หญิงที่ทอดมองมาที่กงเจวี๋ยอย่างหยิ่งยโสทำให้กงเจวี๋ยรู้สึกอดสูจนถึงที่สุด
ร่างเล็กผอมบางยืนท่ามกลางสายลมหนาวมือของเขากำลังสั่นไหว สายตาแฝงด้วยความเย้ยหยันและเจตนาร้ายทำให้กงเจวี๋ยต้องหลับตาลงอีกครั้งเขาต้องอดทน เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวในพระราชวัง เขาต้องอดทนเพื่อเสด็จพี่ของเขา
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้นเขาพลันย่อตัวลง คุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น ทว่าศีรษะกลับเชิดสูง น้ำเสียงแหบพร่าดวงตามองไปที่ร่างในชุดสีทองอร่าม เขาเอ่ยขอร้องเสียงดัง “เสด็จพ่อโปรดช่วยเสด็จพี่ด้วยเถิดตำหนักเย็นมีนักฆ่าลอบสังหาร เสด็จพี่ตกอยู่ในอันตราย เสด็จพ่อโปรดช่วยชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่ได้แก้ตัวให้ตนเองทุกคำทุกเสียงล้วนเป็การเอ่ยข้อร้องให้ฮ่องเต้ช่วยชีวิต กงเจวี๋ยเป็คนหยิ่งยโสดื้อรั้นแม้เขากำลังคุกเข่าข้างเดียว แต่เขาก็ไม่ยอมลดศีรษะอันหยิ่งผยองของตนลง
ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาขบขันช่างดื้อรั้นหยิ่งยโสเสียจริง แต่น่าเสียดายในพระราชวังแห่งนี้ไม่้าสิ่งนี้เป็ที่สุด ดังนั้นสายตาของเขาจึงเต็มไปด้วยความเวทนาแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
อำนาจบารมีของฮ่องเต้แผ่ปกคลุมออกไปเรื่อยๆ แม้ว่ามองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแต่กงเจวี๋ยััได้ถึงความเย้ยหยันจากเขา ฮ่องเต้ก้มมองเขาจากเบื้องสูงราวกับกำลังมองมดตัวกระจิริดตัวหนึ่งอีกทั้งยังเป็มดที่ล่วงเกินอำนาจบารมีของฮ่องเต้
กงเจวี๋ยได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากหญิงสาว ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างช่วยดลใจในชั่วพริบตาเขา... เข้าใจแล้ว กงเจวี๋ยไม่ลังเลแม้สักนิด รีบขยับชายชุดของตนในที่สุดเขาก็คุกเข่าลงทั้งสองข้าง อีกทั้งยังโขกศีรษะลงกับพื้น
“เสด็จพ่อโปรดช่วยเสด็จพี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาโขกศีรษะลงกับขั้นบันไดเบื้องหน้าเสียงกระแทกก้องกังวาน แม้แต่ฮ่องเต้ที่อยู่เหนือขั้นบันไดก็ทรงได้ยินอย่างชัดเจน
ทุกครั้งที่โขกศีรษะหนึ่งครั้งเขาก็เอ่ยเสียงดังหนึ่งครั้ง เสด็จพ่อโปรดช่วยชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ น้ำเสียงร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆยิ่งเศร้าโศกมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับแต่ละคำอาบย้อมด้วยหยาดน้ำตาสีโลหิต ผู้คนด้านข้างมองไม่เห็นสีหน้าของเขาทว่าต่างทราบดีว่าเขาโขกศีรษะแรงเพียงใด
หน้าผากมีโลหิตไหลออกมาอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย ไม่เป็ไรเขาไม่เป็ไรจริงๆ เขาได้เข้าเฝ้าฝ่าาแล้ว ขอแค่เขาขอร้องก็พอแล้วเพื่อความเป็ความตายของเสด็จพี่ การลดตัวโขกศีรษะไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร หรือให้เขาขอร้องอ้อนวอนโดยไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆก็ไม่เป็อะไร มันไม่ใช่เื่สำคัญเลย
เมื่อเห็นบุตรของตนโขกศีรษะอยู่บนบันไดส่งเสียงขอร้องอ้อนวอน แม้จะเป็คนจิตใจเ็าอย่างกงเซิ่งก็เริ่มเห็นใจเล็กน้อย ความไม่พอใจที่กงเจวี๋ยสังหารคนในก่อนหน้านี้จึงค่อยๆจางหายไป เวลานี้เขาอยากรู้ว่า เด็กคนนั้นมีลักษณะเช่นไรจึงทำให้เด็กน้อยเบื้องหน้ายอมอ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือโดยไม่สนใจชีวิตของตนเอง
กงเซิ่งหรี่ตาเล็กน้อยในที่สุดจึงเอ่ยออกมา “อ้อ? ข้ายังมีบุตรสาวอยู่ในตำหนักเย็น? นางชื่ออะไร?”
เป็การกล่าวอย่างช้าๆแต่ฟังแล้วช่างน่าโกรธแค้น กงเจวี๋ยได้ยินแล้วพลันตกตะลึง เขาไม่ได้โขกศีรษะอีกทว่ากลับลุกขึ้นยืน โลหิตไหลย้อยตามข้างแก้มหยดลงกับพื้น มือที่อยู่ข้างตัวพลันกำหมัดแน่นเขามองฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงส่ง สายตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน เขากล่าวเสียงสั่นเพราะความหนาวเย็น
“เสด็จพ่อตอนนั้นท่านพระราชทานนามให้นาง ‘อี่โม่’ เพราะพอพระทัยร่วมครองรักกับเสวี่ยเฟยทว่าตอนนี้เสวี่ยเฟยเพิ่งสิ้นพระชนม์ไปเจ็ดปี ท่านทรงลืมนามนี้ไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เขากล่าวอย่างเจ็บใจคำพูดประชดประชันแกมโกรธจัดทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของกงเซิ่งพลันเกร็งค้างในชั่วพริบตาสีหน้ากลายเป็ความเคร่งขรึมจนถึงที่สุด ส่วนฮองเฮาที่อยู่ด้านข้างแสดงความอาฆาตในดวงตาเป็ความริษยาที่ไม่อาจปิดบังได้เลย
จักรพรรดิแห่งยุคครองรักกับสตรีนางอื่นแล้วนางผู้เป็ฮองเฮาจะอยู่ในตำแหน่งเช่นไร?
ผ่านไปนานมาก กงเซิ่งจึงส่งยิ้มน้อยๆ “น่าสนใจ น่าสนใจ เช่นนั้นข้าก็อยากรู้จริงๆว่าใครกัน กล้าสังหารบุตรของข้าในอาณาเขตของข้า”
ขณะที่กล่าวออกมานั้นเขามองไปทางฉางสี่ด้วยสายตาดุดัน “เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปตำหนักเย็นด้วยตนเองส่วนคนอื่นก็ให้ตามข้าไปทั้งหมด”