ความคิดเช่นนี้ทำให้กงเจวี๋ยตะลึงงัน
เขายังไม่ทันทำความเข้าใจว่าความรู้สึกเช่นนี้หมายความเช่นไรกันแน่กงอี่โม่พลันปิดปากเขาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาคู่นั้นเหลือบมองบนหลังคา
“มีคน!”
มือของนางอ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอมหวานจากขนมเปี๊ยะมงคลติดมากงเจวี๋ยเหม่อลอยไปชั่วขณะ จากนั้นเขาจึงเพิ่งได้ยินเสียงแ่เบาจากบนหลังคา
ฝีเท้าของคนเ่าั้เบามากพวกเขาเดินมาถึงชายคาและะโลงมาอย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้กงอี่โม่ลงมือในทันใด
นางซัดกระบี่สั้นในมือออกไปแทงหน้าอกของใครคนหนึ่งตรงนอกหน้าต่างโดยตรง เมื่อเห็นสหายของตนสิ้นใจนักฆ่าคนอื่นๆ ต่างทยอยเปลี่ยนสีหน้าทันทีเดิมทีพวกเขาคิดว่าภารกิจครั้งนี้เป็เพียงภารกิจง่ายดายชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ไม่รู้ว่าผู้มีอำนาจฝ่ายไหนกำลังคอยปกป้องพระโอรสที่ถูกลืมพระองค์นี้
เดิมทีพวกเขาคิดไว้ว่าพวกตนสามารถจัดการได้อย่างเงียบเชียบแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็ไปไม่ได้แล้ว บานหน้าต่างแตกออกบุรุษชุดดำสามสี่คนบุกเข้ามา เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้ามีเพียงหนึ่งผู้ใหญ่สองเด็กสองรวมเป็สามเท่านั้นพวกเขาต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง
ทว่ากงเจวี๋ยไม่ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ตั้งตัวเขาหยิบกระบี่เรียวเล่มหนึ่งแทงออกไป ส่วนกงอี่โม่ผลักซินเอ๋อร์ไปอีกทางนางร่วมต่อสู้ด้วยเช่นกัน
หัวหน้าบุรุษชุดดำคาดไม่ถึงจริงๆว่าเด็กน้อยที่เคยคิดว่าถูกเลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ทั้งสองจะมีฝีมือสูงมากเช่นนี้
เมื่อคิดถึงหลิ่วเสียนเฟย ดวงตาของเขาพลันเป็ประกายพิฆาตตอนนี้บุตรของอ๋องแดนประจิมเดินทางใกล้ถึงแล้ว หากองค์ชายเก้ายังไม่ตายต่อไปอาจมีการตรวจสอบเื่ราวทั้งหมดจนเป็ภัยคุกคามต่อพระชายาและองค์ชายอย่างแน่นอนเบื้องหน้าเป็เพียงเด็กน้อยสองคนเท่านั้นวันนี้เขาต้องสังหารตัวอันตรายแอบแฝงทั้งสองนี้ให้จงได้
เมื่อเริ่มต่อสู้กัน กงอี่โม่รู้สึกได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนักคนที่บุกเข้ามามีฝีมือสูงทีเดียว อีกทั้งทุกกระบวนท่าต่างพุ่งตรงไปที่กงเจวี๋ยไม่รู้ว่าใครที่มีความคิดรอบคอบระมัดระวังและวางแผนใหญ่โตถึงเพียงนี้เพราะอีกฝ่ายลงมือโหดกับเด็กน้อยคนหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
ส่วนกงเจวี๋ยยังไม่เคยต่อสู้จริงมาก่อนตอนแรกเขาจึงออกกระบวนท่าไม่ถนัดนัก ภายหลังจึงชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆร่างเล็กพลิกตัวลอย เขาร่วมต่อสู้อย่างเต็มที่
ยิ่งต่อสู้หัวหน้าบุรุษชุดดำก็ยิ่งตกตะลึง
ไม่รู้ว่าใครเป็ผู้สอนวรยุทธ์ให้กับเด็กน้อยทั้งสองนี้คาดไม่ถึงว่าเด็กน้อยทั้งสองจะมีฝีมือยอดเยี่ยมมาก หากเป็เช่นนี้ต่อไปภารกิจของพวกเขาต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงแอบส่งสัญญาณลับ จากนั้นต่อสู้กับกงอี่โม่อีกครั้งเขารวบรวมพลังเป็จุดเดียวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ที่อีกฝ่ายเป็เพียงเด็กหญิงอายุสิบขวบคนหนึ่งแต่นางสามารถต่อสู้กับเขาโดยไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแม้แต่น้อย
ทว่าไม่เป็ไร เขาส่งสัญญาณลับเรียกตัวคนอื่นๆ มาสมทบเรียบร้อยแล้วคืนนี้เขาต้องสังหารเด็กน้อยทั้งสองที่อยู่ตรงนี้ได้อย่างแน่นอน
กงอี่โม่สังเกตเห็นการกระทำของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันนางแอบร้อนใจอย่างหนัก หากมีเพียงไม่กี่คนตรงหน้านี้นางเชื่อว่านางสามารถจัดการได้อย่างแน่นอน ทว่าหากมีคนตามมาช่วยอีกหลายคนย่อมกลายเป็ปัญหายากทันทีเวลานี้นางเหลือบเห็นกงเจวี๋ยถูกแทงาเ็บริเวณบ่าพอดีนางจึงรีบตวัดกระบี่รับไว้อย่างรวดเร็ว นางจับตัวเขาโยนออกไปนอกหน้าต่างสุดกำลังพร้อมร้องะโเสียงดังโดยไม่ได้หันหน้ากลับไป
“ข้าจะรับมือที่นี่เอง กงเจวี๋ย ไปหาเสด็จพ่อ”
ไปหาเสด็จพ่อ?
ขณะที่กงเจวี๋ยคิดจะจับกระบี่พุ่งตัวกลับไปนั้นเขากลับได้ยินคำพูดของกงอี่โม่ เวลานี้เขาถูกกระบี่แทงตรงหัวไหล่โลหิตไหลทะลักราวกับสายน้ำ แต่ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ เขาก็ไม่เคยคิดไปหาบุรุษผู้นั้นถึงเขาต้องตาย เขาก็ยอมตายพร้อมกงอี่โม่อย่างไม่เกรงกลัว
เมื่อเห็นเช่นนี้มีบุรุษชุดดำคิดออกไปจากที่นี่เพื่อไปรายงานกับทางเขตพระราชฐานชั้นในแต่ถูกกงอี่โม่ขวางไว้ได้ทัน แต่แล้วพลันมีบุรุษชุดดำอีกคนพุ่งโจมตีไปที่กงเจวี๋ยกงอี่โม่ลอยตัวขวางตรงด้านหน้าของหน้าต่างท่าทีของนางราวกับพร้อมต้านคนนับหมื่นด้วยตัวคนเดียว ใบหน้าเล็กๆดูจริงจังและมุ่งมั่น เป็ความมุ่งมั่นที่กงเจวี๋ยไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
เขาพลันรู้สึกบีบหัวใจ หากไม่ใช่สถานการณ์คับขันแล้วเสด็จพี่ไม่มีทางฝืนทนเช่นนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กงเจวี๋ยจึงไม่สนใจสิ่งอื่นๆ อีกเขารีบวิ่งตรงไปยังตำแหน่งที่เจริญที่สุดในพระราชวัง
เสด็จพี่ ท่านต้องรอข้านะ ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็ว อีกไม่นาน
ตำแหน่งที่เจริญที่สุดในพระราชวังก็คือบริเวณตำหนักจาวหยางเวลานี้ฮ่องเต้เพิ่งมีพระโอรสพระองค์ใหม่ เป็่เวลาที่พอพระทัยมากพระองค์สั่งการให้จัดงานเฉลิมฉลองสามวัน เป็การร่วมเฉลิมฉลองทั้งแผ่นดิน
เสียงซือจู๋** และเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขได้ยินมาแต่ไกลเสียงชนจอกสุราดังกรุ๊งกริ๊งเสื้อผ้าอาภรณ์และแสงตะเกียงทั่วทั้งห้องเกิดเป็ภาพสวยงามระยิบระยับจนถึงที่สุดเมื่อเทียบกับตำหนักเย็นฝั่งตะวันตกส่วนที่ลึกที่สุดแห่งนั้นแล้วจึงกลายเป็ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ปีนี้กงเซิ่งมีอายุสี่สิบห้าปีทว่าเนื่องจากใช้ชีวิตสุขสบายอย่างยาวนาน เขาจึงดูเหมือนเพิ่งอายุสามสิบต้นๆเท่านั้น เขามีคิ้วเข้มั์ตาโต รูปร่างสูงไหล่กว้าง อำนาจบารมีสูงส่งสายตาเหลือบแลใต้หล้าอย่างหยิ่งผยองซึ่งผู้ผ่านประสบการณ์ในสนามรบเท่านั้นจึงจะมีลักษณะเช่นนี้ นี่คือโอรส์ไม่มีใครสงสัยในจุดนี้
เวลานี้เขากำลังหนุนอยู่บนหน้าตักของพระสนมชายานางหนึ่งด้านข้างมีเหม่ยเหริน* นางหนึ่งคอยพัดโบกอีกด้านมีเหม่ยเหรินป้อนเครื่องคาวหวาน ส่วนเขากำลังชมนางกำนัลกำลังร่ายรำท่าทางไม่ค่อยสนพระทัยนัก อีกทั้งยังหาวเป็ระยะๆ
เหม่ยเหรินที่โบกพัดคลี่ยิ้มเล็กน้อย นางเอ่ยถามเสียงเบา“ฝ่าาทรงล้าหรือเพคะ?”
“ก็แค่รู้สึกเบื่อเท่านั้น” กงเซิ่งผู้อดทนกับสาวงามอยู่เสมอทอดถอนหายใจ
เหม่ยเหรินนางนั้นยังไม่ทันกล่าวอะไร ขันทีาุโหนวดเคราและเส้นผมสีขาวโพลนก็เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อนเขาโน้มศีรษะกระซิบอยู่ประโยคหนึ่ง แต่กลับทำให้ฮ่องเต้ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น
“อ้อ? ข้าลืมไปแล้วว่ายังมีบุตรอีกคน”ขณะรับสั่งนั้น เขาจึงสั่งการเสียงเบาไปสองสามประโยค
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เขตพระราชฐานชั้นในมียอดฝีมือมากมายกงเจวี๋ยไม่สามารถเข้าใกล้ตำหนักส่วนกลางได้เลย เนื่องจากเขาเป็พระโอรสคนเ่าั้ไม่สามารถสังหารเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครทำร้ายเขา
ค่ำคืนต้นวสันตฤดูอากาศหนาวเย็นเล็กน้อย กงเจวี๋ยกำลังเผชิญหน้ากับทหารองครักษ์ในชุดสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งปลายหอกสีเงินเล็งมาที่เขา กงเจวี๋ยกุมกระบี่เรียวในมือไว้แน่นอย่างอดไม่ได้เขากล่าวเสียงดัง “ข้าคือกงเจวี๋ยพระโอรสลำดับที่เก้ามีเื่ด่วนขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
หัวหน้าองครักษ์สบถเสียงเย็น “หากไม่มีรับสั่งของฝ่าาห้ามเข้าด้านในอย่างเด็ดขาด”
ดวงตาเ็าของกงเจวี๋ยพลันสะท้อนประกายร้อนใจเพียงคิดว่ากงอี่โม่กำลังรับมือกับนักฆ่าเ่าั้ด้วยตัวคนเดียวในตำหนักเย็นอีกทั้งนักฆ่าเ่าั้ยังมีเป้าหมายอยู่ที่เขา เขาก็ยิ่งร้อนใจและแค้นใจเขาไม่สามารถพูดจาไร้สาระได้อีก ดังนั้น จึงจับกระบี่พุ่งขึ้นไปโดยตรง
องครักษ์เ่าั้คาดไม่ถึงว่าพระโอรสน้อยเบื้องหน้าจะมีวรยุทธ์อีกทั้งยังมีฝีมือยอดเยี่ยม พวกเขาได้รับคำสั่งให้ขวางไว้ที่นี่ในขณะเดียวกันก็ส่งคนเข้าไปรายงานอย่างเร่งด่วน
ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือพวกเขาไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้เลย
องครักษ์หนึ่งหน่วยมีสิบสองนาย หักลบผู้ที่ออกไปรายงานหนึ่งนายถึงพวกเขาลงมือพร้อมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงเจวี๋ย
โลหิตสาดกระเซ็น องครักษ์พบว่าอีกฝ่ายไม่คิดออมมือแม้แต่น้อยพวกเขาจึงรีบเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ป้องกันตัว ทว่าความสามารถยังคงแตกต่างเช่นเคยกงเจวี๋ยบุกโจมตีสุดชีวิต พวกเขาเริ่มรับมือไม่เป็กระบวนท่าไม่ต้องกล่าวถึงการต้านทานอีกฝ่ายไว้ แม้กระทั่งการรักษาชีวิตของตัวเองก็ยังไม่ใช่เื่ง่ายเลย
ทว่านับั้แ่กงเจวี๋ยเริ่มสังหารคนแรกสถานการณ์การโจมตีพลันเปลี่ยนไป เกิดเป็ความนิ่งงันไปชั่วขณะจากนั้นจึงเป็การบุกจู่โจมอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
เวลานี้ไม่มีใครสนใจว่าอีกฝ่ายเป็พระโอรสหรือไม่แล้วหาก้ารอดชีวิต พวกเขาทำได้เพียงต้องต่อสู้สุดชีวิต
กงเจวี๋ยััได้กับความอุ่นของโลหิตที่กระเซ็นบนร่างของตนมือของเขาสั่นเล็กน้อย เดิมทีไม่จำเป็สังหาร ทว่าเขาใจร้อนเกินไปเขาหวาดวิตกมากเกินไป เขากลัวว่าเสด็จพี่อาจเกิดเื่ไม่คาดฝัน ดังนั้นเขาจึงจ้องเล่นงานถึงชีวิตในทุกกระบวนท่า
เพียงไม่นาน องครักษ์สิบเอ็ดนายถูกเขาสังหารไปแปดนายการสังหารองครักษ์ในพระราชวังอย่างเปิดเผยเช่นนี้ถือเป็การกระทำอย่างอุกอาจจนถึงที่สุด
ทว่ากงเจวี๋ยก็าเ็เช่นกัน ครึ่งร่าง่บนอาบย้อมไปด้วยโลหิตเขาไม่รู้ว่าเป็โลหิตของเขาหรือของใคร เวลานี้เขามองร่างบนพื้นที่ขาดใจหรือกำลังร้องครวญครางเขาตัวคนเดียวยืนอยู่ท่ามกลางสภาพเช่นนี้ เขามองอย่างนิ่งงัน ราวกับอยู่ในความฝัน
เขามองมือของตน กระบี่ในมือเต็มไปด้วยรอยโลหิตครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่เขาสังหารคน จังหวะที่กระบี่แทงทะลุลำคอ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันยังคงชัดเจนอยู่ในสมองของเขา
จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองจากระยะไกลมือที่กุมกระบี่เรียวบีบแน่นอีกครั้ง เขารีบวิ่งไปอย่างเร่งร้อน
ตอนนี้หากเวลาเดินช้าลงก็คงดีอยู่ไม่น้อย
* ช่วยคนดุจดับไฟ (救人如火) หมายถึงการช่วยชีวิตคนเป็เื่เร่งด่วน ห้ามล่าช้าเด็ดขาด
** ซือจู๋ (丝竹)เป็คำเรียกรวมเครื่องดนตรีประเภทสายและเครื่องดนตรีที่ทำด้วยไม้ไผ่แบบดั้งเดิมของชนชาติฮั่น
***
เหม่ยเหริน
(美人)
เป็หนึ่งในตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ