นาทีนี้จื่อเซียงรู้สึกว่าความอัปยศอดสูหลั่งไหลเข้ามาในใจ ทำให้สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธระคนความเขินอาย แต่นางกลับต้องอดทน คุกเข่าต่อหน้าหลันเซียงที่นางด่าทอว่าเป็คนสารเลว นี่เป็เื่น่าอัปยศอดสูสิ้นดี
ฉากนี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง จื่อเซียงคุกเข่าให้หลันเซียงจริง ๆ เพียงเพราะคำพูดของชายผู้นั้น ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก แม้แต่หลันเซียงก็ยังใ การกระทำของเย่เฟิงบ้าระห่ำมาก เขาสั่งให้จื่อเซียงคุกเข่าเพราะนาง แน่นอนว่าเฉินเซียงย่อมไม่ยอมแน่นอน
“ขอโทษเดี๋ยวนี้!”
เย่เฟิงไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองเขา แต่เขาตวาดใส่จื่อเซียงด้วยเสียงเย็นเยือก ทำจื่อเซียงรู้สึกอับอายขายหน้า นางอยากลุกขึ้นยืน แต่กลับรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างพันธนาการร่างตน จึงมิอาจขยับเขยื้อน
“คนเลว บังอาจมากำเริบเสิบสานที่เทียนเซียงหลิน ข้าจะทำให้เ้าชดใช้!”
เฉินเซียงเห็นเย่เฟิงไม่สนใจนางจึงเผยหน้าเขียว ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นด้วยเสียงเย็นะเื จากนั้นผู้คนเห็นเฉินเซียงหายตัวไปจากที่เดิม และไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของเย่เฟิงในนาทีต่อมา พร้อมวาดฝ่ามือจู่โจมเย่เฟิงโดยไร้ความปรานีใด ๆ ฝ่ามือนี้คือพลังที่แข็งแกร่งสุดของเฉินเซียง หมายปลิดชีวิตเย่เฟิงในคราเดียว
ซึ่งเฉินเซียงนั้นมีตำแหน่งระดับสูงที่ไม่ธรรมดาในเทียนเซียงหลิน ตบะขั้นยุทธ์เทวะที่ 1 พลังก็ย่อมแก่กล้าเป็ธรรมดา เพียงแค่การโจมตีเดียวของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะก็ไม่รู้ว่ามีพลังมากเพียงใด กระทั่งยากที่จะจินตนาการ
พลังฝ่ามือของเฉินเซียงพลอยทำให้ห้วงอากาศสั่นไหว พลังทำลายล้างแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ ฝ่ามือนั้นยังอัดแน่นไปด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดยังยากที่จะรอดชีวิตไปจากการโจมตีนี้ได้ จึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4
ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่เทียนเซียงก็ยังตอบสนองไม่ทัน นางอยากหยุดเฉินเซียง แต่กลับช้าไป นาทีนี้ผู้คนต่างใจเต้นระส่ำ ผู้าุโเฉินเซียงคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ ทั้งยังออกโรงจัดการเย่เฟิง เช่นนั้นเย่เฟิงผู้นี้จะรอดไปได้หรือ? เกรงว่าคงถูกผู้าุโเฉินเซียงฆ่าตายในหนึ่งวินาที
ขณะเดียวกันเย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ แม้เผชิญหน้ากับฝ่ามืออันทรงพลานุภาพของเฉินเซียงก็ตาม เป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ แต่เป็ฝ่ายลงมือทำร้ายผู้เยาว์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ก่อน นิสัยของคนผู้นี้ช่างต่ำทรามยิ่งนัก
แสงเยือกเย็นพลันปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง พร้อมพลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างเขา จากนั้นวาดฝ่ามือภูผาพิฆาตที่อัดแน่นไปด้วยพลังภูผาพิฆาตและพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลายเข้าโจมตีทันที เพียงหนึ่งการโจมตีก็มีพลังที่น่าทึ่งแล้ว
สองการโจมตีเข้าปะทะกัน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว เย่เฟิงรู้สึกว่ามีพลังทำลายล้างปีนป่ายตามแขน และบุกรุกเข้าสู่ร่างเขาในพริบตา ก่อนจะทำลายอวัยวะภายในของเขา
พลังทำลายล้างนั้นคือพลังเฉพาะที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะพึงมี เมื่อบรรลุขั้นยุทธ์เทวะก็เท่ากับก้าวเข้าสู่การเป็ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ศักยภาพทุกด้านจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็หลังมือ พลังกายล้วนเพิ่มพูน ทุกความสามารถก็ถูกยกระดับ
แม้ขั้นยุทธ์แท้กับขั้นยุทธ์เทวะดูอยู่ใกล้กันมาก แต่ความจริงกลับห่างไกลกันอยู่มากโข ประหนึ่งมีแม่น้ำกั้นอยู่ระหว่างสองระดับนี้ แต่ตราบใดที่ข้ามแม่น้ำสายนี้ได้ก็เท่ากับเข้าสู่เส้นทางของผู้แข็งแกร่ง และทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
แต่การบรรลุขั้นยุทธ์เทวะนั้นถือว่าเป็เื่ที่ยาก ในใต้หล้านี้สามารถพบเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ได้ทั่วไป แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะกลับพบเห็นได้น้อย แม้แต่กองกำลังอย่างเทียนเซียงหลินก็มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสิบกว่าคนเท่านั้น เห็นชัดว่ายากแค่ไหนที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้จะบรรลุขั้นยุทธ์เทวะได้ ดังนั้นพลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะจึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้จะทัดเทียม
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังทำลายล้างที่ไร้เทียมทานนั้น เย่เฟิงถูกสั่นคลอนจนถอยหลังไปหลายก้าว เืไหลออกมุมปาก ลมปราณแตกซ่านเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันเฉินเซียงก็แบกรับการโจมตีของเย่เฟิง นางตัวสั่นสะท้าน สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย นางรู้สึกว่ามีพลังทำลายล้างกำลังอาละวาดอยู่ในร่างนางด้วยความรวดเร็ว
นี่ทำให้เฉินเซียงเผยสีหน้าย่ำแย่และอดเซถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้ แม้จะดูดีกว่าเย่เฟิง แต่กลับถูกการโจมตีของเย่เฟิงซัดกระเด็นถอยหลัง ซึ่งทุกคนในที่แห่งนั้นล้วนเห็นกับตาตัวเองจนอดใไม่ได้เช่นกัน
“เป็ไปได้ยังไง? ชายผู้นี้ซัดผู้าุโเฉินเซียงจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ขั้นยุทธ์เทวะและขั้นยุทธ์แท้อยู่คนละชั้นกัน การโจมตีของผู้าุโเฉินเซียงเมื่อครู่ควรจะฆ่าอีกฝ่าถึงจะถูก แต่ไม่คาดคิดว่าพลังของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมากเพียงนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงสั่น คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาตกตะลึง
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะก็แค่นี้แหละ อยากให้ข้าชดใช้ เ้าคู่ควรแล้วหรือ!”
เย่เฟิงเช็ดเืที่มุมปากก่อนกล่าวเช่นนั้นขณะมองเฉินเซียง
จากการปะทะเมื่อครู่นี้ เย่เฟิงััได้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะน่าหวาดกลัวมากเพียงใด อย่างเช่นเฉินเซียงผู้นี้ เพียงแค่หนึ่งการโจมตีก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ทั่วไปจะต้านทาน
หากเย่เฟิงไม่มีพร์อันล้ำเลิศ พลังเหนือธรรมชาติ และพลังต่าง ๆ ที่คนระดับเดียวกันมิอาจควบคุมได้ เฉินเซียงคงฆ่าเขาตายได้ง่าย ๆ ในการโจมตีเมื่อครู่นี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเย่เฟิงก็ได้รับาเ็จากการปะทะครั้งนี้ เส้นลมปราณและอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้รับความเสียหายในระดับต่างกันไป
นี่ก็คือพลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ เย่เฟิงในเวลานี้ยังคงด้อยกว่าอยู่มากโข ถึงอย่างไรช่องว่างระหว่างตบะก็มิอาจชดเชยได้
อย่างไรก็ตามแม้เป็เช่นนั้น แต่จากการปะทะเมื่อครู่นี้แฝงความหมายที่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยเย่เฟิงก็ทราบดี ตอนนี้เขามีความสามารถพอที่จะต่อกรกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ แต่แค่ขั้นยุทธ์เทวะที่ 1 เท่านั้น หากเป็ขั้นยุทธ์เทวะที่ 2 หรือระดับสูง เย่เฟิงก็ยังคงรับมือไม่ได้
จากการปะทะกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะที่ 1 แม้เย่เฟิงจะรับมือได้ แต่ก็ทำได้เพียงป้องกันตัวเท่านั้น เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกอีกฝ่ายฆ่าตาย
เฉินเซียงเผยสีหน้าดูไม่ได้ แต่มองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนกล่าวว่า “คนเลว กำเริบเสิบสานยิ่งนัก ข้าต้องเอาชีวิตของเ้ามาให้จงได้!”
เมื่อสิ้นเสียง พลังปราณที่แข็งแกร่งกว่าเดิมพวยพุ่งออกจากร่างเฉินเซียง หมายพยายามลงมือจัดการเย่เฟิง
“พอได้แล้ว!”
ในเวลาเดียวกันนั้นมีเสียงเย็นเยือกดังมาจากบัลลังก์ ผู้พูดก็คือเทียนเซียงผู้เป็เ้าสำนักเทียนเซียงหลิน
ขณะนั้นเทียนเซียงลุกขึ้นยืน แม้เป็หญิงผู้งดงาม แต่กลับเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาม “ผู้าุโเฉินเซียง ท่านคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ แต่ลงมือจัดการผู้เยาว์ขั้นยุทธ์แท้ในตำหนักเทียนเซียงอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายซัดถอยหลัง เ้ารู้สึกขายหน้าบ้างไหม บัดนี้ยังดื้อดึงไม่ยอมอีกหรือไง?”
น้ำเสียงของเทียนเซียงเย็นะเืราวกับไม่พอใจกับการกระทำของเฉินเซียงเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างไรเย่เฟิงคือคนที่นางถูกใจ อีกอย่างเฉินเซียงและจื่อเซียงก็ทำเกินไปมากจริง ๆ
“เ้าสำนัก คนผู้นี้ดูถูกศิษย์เทียนเซียงหลิน หรือไม่ควรลงโทษ?” เฉินเซียงกล่าวด้วยท่าทีไม่ยอม
“จื่อเซียงลงมือทำร้ายหลันเซียงก่อน ในฐานะสหายของหลันเซียง เย่เฟิงย่อมออกโรงปกป้อง เื่นี้จะโทษเขาไม่ได้”
ดวงตาของเทียนเซียงส่องประกายคมกริบพร้อมเผยสีหน้าน่าเกรงขาม จากนั้นนางกวาดตามองทุกคนของเทียนเซียงหลินที่อยู่ด้านล่าง ก่อนกล่าวว่า “นับั้แ่นี้ไป คุณชายเย่คือแขกผู้มีเกียรติของเทียนเซียงหลิน ต้องได้รับการปฏิบัติเป็อย่างดี และเข้าออกเทียนเซียงหลินได้ทุกเมื่อ ห้ามผู้ใดขัดขวาง ทุกคนจำได้หรือไม่?”
เมื่อเหล่าหญิงสาวเทียนเซียงหลินได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตะลึงงัน พวกนางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเ้าสำนัก ซึ่งเ้าสำนักเ็ากับผู้ชายมาแต่ไหนแต่ไร แต่เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ โดยให้ความสำคัญกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง มอบสถานะแขกผู้มีเกียรติของเทียนเซียงหลินให้อีกฝ่าย มิหนำซ้ำยังมอบสิทธิ์เข้าออกเทียนเซียงหลินได้ทุกเมื่อ ซึ่งห้ามผู้ใดขัดขวาง
เทียนเซียงหลินนั้นรักษาวัฒนธรรมมาเป็พัน ๆ ปี แต่เ้าสำนักของพวกนางกลับถ่ายทอดคำสั่งเช่นนี้ แล้วจะไม่ทำให้พวกนางใได้อย่างไรกัน
“เ้าสำนัก...”
เฉินเซียงเผยท่าทีไม่ยอมและอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับได้ยินเทียนเซียงพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ต้องพูด ข้าตัดสินใจไปแล้ว หากเ้าไม่พอใจ อีกเดี๋ยวมาพบข้าด้วยตัวคนเดียว”
ท่าทางของเทียนเซียงเปี่ยมด้วยความเกรงขาม ในฐานะเ้าสำนักเทียนเซียงหลิน เมื่อถึงเวลาเด็ดขาดก็ย่อมต้องเด็ดขาด
เมื่อเฉินเซียงได้ยินเช่นนั้นก็แววตาสั่นไหวชั่ววูบ อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่านางก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธลงไป ใครเล่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าเทียนเซียง
“ไปนำตัวชิงเซียงมาที่ตำหนักเทียนเซียงเดี๋ยวนี้!” เทียนเซียงออกคำสั่งกับองครักษ์หญิงอีกครั้ง จากนั้นองครักษ์หญิงก็ออกไปจากตำหนักเทียนเซียงพร้อมกัน
ครู่ต่อมาองครักษ์หญิงสองคนนั้นกลับมาพร้อมกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีสภาพเนื้อตัวมอมแมม ทั้งยังมีาแหลายแห่งตามร่างกาย ใบหน้าอันงดงามแทนที่ด้วยความซีดเผือด นางก็คือชิงเซียงที่เพิ่งถูกนำตัวออกมาจากคุกเทียนเซียง
“ศิษย์พี่!”
หลันเซียงเห็นชิงเซียงก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ก่อนน้ำตาจะไหลรินอาบสองพวงแก้ม พร้อมกับพุ่งไปหาชิงเซียงทันที
สีหน้าของชิงเซียงยังคงเ็าเช่นเดิม แต่กลับเห็นชิงเซียงพุ่งเข้ามากอดพร้อมรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น พวกนางกอดกันอยู่นานจึงจะแยกออกจากกัน
แต่ขณะนั้นเย่เฟิงไปที่ด้านหน้าของหญิงทั้งสอง เย่เฟิงได้พบชิงเซียงอีกครั้งก็รู้สึกดีใจ พร้อมระบายยิ้มจาง ๆ ก่อนกล่าวว่า “ทำให้เ้าลำบากแล้ว”
