ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้นกงอี่โม่ก็ป้อนเด็กชายตัวน้อยไปพลาง ส่วนตัวนางเองกลับทานไปเพียงไม่กี่คำ จู่ๆ นางพลันเอ่ยปากขึ้น
“ทานให้มากหน่อยเ้าผอมเกินไปแล้ว” จากนั้นนางเหมือนคิดถึงเื่บางอย่างจึงเอ่ยปาก“ข้าช่วยนางกำนัลเมื่อสักครู่ได้แล้ว ตอนนี้เ้ายังเด็กเกินไปต่อไปข้าจะให้นางมาดูแลเ้า”
เดิมทีกงอี่โม่คิดว่าเมื่อเ้าตัวน้อยเบื้องหน้าได้ยินแล้วจะรู้สึกดีใจคาดไม่ถึงว่าเขากลับเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาสวยคู่นั้นสะท้อนประกายเสียใจเขาวางน่องไก่ที่ทานไปแล้วครึ่งหนึ่งลง มือกำหมัดแน่น ผ่านไปชั่วครู่จึงกล่าวอย่างระมัดระวัง
“ข้าโตแล้วไม่จำเป็ต้องมีคนดูแลแล้ว”
สองเดือนนี้เขาก็เอาตัวรอดมาได้แล้วแม้จะลำบากไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นนัก
“ไม่ได้หรอกเื่นี้เ้าต้องฟังข้า!” กงอี่โม่ขมวดคิ้ว หรือว่าเขาที่ยังเป็เด็กน้อยเช่นนี้ต่อไปยังคิดจะซักผ้าหรือขโมยของกินด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?
“เสด็จพี่ข้าเป็คนเชื่อฟังว่าง่าย ทานก็น้อย ข้า ข้าโตแล้ว ไม่รบกวนคนอื่นหรอก!” คำพูดของนางทำให้เสี่ยวกงเจวี๋ยเสียใจยิ่งกว่าเดิมเขาเบิ่งตาโต ดูเหมือนแทบร้องไห้ออกมา เขาจับชุดตัวเองแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อกล่าวจบเขาพลันคว้าแขนเสื้อของกงอี่โม่ไว้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองนางเขาเอ่ยขอร้องราวกับสัตว์ป่าตัวน้อย “เสด็จพี่ เสด็จพี่ ข้าทำเป็ทุกอย่างข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง! ต่อไปจะไม่สร้างความลำบากให้ท่านท่านอย่าทอดทิ้งข้านะ”
คำพูดของเขาทำให้กงอี่โม่ตกตะลึงเด็กน้อยความรู้สึกไวมากทีเดียว เดิมทีนางตัดสินใจไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งอีกแล้วคาดไม่ถึงว่าเสี่ยวกงเจวี๋ยจะสังเกตเห็นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
กงอี่โม่มองมือน้อยๆที่ผอมแห้งจนน่าใของอีกฝ่ายจับแขนเสื้อของตน ตอนกลางวันมือข้างนี้ยังเพิ่งส่งสำรับให้กับนางนาง... ทำใจแข็งไม่ได้จริงๆ
ทั้งร่างกายของเขาไม่มีเนื้อส่วนใดไม่มีาแเขาต้องพยายามระวังตัวไม่ให้ถูกลอบทำร้ายจากผู้อื่นตลอดเวลา ต้องใช้ชีวิตในตำหนักเย็นอย่างอกสั่นขวัญแขวนทุกย่างก้าวถึงแม้นางไม่ได้ดูแลเขา เขาก็ยังไม่ตายทว่าจะให้นางมองเด็กน้อยคนหนึ่งใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันอย่างยากลำบากโดยไม่เข้าไปดูแลอย่างนั้นหรือ?
กงเจวี๋ยออกจากตำหนักเย็นตอนอายุสิบสามปีประโยคสั้นๆ ประโยคนี้แฝงไปด้วยความทรมานมากมายขนาดไหน แต่ก่อนนางไม่เคยเข้าใจทว่าเมื่อเห็นเด็กน้อยผอมแห้งอ้อนวอนนางอย่างขลาดกลัวในตอนนี้มันช่างเห็นภาพความจริงมากมาย
ครั้งนี้น่าจะเป็ครั้งแรกที่เด็กชายตัวน้อยขอร้องคนอื่นเขาเกร็งไปทั้งร่าง ราวกับกลัวว่านางจะปฏิเสธ เขามองนางเป็ระยะ
ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่เขาปรารถนาอยากมีใครสักคนอยู่ข้างกายเขาถึงแม้นางไม่ทำอะไรเลย เขาก็พอใจแล้ว เขาโตแล้ว ออกไปหาของกินด้วยตัวเองได้ชีวิตในตำหนักเย็นมันยาวนานและเดียวดายเหลือเกินเขา้ามีใครสักคนอยู่เป็เพื่อนเขา ขอให้เขาได้มองเห็นบ้างก็พอแล้ว
ใบหน้าน้อยๆของกงอี่โม่ปรากฏสีหน้าลำบากใจ มันช่างขัดกับความรู้สึกส่วนตัวของนางเสียจริง์! เพราะเหตุใดต้องลิขิตให้นางเป็คนจิตใจดีเพียงนี้? ไม่เข้าใจเลย
นางพลันยกมือตบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยอย่างเสียอารมณ์“รีบทานเดี๋ยวนี้ ทานน้อยขนาดนี้แล้วเมื่อไรจะมีเนื้อขึ้นมาบ้าง?”
เสี่ยวกงเจวี๋ยไม่ได้สนใจความเ็ปบริเวณศีรษะเขาััได้ว่าท่าทีของกงอี่โม่เริ่มอ่อนลง จึงถือโอกาสนี้จับมือกงอี่โม่ไว้พร้อมขอคำยืนยันด้วยท่าทางระมัดระวัง“เสด็จพี่จะไม่ทอดทิ้งข้าแล้วใช่ไหม?”
กงอี่โม่กลอกตาใส่ท้องฟ้า “ใช่แล้วใช่แล้ว ข้าจะเลี้ยงเ้าจนโต แล้วจะรอใช้ชีวิตที่ดีกับเ้าไงล่ะ”
ตอนแรกเป็เพียงการพูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่ได้คิดอะไรทว่าเมื่อไตร่ตรองให้ดีแล้ว กงอี่โม่รู้สึกว่าเป็ไปได้หากนางยอมปล่อยวางความแค้นในจิตใจแล้วอยู่ร่วมกับกงเจวี๋ยต่อไปความผูกพันั้แ่เล็กจนโตเช่นนี้อาจลึกซึ้งกว่าความรักระหว่างบุรุษสตรีของซูเมี่ยวหลันในอนาคตก็เป็ได้
ภายภาคหน้ากงเจวี๋ยจะเป็บุรุษอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าอวี้เขากุมกองกำลังสำคัญอยู่ในมือ ดำรงตำแหน่งเซ่อเจิ้งอ๋องต่อเนื่องห้าหกปีภายหลังนางช่วยกงเช่อจนขึ้นครองราชย์ได้แล้ว กงเช่อยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลยเขาช่างสมกับคำกล่าวที่ว่าอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่นอย่างแท้จริง
หากนางเกาะบุคคลผู้นี้ไว้ให้แน่นต่อไปนางก็สามารถเดินกร่างไปทั่วยุทธภพได้สิ?!
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็ความคิดที่ดีเพราะตอนนี้นางยังเยาว์วัย ไม่อาจออกไปไหนการสร้างมิตรภาพกับเซ่อเจิ้งอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตระหว่างอยู่ตำหนักเย็นก็ถือว่าเป็เื่ดีมากจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของกงอี่โม่แล้วตอนแรกเสี่ยวกงเจวี๋ยรู้สึกดีใจจนถึงที่สุดทว่าสายตาของกงอี่โม่ที่จ้องมองมาทำให้เขารู้สึกขนลุก ดูเหมือนว่าเสด็จพี่ของเขากำลังวางแผนบางอย่างท่าทางราวกับกำลังรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างชัดเจน ทว่าเขากลับดีใจมากเพราะเขามีคุณค่ามากพอที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญ
ช่างเป็เด็กดีว่าง่ายจริงๆดวงตาคู่นั้นสะท้อนประกายเฉลียวฉลาด หากเลี้ยงดูอย่างดี บางทีต่อไปเขาอาจเป็เซ่อเจิ้งอ๋องผู้ยิ่งใหญ่มีคุณธรรมแต่ไม่ใช่เทพสังหารที่สามารถเอาชื่อไว้ขู่เด็กน้อยเวลาเด็กๆ ร้องไห้ยามค่ำคืน
กงอี่โม่ลูบศีรษะของเขานางครุ่นคิดอยู่ในใจ ตอนนี้นางตัดสินใจตั้งใจดูแลเขาแล้วหากต่อไปเขายังรักปักใจกับซูเมี่ยวหลัน นางเลี้ยงเขาจนเติบโตเช่นไรนางก็จะหักขาเขาเช่นนั้น
ดวงตาของกงอี่โม่สะท้อนประกายดุดันทว่านางมองกงเจวี๋ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพอใจส่วนเสี่ยวกงเจวี๋ยผู้น่าสงสารได้แต่หดคอลง สีหน้าของเสด็จพี่ช่างน่ากลัวยิ่งนักต่อไปเขาต้องเชื่อฟังเสด็จพี่อย่างแน่นอน ไม่มีทางต่อต้านอย่างเด็ดขาด
เมื่อปรึกษาเื่ใหญ่ในชีวิตเสร็จสิ้นแล้วเด็กน้อยทั้งสองจึงเริ่มทานเนื้อไก่ต่อไปเนื่องจากรู้สึกผ่อนคลายสบายใจจึงรู้สึกเจริญอาหารเป็พิเศษไก่ย่างหนึ่งตัวขนาดสามสี่จินจึงถูกทานจนหมดเกลี้ยง กงอี่โม่ได้แต่รำพึง หากตอนนี้มีโคล่าสักขวดก็คงดีไม่ใช่น้อย
เมื่อทานเสร็จแล้วพวกเขาทั้งสองจึงนั่งชมดวงดาวอยู่บนหลังคาโดยไม่ได้สนใจว่าพวกตนอยู่ในอาณาเขตของผู้อื่น
พระราชวังยามค่ำคืนยังคงสวยงามยิ่งนักยิ่งเข้าสู่ศูนย์กลางมากเท่าใด โคมไฟก็ยิ่งสว่างโชติ่มากเท่านั้น ท่ามกลางแสงจันทราส่องสว่างชายคายกสูง กระเื้ัคาสลับซับซ้อน กลุ่มสิ่งก่อสร้างงดงามมากมายพวกเขาสองคนที่เป็ส่วนหนึ่งในบริเวณนี้ต่างมองออกไป ไกลสุดลูกหูลูกตาไม่มีที่สิ้นสุด
กงเจวี๋ยไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าพระราชวังที่เขาอาศัยมาหกปีจะงดงามอลังการถึงเพียงนี้เขามองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ความสงบสุขอย่างประหลาดเกิดขึ้นภายในใจ
การมีเสด็จพี่อยู่ข้างกายทำให้เขารู้สึกราวกับมีเสด็จแม่อยู่เคียงข้างเขารู้สึกผ่อนคลายสบายใจ เสี่ยวกงเจวี๋ยหันหน้าไปมองด้านข้างของกงอี่โม่เขาเห็นเพียงอีกฝ่ายโน้มตัวไปด้านหน้า มองซ้ายทีขวาทีอย่างสนใจ ผิวพรรณผุดผ่องดวงตาคู่นั้นสว่างเป็ประกายราวกับดวงดาราเลยทีเดียว
ตอนที่พระชายาเสวี่ยเฟยเสียชีวิตเขายังเล็กนัก ทว่าเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของนางนางเคยเป็สตรีที่เสด็จพ่อโปรดปรานถึงเพียงนั้น บุตรสาวของนางจึงควรงดงามเช่นนี้
เพียงแต่เมื่อนางเสียชีวิตแล้วฝ่ายในไม่มีใครเคยเอ่ยชื่อของนางอีก ดังนั้น จนกระทั่งบัดนี้เขายังไม่รู้ว่าเสด็จพี่ของเขาชื่ออะไร
“เสด็จพี่”
กงอี่โม่หันหน้ากลับมานางใช้สายตาสอบถาม
สีหน้าท่าทางของนางมักสดใสมีชีวิตชีวาเสมอกงเจวี๋ยรู้สึกว่า จังหวะที่นางหันสายตากลับมานั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหลายครั้งเขาไม่รู้ว่าความรู้สึกร้อนผ่าวภายในใจเป็ความรู้สึกเช่นไรกันแน่แต่รู้เพียงว่าเขาไม่อาจเงยหน้ามองดวงตางามคู่นั้น เขาก้มหน้าเอ่ยขึ้นเสียงเบา“เสด็จพี่ ข้า ข้า ชื่อคำเดียวว่า เจวี๋ย ยังไม่มีชื่อรอง เสด็จพี่ท่านชื่ออะไรหรือ?”
กงอี่โม่อึ้งไปชั่วขณะขณะที่มีการตั้งชื่อของนางในตอนนั้น เป็การสร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งฝ่ายในแล้วยังมีคนที่ยังไม่รู้จักชื่อของนางอีกหรือ?
ทว่าเมื่อคิดได้ว่าตอนที่นางเข้ามาอยู่ในตำหนักเย็นกงเจวี๋ยเพิ่งสองขวบเท่านั้น เสวี่ยเฟยเสียชีวิตแล้วจึงไม่มีใครเอ่ยถึงนางต่อหน้าเขา หากเขาไม่รู้ก็เป็เื่ปกติธรรมดา
เมื่อคิดถึงจุดนี้นางจึงรู้สึกเขินอย่างอดไม่ได้ตอนนั้น ชื่อของนางเป็การประกาศความรักของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งไปกว่านั้นชื่อของนางยังเสมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของสตรีสามหมื่นนางในวังหลังทว่าวันนี้ชื่อนี้กลับเสมือนเื่ตลกเื่หนึ่ง คนตายดุจตะเกียงดับแม้กระทั่งชื่อนี้ยังถูกกลบไปด้วยผงธุลีไม่อาจหาความโชติ่เหมือนในวันวานได้อีกต่อไป
“กงอี่โม่”
เสี่ยวกงเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นเขาเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเด็กหญิงคนหนึ่ง นางเงยหน้าเล็กน้อยมองไปยังแสงไฟที่ส่องสว่างที่สุดในพระราชวังนางเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้า ชื่อ กงอี่โม่”