ดวงตาคู่โตของเสี่ยวกงเจวี๋ยจ้องเขม็งไปยังห่อกระดาษที่กำลังส่งกลิ่นหอมริมฝีปากน้อยๆ ของเขาพยายามฝืนกล่าวออกมา
“ข้าอิ่มแล้ว เสด็จพี่”
คนที่อิ่มแล้วยังคิดจะเก็บของจากพื้นขึ้นมาทาน? คิดว่านางโง่นักหรือ ?
กงอี่โม่ตบศีรษะเขาอย่างแรง เมื่อเห็นเขายกมือกุมศีรษะพร้อมเอ่ยคำว่า’เสด็จพี่'' อย่างไร้เดียงสา นางจึงรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง
“เป็เด็กเป็เล็กต้องพูดความจริงพวกเขาทำร้ายเ้าใช่ไหม ? เจ็บหรือเปล่า ?”
“เจ็บ” เดิมทีเสี่ยวกงเจวี๋ยคิดจะตอบว่าไม่เจ็บทว่าเมื่อเห็นเด็กน้อยเบื้องหน้าถลึงตาใส่ตนด้วยท่าทางดุดันเขาจึงต้องกลืนคำพูดที่ติดตรงริมฝีปากคืนกลับไป และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึดอัด ทำไมจะไม่เจ็บล่ะ ? แต่เขาถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาถึงขนาดนี้จึงกลายเป็คนที่อดทนอดกลั้นได้อย่างน่าทึ่ง
ั์ตาของกงอี่โม่สะท้อนประกายะเืใจตอนนี้เขายังอ่อนเยาว์ แต่กลับรู้ความและรู้จักอดทนเด็กน้อยเช่นนี้ทำให้นางไม่อาจรำคาญได้เลย ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น นางแกะห่อกระดาษออกอย่างรวดเร็วเมื่อกระดาษถูกเปิดออก กลิ่นหอมด้านในจึงโชยออกมาชัดเจนยิ่งขึ้นเสี่ยวกงเจวี๋ยสูดดมหลายครั้งอย่างไม่รู้ตัว
เขาผอมแห้งจนไม่เหลือความน่ารักแม้แต่น้อยยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีวี่แววของความยิ่งใหญ่ในอนาคตไม่มีแม้กระทั่งดวงตาโตอันน่าสะพรึงคู่นั้น ดวงตาที่เหลือบมองไปทางใดก็สามารถทำให้ผู้คนใและหวาดกลัวในทันที
ไม่รู้ว่าสองเดือนที่ผ่านมาเขาต้องเผชิญหน้ากับอะไรมาบ้างเพราะเหตุใดจึงผอมลงมากขนาดนี้ ทว่าสภาพเช่นนี้กลับยังกังวลว่านางจะไม่มีอะไรทาน กงอี่โม่ยิ่งมองก็ยิ่งทนไม่ได้ นางพยายามส่งยิ้มจนฟันขาวสวยปรากฏขึ้นพร้อมกับตบบ่าของเขา
“พวกเรามาแบ่งกันทานหากเ้ากล้าพูดคำว่าไม่ออกมาสักคำ ข้าจะเดินหนีไปั้แ่ตอนนี้”น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยคำข่มขู่ ทำให้เสี่ยวกงเจวี๋ยต้องกลืนคำพูดคืนลงไป
กงอี่โม่พยักหน้า ด้วยความพอใจที่เขาน่ารักและเชื่อฟัง ยังดีที่น่องไก่ชิ้นนี้มีขนาดใหญ่ กงอี่โม่ฉีกออกมาส่วนหนึ่งมันไม่ร้อนแล้ว นางป้อนเข้าปากเสี่ยวกงเจวี๋ยอย่างฉับพลัน
“ทานสิ”
“อือ”
เสี่ยวกงเจวี๋ยมองไปที่นางจะทานก็ไม่ควร จะคายก็ไม่ควร เสด็จพี่เพิ่งหายดีเวลานี้เป็่ที่จำเป็ต้องทานเนื้อสัตว์ให้มาก ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นี้กงอี่โม่จึงฉีกน่องไก่ออกมาอีกชิ้นพร้อมป้อนใส่ในปากของเขา เป็การตัดบทไม่ให้เขาคิดมากเกินไป
“ขณะทานอาหาร ห้ามคิดฟุ้งซ่าน”
เสี่ยวกงเจวี๋ยพยักหน้าโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นน่องไก่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแล้ว เขาจึงรีบกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ท่านก็ทานด้วย”
“ดี ข้าก็ทาน” กงอี่โม่คลี่ยิ้มจนเห็นฟัน ขณะที่กล่าวนั้น นางก็ฉีกน่องไก่เป็ชิ้นเล็กๆ ใส่ในปากของตนน่องไก่ชิ้นนี้ใส่เกลือและน้ำมันมากเกินไป แม้ลักษณะภายนอกดูน่าทาน แต่เมื่อทานลงไปแล้วกลับรู้สึกเลี่ยนมากหากเป็่เวลาปกติ นางไม่มีทางสนใจของลักษณะเช่นนี้อย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อเห็นเสี่ยวกงเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้างของตนหรี่ตาเคี้ยวจนแก้มป่องอย่างพอใจนางพลันรู้สึกะเืใจ จึงตัดสินใจกัดเนื้อส่วนที่เหลือทั้งหมดอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงกล่าวอย่างดุดันด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ไปข้าจะพาเ้าไปหาของอร่อยทาน”
ท้องฟ้ามืดสนิท สายลมพัดโชย ร่างน้อยๆ ของกงอี่โม่และกงเจวี๋ยกำลังนอนหมอบอยู่บนหลังคาพวกเขามองนางกำนัลยกสำรับเดินเข้าไปในห้องที่เปิดไฟสว่างห้องหนึ่งพวกเขาสองคนทำได้เพียงลอบกลืนน้ำลาย
ที่นี่คือตำหนักของพระสนมโจวผินนางมีอายุค่อนข้างมาก ปัจจุบันไม่เป็ที่โปรดปราน ทว่าตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขเจริญรุ่งเรือง ชีวิตความเป็อยู่ของฝ่ายในจึงไม่เลวเลยหากกล่าวถึงการจัดสำรับสำหรับเ้านายแล้วในแต่ละวันพระสนมระดับผินจะมีเนื้อสัตว์หกจิน* หากลองพิจารณาดูให้ดีสตรีที่ต้องรักษารูปร่างอย่างพระสนมจะทานเนื้อสัตว์ปริมาณเท่านี้หมดได้อย่างไร ?
เวลานี้สำรับทั้งหลายถูกจัดเรียงอยู่บนโต๊ะสำริดทรงสี่เหลี่ยมแบบโบราณกลิ่นอาหารหอมโชยยั่วน้ำลาย ทว่านายหญิงแห่งนี้กลับกำลังส่องคันฉ่องนางจับใบหน้าของตน ตอนแรกยังคงอารมณ์ปกติดี ทว่าจู่ๆกลับโยนคันฉ่องสำริดทิ้งอย่างฉับพลัน
เมื่อเห็นโจวผินโกรธเกรี้ยวผู้คนภายในห้องต่างทยอยคุกเข่าลง นายหญิงท่านนี้มีอารมณ์ร้าย ไม่มีใครกล้าขัดใจนาง
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้า้าผงแป้งสีชาดจากหอเหวินเซียงของที่พวกเ้าซื้อมากลับเป็ของไม่ได้เื่พวกเ้าเห็นว่าข้าไม่เป็ที่โปรดปรานจึงคิดละเลยข้าเช่นนี้หรือ ?”
สตรีอายุราวยี่สิบปีเ้าของริมฝีปากแดงสดกำลังโกรธจัดทว่าเมื่อด่าทอพอสมควรแล้วสุดท้ายนางกลับฟุบตัวลงบนโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น
นางถวายตัวเข้าวังมาห้าปีแล้วตอนนี้นางกลายเป็คนเก่าที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึง ไม่ต้องเอ่ยถึงพระชายาผู้เป็ที่โปรดปรานเสมอมาอย่างหลงกุ้ยเฟยและหลิ่วเสียนเฟยแม้กระทั่งลี่ผินที่เพิ่งถวายตัวเข้าวังเมื่อปีกลายยังมีตำแหน่งสูงกว่านาง วังหลังที่มีสาวงามสามหมื่นนางแห่งนี้ความโปรดปรานของฮ่องเต้จะถูกจัดสรรเพียงพอได้อย่างไร
กงอี่โม่ที่นอนหมอบอยู่บนหลังคาได้แต่รำพึงอยู่ในใจนางคิดว่าโจวผินผู้นี้ช่างงดงามยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่ากลับต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไม่รู้ว่าต้องสวยประหนึ่งนางฟ้าเทพธิดามากเพียงใดจึงจะเป็ที่โปรดปรานของกงเซิ่ง หรือก็คือจักรพรรดิอวี้เซิ่งนั่นเอง
นางเอ่ยกับกงเจวี๋ยเสียงเบา“เ้าเห็นไหม ? กงเซิ่งทำร้ายสตรีไปมากมายเพียงใดเสด็จแม่ของเ้าและของข้าก็เป็หนึ่งในสตรีเ่าั้ ต่อไปเมื่อเ้าโตขึ้นเ้าห้ามทำเช่นนี้ล่ะ”
นางทราบเป็อย่างดีว่ากงเจวี๋ยผู้ที่จะเป็เซ่อเจิ้งอ๋องในภายภาคหน้าก็มีสาวงามไม่น้อยเลยแม้ว่าเขาจะหลงใหลในตัวซูเมี่ยวหลันไม่เสื่อมคลายทว่าสตรีในวังหลังของเขาต่างสวยงามหยาดฟ้ามาดิน ไม่ได้ว่างเปล่าแต่อย่างใด
นางมองเด็กน้อยเบื้องหน้าเวลานี้เขานอนหมอบอยู่บนหลังคา เนื่องจากร่างกายเต็มไปด้วยาแเขาจึงไม่กล้าขยับตัว ดูน่ารักน่าสงสารอย่างยิ่ง หลักการของนางก็คือ สิ่งที่ควรสอนก็ต้องสอนอีกฝ่าย กงอี่โม่จึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ต่อไปข้าไม่มีทางทำเช่นนี้หรอก” เมื่อได้ยินกงอี่โม่กล่าวเช่นนี้เสี่ยวกงเจวี๋ยที่เพิ่งหกขวบพลันหน้าแดงอย่างเขินอาย เขาพึมพำออกมา ่ที่เสด็จแม่เป็ที่โปรดปรานนั้นในหนึ่งเดือนมีเพียงสองสามวันที่เสด็จแม่ได้ปรนนิบัติรับใช้เสด็จพ่อ ดังนั้นเขาไม่มีทางมีสตรีมากมายเหมือนเสด็จพ่ออย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงเสด็จพ่อดวงตาของเสี่ยวกงเจวี๋ยพลันหม่นลงในทันที นอกจากจะมีสตรีมากมายแล้วเสด็จพ่อยังมีพระโอรสอีกยี่สิบกว่าพระองค์ เกรงว่าเสด็จพ่อคงลืมเขาไปนานแล้วกระมัง
เวลานี้คนรอบกายเขาต่างทำตัวเหินห่างต่างมองว่าเขาเป็ตัวซวย เสี่ยวกงเจวี๋ยลอบมองเสด็จพี่ที่เขา ''มิอาจคาดเดา'' ข้างกายของตนในใจรู้สึกเศร้าสร้อย ตอนนี้ความปรารถนาหนึ่งเดียวของเขาก็คือ หวังว่าเสด็จพี่จะอยู่กับเขาต่อไปอย่าปล่อยให้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอีกเลย
กงอี่โม่ยังคงไม่พอใจคำตอบของเสี่ยวกงเจวี๋ยนางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “บุรุษที่ดีชั่วชีวิตนี้จะต้องแต่งงานกับสตรีเพียงนางเดียวห้ามคิดมีชายาเอกชายารอง หนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ชีวิตเท่านั้น”
เสี่ยวกงเจวี๋ยเบิกตาโตอย่างไม่เข้าใจ“พ่อค้าชาวนายังสามารถแต่งเมียเอกเมียรองเพราะเหตุใดข้าจึงต้องแต่งงานกับสตรีนางเดียวล่ะ ?”
กงอี่โม่กลอกตาใส่ “เ้าดูนางสิ”
เสี่ยวกงเจวี๋ยมองตามอย่างว่าง่ายเมื่อโจวผินะเิอารมณ์แล้ว นางจึงร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงสะอื้นเปลี่ยนแปลงไปหลายระดับผู้คนรอบข้างมิอาจห้ามปราม ในตำหนักอันเงียบสงบแห่งนี้จึงดูวังเวงมากยิ่งขึ้น
“เ้าลองคิดถึงเสด็จแม่ของเ้าสิ”
เสี่ยวกงเจวี๋ยคิดถึงเสด็จแม่ของตนในตอนนั้นอย่างอดไม่ได้นางจุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืน เสียงถอนหายใจยาวนาน่ค่ำนางมักเหลือบมองไปนอกตำหนักอยู่เป็ระยะแต่กลับไม่เห็นร่างของขันทีที่มารายงาน นางจึงได้แต่เสียใจอยู่เงียบๆ
เมื่อเห็นเขากำลังครุ่นคิดอย่างตั้งใจดวงตาสีน้ำหมึกคู่โตแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย กงอี่โม่จึงถอนหายใจนางลูบศีรษะของเขาพร้อมกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
“เพื่อความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแต่ต่อไปข้างกายของเ้าจะมีสตรีที่ไม่มีความสุขเช่นเดียวกับเสด็จแม่ของเ้าจำนวนมากมายในเมื่อพวกนางไม่มีความสุขการใช้ชีวิตระหว่างเ้ากับสตรีเ่าั้ก็ย่อมไม่มีความสุขเช่นกัน”
เมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยมีท่าทีคล้อยตามกงอี่โม่จึงแอบยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ นางรีบใส่ยาแรงทันที
“เ้าลองคิดดูหากเสด็จพ่อมีเสด็จแม่ของเ้าเพียงพระองค์เดียวเสด็จแม่ของเ้าจะมีความสุขมากมายเพียงใดส่วนเ้าก็ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างแน่นอน”
เสียงของนางที่เอ่ยประโยคนี้ออกมาทำให้ดวงตาของเสี่ยวกงเจวี๋ยพลันสะท้อนประกายเด็ดขาดเขากำหมัดน้อยๆ ของตนน้ำเสียงอ่อนวัยไร้เดียงสากล่าวออกมาอย่างหนักแน่นทีละคำทีละประโยค
“ได้ต่อไปข้าจะแต่งงานกับสตรีนางเดียว จะไม่มีใครที่มีสภาพเหมือนเสด็จแม่ของข้าอีก”
กงอี่โม่ส่งยิ้มจนตาหยี “เป็เด็กที่พร้อมเรียนรู้น่าสั่งสอนเสียจริง”
* จิน (斤) เป็มาตราชั่งของจีน 1 จินมีน้ำหนักประมาณ 661 กรัม(อ้างอิงตามมาตราชั่งในสมัยราชวงศ์ถัง)