เวลานี้แสงจันทราสาดส่องลงมา ทำให้ใบหน้าขาวกระจ่างรวมทั้งั์ตาสวยคู่นั้นสะท้อนประกายแวววาวยามคลี่ยิ้มนางช่างงดงาม สายลมยามค่ำคืนพัดเส้นผมของนางปลิวไสวอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของบุปผาโชยมาเป็ระยะ บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เสี่ยวกงเจวี๋ยที่อยู่บนหลังคาพลันลืมทุกคำพูด
ภายภาคหน้าเขาจะแต่งงานกับสตรีเพียงหนึ่งเดียวทว่าเขารู้สึกโชคดีที่เสด็จพ่อมีสตรีนางอื่น เพราะมีสตรีนางอื่นเขาจึงมีเสด็จพี่เช่นนี้ นางเป็เสด็จพี่ผู้แสนงดงามของเขา
่เวลานี้พลันมีเสียงเล็กแหลมดังลอยมาเดิมทีก่อนที่พระสนมโจวผินท่านนี้ทานอาหารจะต้องทำผมก่อนมีนางกำนัลผู้หนึ่งก้าวขึ้นไปด้านหน้าอย่างหวาดกลัว เนื่องจากวิตกกังวลมากเกินไปนางกำนัลผู้นั้นจึงทำพระสนมเจ็บหนังศีรษะ นางถูกผลักล้มลงกับพื้นพระสนมมองนางด้วยสายตาโกรธแค้น
“บังอาจ! แม้กระทั่งเ้าก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาอย่างนั้นรึ ?”
“เหนียงเหนียงโปรดอภัย เหนียงหนียงโปรดอภัยหม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ”
สาวน้อยในชุดนางกำนัลรีบคุกเข่าโขกศีรษะอย่างต่อเนื่องศีรษะของนางเริ่มปรากฏรอยเือย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นนางกระทำความผิดนางกำนัลคนอื่นๆ จึงเบนศีรษะหนีอย่างอดไม่ได้ ไม่มีใครกล้าออกตัวขอร้องแทนนางในวังหลังแห่งนี้ ความสงสารเห็นอกเห็นใจเป็สิ่งไม่จำเป็ที่สุด
เสียงโขกศีรษะยังคงดังอย่างต่อเนื่องวังหลังที่โดดเดี่ยววังเวงแห่งนี้การทรมานหรือการสังหารคนถือเป็ความสุขอย่างหนึ่ง โจวผินผู้นั้นก้มมองนางกำนัลน้อยที่คลานเข่าอยู่ใต้เท้าของนางอย่างหวาดกลัวดวงตาคู่งามสะท้อนประกายเย็นเฉียบอย่างประหลาด นางพลันคลี่ยิ้มอย่างเ็า
“ยังอ้ำอึ้งอะไรอีก เด็กคนนี้แค่หวีผมยังไม่ได้เื่จะเก็บมือทั้งสองไปเพื่ออะไร ? ลากออกไปตัดมือทั้งสองทิ้ง”
“เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต ! เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต !!” นางกำนัลน้อยใจนใบหน้าซีดขาว ตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้
“ไว้ชีวิต ? เดิมทีวังหลังแห่งนี้เป็สถานที่กินคน* หากจะโทษสิ่งใดก็ต้องโทษที่เ้าเกิดมาโชคร้ายไม่ได้เกิดมาเป็เ้าคนนายคน” เห็นนางกำนัลน้อยถูกลากออกไปด้วยใบหน้าสิ้นหวังโจวผินพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ดวงตาของกงอี่โม่พลันเป็ประกายแวววาว นาง้าหาใครสักคนมาดูแลกงเจวี๋ยอยู่พอดีนางกำนัลขี้กลัวผู้นี้จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงพลิกตัวทำท่าจะะโลงไปทว่ากลับถูกกงเจวี๋ยดึงเอาไว้
“เสด็จพี่ ท่านจะทำอะไร ?” ั์ตาของเขาสะท้อนประกายขลาดกลัวแกมประหลาดใจ
กงอี่โม่ดึงมือของตนกลับคืนนางกล่าวอย่างร้อนใจ “ก็ต้องไปช่วยคนน่ะสิ”
เสี่ยวกงเจวี๋ยตกตะลึงในทันทีเขาคิดว่ากงอี่โม่กำลังใจอ่อน จึงแสดงท่าทางแปลกประหลาดพร้อมเอ่ยปากอย่างลังเล
“เสด็จพี่แต่ไหนแต่ไรเ้านายในวังมีอำนาจตัดสินความเป็ความตายของนางกำนัลที่กระทำความผิดอยู่แล้วการลงโทษคนรับใช้เป็สิทธิ์ของเ้านายโดยตรง ท่านยื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก”
คำพูดประโยคนี้เป็คำพูดของเสด็จพ่อในตอนนั้นเขาจดจำได้อย่างดี ทุกคนต่างเคารพและยำเกรงเสด็จพ่อ ยามเสด็จพ่อเอ่ยวาจาไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้น เพราะเสด็จพ่อเป็เ้านายเหนือทุกคน
เดิมทีกงอี่โม่รู้สึกร้อนใจอยากรีบไปช่วยนางกำนัลผู้นั้นทว่าเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว นางจึงหยุดทุกการกระทำหันมามองเสี่ยวกงเจวี๋ยด้วยสายตาหลากหลายซับซ้อนแต่ไหนแต่ไรนางไม่ใช่แม่พระอยู่แล้วทว่าตอนนี้นางสงสัยว่าคนในวังหลังล้วนเป็เช่นนี้หรือเปล่าขนาดเด็กน้อยยังสามารถยอมรับกฎเกณฑ์เช่นนี้ อีกทั้งยังมองอยู่ข้างๆได้อย่างเืเย็น
ท่ามกลางแสงจันทรา ใบหน้าเล็กๆของนางพลันเกร็งขึ้น ท่าทางเข้มงวดเช่นนี้ทำให้เสี่ยงกงเจวี๋ยรู้สึกหวาดกลัวเขาไม่กล้าเอ่ยปากอีก
หลังจากนั้นเพียงไม่นานกงอี่โม่จึงชี้ไปทางที่นางกำนัลน้อยถูกลากตัวออกไปนางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างช้าๆ “หากกล่าวเช่นนี้ เ้าและข้าก็เป็เ้านายเช่นกัน”
สายลมโชยผ่านจนชุดของนางปลิวขึ้นกงเจวี๋ยมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างเลือนรางทว่าเสียงของนางแต่ละคำแต่ละประโยคกลับดังลอยมาอย่างชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกเ้าเองอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริงในมือของเ้านายคืออะไร ? มันไม่ใช่การลงโทษแต่เป็การให้อภัย”
“มีเพียงการได้ความยิ่งใหญ่โดยไม่หวั่นเกรงจึงจะสามารถให้อภัยผู้อื่นเช่นนี้จึงจะเป็ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง”
เมื่อกล่าวจบนางจึงพลิกตัวจากไป โดยไม่ได้สนใจว่าเสี่ยวกงเจวี๋ยที่ยังคงอยู่บนหลังคาจะรู้สึกใและสับสนมากเพียงใด
ตอนวัยเยาว์เขาได้รับการอบรมสั่งสอนความรู้สำหรับพระโอรสโดยเฉพาะเขาเห็นเ้านายลงโทษคนรับใช้มากมาย อีกทั้งการลงโทษก็มีหลากหลายนับไม่ถ้วน
หลังจากพบเห็นมามากมายแล้วเขาจึงรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็สิ่งสมควรแล้ว ไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจยกตัวอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หากผู้ที่เข้ามาช่วยเขาไม่ใช่เสด็จพี่แต่เป็คนรับใช้สักคนเขาจะรู้สึกขอบคุณแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งเนื่องจากคนรับใช้ช่วยเ้านายเป็สิ่งที่ควรกระทำอยู่แล้ว
ทว่าเวลานี้เขาได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังลอยมาจากตำแหน่งไม่ไกลนักดวงตาสีน้ำหมึกของเด็กน้อยเป็ประกายจนน่าใ เขารำพึงกับตัวเอง
“ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็การให้อภัย ?” ให้อภัยคนเ่าั้หรือ ?
เมื่อช่วยนางกำนัลน้อยผู้นั้นได้แล้วอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งบุญคุณในทันที นางเอาแต่คุกเข่าอยู่กับพื้นร้องไห้โฮด้วยความใ นางรอดจากครั้งนี้ได้แล้ว แต่หากพระสนมรู้เข้าครั้งหน้าสิ่งที่รอนางอยู่จะไม่ใช่การลงโทษตัดมือเหมือนครั้งนี้อีกแล้ว
กงอี่โม่รู้สึกรำคาญเสียงร้องไห้ของอีกฝ่ายนางคว้ามือนางกำนัลน้อยขึ้นมาขยับเบาๆ “เลิกร้องไห้ได้แล้ว ข้าขอถามเ้าเ้าอยากมีชีวิตไหม ?”
นางกำนัลมองกงอี่โม่ตัวน้อยที่สูงเพียงเอวของนางจากนั้นจึงร้องไห้โฮหนักกว่าเดิม “ข้าอยากมีชีวิต แต่เหนียงเหนียงไม่มีทางปล่อยข้าอย่างแน่นอน”
กงอี่โม่รู้สึกรำคาญใจนางยกมือปิดปากอีกฝ่าย เอ่ยปากอย่างหงุดหงิด “อยากมีชีวิตก็หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้ที่นี่คือเรือนของหัวหน้านางกำนัล เ้าเข้าไปขอร้องนาง อธิบายเื่ราวให้ชัดเจนจากนั้นขอย้ายตนเองไปดูแลองค์หญิงที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเมื่อหลายปีก่อนหากองค์หญิงเสียชีวิตแล้ว เ้าก็บอกนางว่าเ้ายินดีเข้าไปเก็บศพขององค์หญิงด้วยตนเองนางจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน”
สำหรับคนอื่นนั้นต่างมองว่ากงอี่โม่ป่วยด้วยโรคปอดกอปรกับตอนนี้ยังมีสาเหตุจากกงเจวี๋ยอีกส่วนหนึ่งจึงมีคนหาข้ออ้างไม่ยอมส่งสำรับให้กับนาง เหตุการณ์ผ่านมาเช่นนี้ หากมีคนรู้ว่าองค์หญิงพระองค์หนึ่งเสียชีวิตเพราะขาดอาหารพวกเขาเหล่านี้ย่อมมีความผิดด้วยเช่นกัน เวลานี้เกรงว่าองค์หญิงจะสิ้นใจไปเสียแล้วตอนนี้มีคนเสนอตัวยอมเป็แพะรับบาป คนเหล่านี้ต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน
“ได้จริงๆ หรือ ?” นางกำนัลน้อยน้ำตาคลอเบ้า นางกะพริบตาพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา ขอแค่นางไปอยู่ตำหนักเย็นนางจะสามารถรอดจากการถูกตัดมือ พระสนมโจวผินจะยอมปล่อยนางไปอย่างนั้นหรือ ?
“ไปเถิด” กงอี่โม่พยักหน้าอย่างหนักแน่น
เพราะตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้วนางกำนัลน้อยจึงไม่กล้าลังเล นางตะลีตะลานวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วกงอี่โม่มองเื้ัของอีกฝ่าย ถอนหายใจเล็กน้อย พระสนมผู้ถูกลืมคนหนึ่งไม่มีทางกล้าขัดใจนางกำนัลที่มีอำนาจอยู่ในมืออีกทั้งเมื่อรู้ว่านางกำนัลน้อยผู้นี้ตั้งใจยอมรับความผิดทั้งหมดไว้เองอีกฝ่ายต้องดีใจอย่างแน่นอน ส่วนด้านกงอี่โม่นั้น แม้ว่านางจะช่วยคนอื่นได้แล้วทว่านางกลับรู้สึกเศร้าสร้อย
เหตุการณ์เป็ไปตามคาดหลังจากได้ยินเื่ราวทั้งหมดแล้วกงอี่โม่ที่อยู่บนหลังคาเห็นหัวหน้านางกำนัลแสดงสีหน้าดีใจนางรู้ว่าเหตุการณ์สำเร็จด้วยดี นางจึงรีบไปหากงเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางพอมีวิชาติดตัวทว่านางกล้าใช้วรยุทธ์อยู่บริเวณรอบนอกเท่านั้นเนื่องจากในพระราชวังมียอดฝีมือมากมาย เวลานี้นางจึงไม่กล้าแสดงตัวมากนักเมื่อกลับมาถึงตำหนักของโจวผินแล้ว นางหยิบอาหารติดมือมาด้วยสุดท้ายจึงกลับมาหากงเจวี๋ย
เมื่อเห็นกงอี่โม่กลับมาเสี่ยวกงเจวี๋ยจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าเสด็จพี่จะเก่งกล้าสามารถทว่าเขายังคงกังวลว่านางจะเป็อะไรไป หลังจากผ่านเหตุการณ์ถูกทรยศมาหลายครั้งแล้วตอนนี้เขาจึงเหลือเสด็จพี่เพียงคนเดียวที่เป็คนใกล้ชิด
เขาสูดลมหายใจจึงเห็นว่ากงอี่โม่หยิบไก่ย่างมาหนึ่งตัวกงเจวี๋ยรู้สึกว่าดวงตาของเขาพร่ามัว ทว่าเขาหิวโซมานานมากแล้วจริงๆ
“ทานสิ” กงอี่โม่คลี่ยิ้ม นั่งลงข้างกายของเขาจากนั้นจึงฉีกน่องไก่น่องหนึ่งยื่นให้เขาอย่างภูมิใจ
เสี่ยวกงเจวี๋ยได้ยินเช่นนี้ดวงตาทั้งสองข้างพลันเป็ประกาย เขารีบรับมาอย่างรวดเร็วทว่าเพราะเขาได้รับการอบรมมาอย่างดีั้แ่เด็ก แม้จะหิวโหยเช่นนี้ เขายังคงค่อยๆกัดคำเล็กๆ ทีละคำ ดวงตาคู่สวยหรี่ลงอย่างมีความสุข
เขาน่ารัก เชื่อฟังอีกทั้งยังรู้ความเช่นนี้ นางคิดภาพไม่ออกจริงๆว่าคนที่มีบุคลิกเช่นนี้จะกลายเป็คนจิตใจวิปริตที่สังหารคนตาไม่กะพริบในภายภาคหน้าผู้นั้นเวลานี้เขาผอมแห้งจนน่าใ ไม่รู้ว่าถ้าเสด็จแม่ของเขาผู้นั้นรู้เข้าจะรู้สึกสงสารเขามากเพียงใด
* คำว่า “กินคน”เป็คำที่เกิดจากผลงานเื่สั้น “บันทึกประจำวันของคนบ้า” ประพันธ์โดย“หลู่ซวิ่น” คำนี้หมายถึงศีลธรรมจรรยาในยุคศักดินาที่มีการทำร้ายถึงชีวิตรวมทั้งการข่มขู่กดดันผู้อื่น สังคมเช่นนี้จึงมีลักษณะเหมือนเป็การกินคน