Chapter 22
Someone who missing for a long time
แก้วใสสองใบวางแน่นิ่งตรงหน้าของชายหนุ่มทั้งสองมาสักพักแล้ว เสียงคลี่กระดาษดังแข่งกับเสียงดนตรีแจ๊สภายในบาร์ประจำของทีมสาม ไฟสลัวมุมร้านไม่อาจหยุดต่อมใครรู้ของแมททิวได้เลย มือเรียวล้วงจดหมายออกจากซองอย่างเร่งรีบโดยมีพอลนั่งดูอยู่ข้างๆมาพักใหญ่
“เบาๆสิ ขาดขึ้นมาจะทำยังไง” พอลกอดอกส่ายหน้ามองท่าทางอันร้อนรนของแมททิว หมอนี่เหมือนกับเด็กกำลังแกะห่อของขวัญในวันเกิดครบแปดขวบไม่มีผิด
“ก็ฉันตื่นเต้นนี่หว่า หลักฐานสำคัญเลยนะเว้ย” แมททิวละล่ำละลัก
จริงอยู่ที่เขาเป็คนชวนพอลมาไล่ดูจดหมายขู่จากบุคคลนิรนามที่ส่งถึงจัสตินร่วมหลายฉบับ แต่ดูท่าแล้วกองกระดาษหนาเตอะพวกนี้ไม่ได้ผ่านสายตาพอลเลยแม้แต่น้อย เพราะลิงโลดข้างตัวเขานั้นไม่ยอมเว้นช่องว่างให้เขาหยิบมาดูเลยสักนิด
“จืดเป็บ้า” ฝ่ายชันสูตรนิ่วหน้าเหยเกหลังยกมาร์ตินีอันแสนเจือจางกระดกเข้าปาก แหงอยู่แล้วเพราะนานขนาดนี้แอลกอฮอล์คงระเหยไปจนหมดซะแล้วมั้ง
ในที่สุดพอลก็มีโอกาสได้หยิบจดหมายหนึ่งฉบับขึ้นมาดู ขณะที่แมททิวยังคงขะมักเขม้นกับการรื้อมันออกมาจากซองอย่างบ้าคลั่ง ครั้นพอได้อ่านเนื้อความดูแล้วคงต้องบอกว่าพอลขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่ละคำที่เขียนลงไปนั้นมันช่างอึดอัด ราวกับว่าเป็เขาเองที่ถูกจับตามองแทนที่จะเป็จัสติน ไม่แปลกใจที่ทำไมคนตายถึงได้เอาแต่ขลุกอยู่ในบ้าน ก็เพราะทุกย่างก้าวมันถูกเพ่งเล็งแบบนี้นี่เอง
“เป็ไง” แมททิวเอ่ยถามโดยไม่มองหน้า
“ไม่ได้จ่าหน้าถึงฉันแต่แม่งน่ากลัวเป็บ้า”
“ฉันบอกแล้วว่ามันจับตาดูจัสตินทุกฝีก้าว โรคจิตชัดๆ”
“ดูท่าเขาคงกุมความลับสำคัญน่าดูเลยนะ ทั้งเศร้าที่เขาไม่ได้มีโอกาสจะบอกมัน ทั้งเสียดายที่เราเองก็ต้องมานั่งงมแบบไม่รู้ทางอย่างนี้”
พอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ วางจดหมายลง ชั่งใจอยู่นานว่าควรอ่านฉบับอื่นต่อดีมั้ย แต่มาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องพินิจมันสักหน่อย เผื่อว่าหยดน้ำหมึกเพียงหยดเดียวอาจพาเขาไปสู่กองเืกองใหญ่ได้
“ใจคอนายจะให้ฉันอ่านหมดนี่เลยหรอแมท”
“ใครบอกว่านายคนเดียวล่ะ เราต่างหาก ฉันก็จะอ่านมันด้วย”
ในที่สุดเสียงกระดาษก็หยุดลง นั่นเป็สัญญาณว่าดวงตาทั้งสองคู่กำลังเพ่งมองทีละตัวอักษรในกระดาษท่ามกลางแสงไฟสลัวของบาร์ แมททิวและพอลอ่านมันทีละคำอย่างไม่สนว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ยังดีที่มุมตรงนี้เป็อันรู้กันดีว่ามีไว้สำหรับเื่เฉพาะกิจโดยตรง มุมอับสำหรับทีมสาม นี่ถ้าเดวิดไม่วุ่นอยู่กับเื่คนหายล่ะก็ มีหวังร่างผิวแทนเองก็คงจะนั่งจมโซฟาอยู่ตรงนี้ไม่ต่างจากคนทั้งคู่เป็แน่
คิ้วเรียวของคนทั้งคู่ขมวดเข้าหากัน เสียงถอนหายใจดังเป็ระยะแสดงถึงความหนักอึ้งและจนปัญญา บางฉบับนั้นดูเหมือนจะห่วงใยความเป็ไปของจัสตินเหลือเกินจนน่าใจหาย ในขณะที่บางฉบับเองก็ดูเคียดแค้นเสียจนเกินพอดี ราวกับว่าจิตใจของคนเขียนนั้นไม่แน่นอนเอาเสียเลย แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ไม่ต่างกันเลยคือ มันรู้จักจัสตินเป็อย่างดีจนอาจเรียกได้ว่าสนิทชิดเชื้อก็ว่าได้ น่าแปลกที่คนอย่างจัสตินจะรู้จักกับคนแบบนั้น
“มันต้องว่างมากเลยนะที่มาแอบดูขนาดนี้” แมททิวส่ายหัวขณะยังจดจ้องสายตาลงบนตัวอักษรทีละคำ
พอลเห็นด้วยแต่ไม่ได้ตอบรับอะไร เริ่มจะปวดหนึบที่หว่างคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าจู่ๆเนื้อความบางถ้อยคำก็ทำเอาต้องเอ่ยปากถามอีกคนทันที
“แมท ดูนี่สิ”
“อะไร”
นิ้วเรียวของพอลชี้ลงบนจดหมายในมือ แมททิวละสายตาจากแผ่นกระดาษในมือของตัวเองก่อนจะหันไปดังที่อีกคนว่า เขาอ่านมันอย่างรวดเร็วและเข้าใจทันทีว่าทำไมมันถึงน่าประหลาดจนพอลต้องเรียกให้ดู
กล้าดียังไงคิดจะขโมยของรักเพียงอย่างเดียวของฉัน
“ของรักเพียงอย่างเดียวอย่างงั้นหรอ ว่าแต่มันคืออะไร”
“ฉันก็ไม่รู้”
ของรักเพียงอย่างเดียวอย่างงั้นหรอ มันจะหมายถึงสิ่งของที่เป็วัตถุหรือยังไง แต่ดูแล้วจัสตินเองก็ไม่น่าจะมีนิสัยขี้ขโมยเท่าที่ดูมา สำหรับไก่อ่อนแบบเขานั้นการจะหยิบฉวยอะไรคงเป็เื่ไกลตัวอยู่มากโข แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็ไปไม่ได้ เพราะทุกคนล้วนมีอีกด้านที่ไม่อาจแสดงให้ใครเห็นได้เสมอ
ดวงตาทั้งสองคู่กลอกไปมาอย่างครุ่นคิด ถ้างั้นมันอะไรกันล่ะถ้าหากในใจคนทั้งคู่ไม่คิดว่าเป็สิ่งของ ของรักเพียงอย่างเดียวมันจะเป็อะไรไปได้อีกนะ นอกจาก
“หรือว่ามันจะหมายถึงคน”
พอลเอ่ยด้วยเสียงเรียบทว่าทำเอาดวงตาเรียวของแมททิวเบิกโพลง จริงด้วย ถ้าหากไม่ใช่ของที่หมายถึงสิ่งของ ถ้าของรักนั่นหมายถึงคนขึ้นมาล่ะ
“แต่จัสตินมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง หรือนี่มันคือยังไงกันนะ ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย” นายตำรวจผิวขาวเกาหัวแกรกๆด้วยความงงงวยหนักกว่าเก่า
พอลเองก็ไม่ต่างกัน เขาละสายตาจากจดหมายที่มีถ้อยคำเ้าปัญหาอยู่ในตอนนี้ ก่อนจะกวาดมองฉบับอื่นที่แมททิววางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ พลันมือเรียวเอื้อมคว้าฉบับหนึ่งที่ะโเด้งเรียกความสนใจขึ้นมาทันที
“นี่อะไร”
เป็ฝ่ายชันสูตรข้างตัวอีกแล้วที่เจออะไรน่าสงสัย แมททิวเริ่มคิดแล้วว่ารู้งี้น่าจะเข้าฝ่ายชันสูตรหรือเป็หมอแบบพอลไปให้ซะรู้แล้วรู้รอด จะได้ช่างสังเกตแบบหมอนี่บ้าง แมททิวมองตามและเขยิบตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมเพื่อให้มองเห็นบางสิ่งที่พอลว่าได้ถนัดขึ้น
ตัวหนังสือเล็กจ้อยที่พิมพ์อยู่มุมขวาล่างของจดหมายฉบับนี้นั่นเอง ไม่มีฉบับไหนเลยที่มีแบบนี้ มีเพียงฉบับนี้ฉบับเดียวที่มี
Technicians department
“ฝ่ายเทคนิคงั้นหรอ”
ไม่เพียงแต่ปรากฏชื่อแผนกอะไรสักอย่าง หากแต่มันพ่วงมากับตราสัญลักษณ์ที่แปะอยู่เหนือตัวหนังสือขนาดใหญ่กว่านิดหน่อย แมททิวตาลุกวาวกว่าเดิม คนทั้งคู่หันมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ นี่มันหลักฐานชั้นดี ไม่สิ ชั้นเยี่ยมชัดๆ
“นายเคยเห็นตรานี่มั้ยแมท”
“ฉันว่าฉันพอจะคุ้นอยู่ แต่ขอ…”
“บริษัทเจค!”
เพียงครู่เดียวแมททิวก็โพล่งมันออกมาทันที เขาจำตราสัญลักษณ์ของบริษัทเจคได้ดี เพราะพึ่งเห็นมันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จำได้ว่าจ้องมันอยู่พักใหญ่ตอนที่รอเจคแกะรอยเครื่องดักฟังให้ ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอมันอยู่ตรงหน้าในจดหมายขู่แบบนี้
“หมอนั่นอยู่แผนกอะไร” พอลเอ่ยถามทันที
“เจคอยู่ไอที แต่ฉันว่าไม่ยากแน่ถ้าจะขอรายชื่อแผนกเทคนิคมา นี่มันกระดาษที่ใช้กันในองค์กรชัดๆ ไอ้บ้านั่นมันต้องทำงานบริษัทนั้นแน่ หรือมันอาจจะแค่บังเอิญได้มาฟรีกันนะ” แมททิวเอ่ยอย่างลังเล เขาเองกลัวว่ามันจะผิดทางและทำให้เสียเวลาไปอีก แต่พอลไม่คิดแบบนั้น
“ไม่หรอก ฉันว่านี่มันกระดาษสำหรับใช้แยกแผนกแบบที่นายว่านั่นแหละ จำได้มั้ยตอนที่คดีคราวก่อนนายให้เจคแกะรอยอะไรสักอย่างแล้วปริ้นออกมาน่ะ มุมกระดาษยังเป็แผนกไอทีเลย”
“จริงด้วย”
นี่มันจุดไต้ตำตอชัดๆ ทั้งสองยิ้มร่าออกมา คว้าแก้วแอลกอฮอล์บนโต๊ะกระดกเข้าปากพร้อมกันราวกับจะฉลองชัย เพียงครู่ก็แยกย้ายกันกลับ แมททิวอาสาจะไปขอความช่วยเหลือจากเจคอีกครั้ง แม้รู้ดีว่าเื่แบบนี้มันอาจจะล่อแหลมไปสักหน่อยสำหรับองค์กรใหญ่โตแบบนั้น แต่เขามั่นใจว่าเจคคงไม่ปฏิเสธ และถ้าหากมันสำเร็จ มันจะเป็หนทางที่จะแก้ปมอันแสนซับซ้อนนี่ออกไปได้เสียที
ขณะเดียวกันในห้องสี่เหลี่ยมไม่ห่างจากบาร์ที่แมททิวกับพอลอยู่นั้น นายตำรวจหนุ่มผิวแทนขาดื่มยังคงนั่งง่วนอยู่กับตัวหนังสือยึกยือที่รีบเร่งจดมาเมื่อวันก่อน ถ้าขืนเดวิดรู้เข้าว่าแมททิวกับพอลแอบไปดื่มกันสองคนโดยไม่มีเขาละก็ โวยวายลั่นห้องแน่ ถึงแม้จะเป็การดื่มเพื่อสะสางคดีก็เถอะ
“ดึกขนาดนี้คุณไปนอนเถอะ ผมดูต่อเอง”
“ผมยังไม่ง่วงสักหน่อย”
เสียงอู้อี้จากปลายสายตอบกลับมา แน่นอนว่าในสายคงเป็ใครไปไม่ได้นอกจากคนตัวเล็กจอมเ้าเล่ห์คนนั้น เจย์ลีนเป็คนโทรเข้ามาเหตุผลเพียงเพราะว่านอนไม่หลับ เดวิดเหลือบตามองดูนาฬิกาหัวเตียงตอนกดรับสายก็พอจะเข้าใจ ปาเข้าไปตีสองกว่าแล้วยังเล่นโทรเข้ามาหาแบบนี้คงจะนอนไม่หลับจริงๆ กลายเป็ว่าตอนนี้คนทั้งสองกำลังนั่งไล่ดูรายชื่อลูกค้าของบุหรี่ยี่ห้อนั้นที่แอบฉกฉวยมาอย่างตั้งใจ
“สรุปมันจริงอย่างที่คุณว่ามั้ย ว่าคุณรู้จักเกือบทั้งหมดเนี่ย”
เดวิดเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาเบิกตาโพลงแทบสิ้นสติหลังเจย์ลีนบอกแบบนั้นขณะที่เขากำลังไล่อ่านชื่อทีละคน คนตัวเล็กบอกว่าสามในสี่นั้นไม่ใช่คนดังอะไรที่จะเอ่ยชื่อแล้วนึกออกแบบพ่อเขา หากแต่ในวงสังคมไฮโซคนมีอันจะกินที่เจย์ลีนอยู่นั้น พอจะนึกออกได้ไม่ยากว่าพวกเขาเป็ใคร
“แล้วผมจะโกหกให้เราเสียเวลากันทำไมล่ะ คุณได้จดตามที่ผมบอกหรือเปล่าล่ะว่าเขาเป็ใคร” เสียงแข็งที่ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาทำเดวิดไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ
“คุณนี่มันจริงๆเลยนะ” น้ำเสียงเหนื่อยใจของเจย์ลีนทำเอาคนปลายสายห่อตัวย่นด้วยความหวาดกลัวทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ข้างกัน
“มันดึกแล้วนี่ อย่าลืมสิว่าผมแก่กว่าคุณตั้งหลายปี”
“อ้างนู่นอ้างนี่ ถ้าอยู่ใกล้จะหยิกให้เนื้อเขียว” เจย์ลีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายมากขึ้น เดวิดคว้าปากกาบนโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อรอคอยคนปลายสายอีกครั้ง
“คราวนี้ก็จดตามให้ทันด้วยแล้วกัน ไม่งั้นพรุ่งนี้คุณกับผมได้ตื่นสายโด่งแน่” คนตัวเล็กเอ่ยพร้อมกับเสียงขยับตัวเพียงครู่ก็ร่ายยาวเป็หางว่าวจนเดวิดแทบจะจดตามไม่ทัน
“คนแรกคืออาแดน แดเนียล วินส์ตัน ไม่แน่ใจว่าอายุเท่าไหร่นะ แต่เด็กกว่าพ่อ เคยเจอเขาตามงานสังคมประมาณสองสามครั้ง ตอนที่พ่อเปิดตัวคอนโดใหม่เขาก็มานะ เื่สูบบุหรี่ก็น่าจะจัดแหละ เขาแต่งตัวเนี๊ยบแล้วก็ดูชอบอะไรหรูหรานะ เื่เข้าป่าผมว่าอาจจะต้องตัดไปได้เลย งานอะไรสักอย่างแอร์เสียแค่ครึ่งชั่วโมงเขาโวยวายแทบจะพังงาน ผมว่าเขาคงไม่น่าจะเข้าไปในป่าลึกแบบนั้นได้หรอก”
เจย์ลีนเล่าเป็ฉากๆจากเดิมทีตอนแรกแค่ไล่ชื่อไปทีละน้อย แน่นอนว่าเขาค่อยๆนึกภาพความทรงจำในหัวทีละฉาก เดวิดนึกชื่นชมอยู่ในใจที่อีกคนสามารถเอ่ยเล่าได้เป็อย่างดี มันทำให้มีประโยชน์มากเหลือเกินใน่เวลาที่คับขันเช่นนี้
“จดทันหรือเปล่า”
“ทัน คุณก็ไม่ได้พูดเร็วนี่”
“ที่ไม่พูดเร็วเพราะกลัวคนแก่ตาฝ้าฟางอย่างคุณจะมัวแต่งมจนเสียเวลาซะมากกว่า” เสียงหัวเราะคิกคักทำเอาเดวิดอยากจะเอื้อมมือไปตีหากอยู่ข้างกัน
ความสัมพันธ์และความใกล้ชิดมันก่อตัวเป็หมอกบางเบาทว่าฟุ้งลอยเคว้งปกคลุมโดยที่ทั้งคู่ไม่อาจรู้ตัว ทว่าในตอนนี้ความสนิทชิดเชื้อนั้นคงกลายเป็ประเด็นรองลงไปเสียมากกว่า เพราะข้อมูลสำคัญในมือและการตามหาที่หนักอึ้งภายในใจนั้นแทนที่ความรู้สึกดีๆระหว่างคนทั้งคู่ที่ควรจะเกิดไปจนหมด
“เดี๋ยวเถอะ แล้วคนต่อมาล่ะ” เดวิดวกกลับมาเื่สำคัญกว่าในตอนนี้ ทั้งที่ในใจเองก็อยากจะชวนคุยสัพเพเหระอยู่ไม่น้อย
“คนที่สองนี่ไม่ค่อยเจอเขาเท่าไหร่นัก เพราะเขามีธุรกิจแถบเอเชียเยอะมาก เท่าที่พ่อเล่าให้ฟังนะ ลุงพีท ปีเตอร์ พอร์ตเดอโนล เขาอายุแก่กว่าพ่อไม่กี่ปี น่าจะแค่ปีสองปีเองมั้ง เขาทำธุรกิจเหมือนกันกับพ่อเลย เป็แนวอสังหาเหมือนกัน พ่อเหมือนจะรู้จักกับเขามานานมากแล้ว แต่ไม่สนิทกันมากเท่าไหร่ แต่เคยไปออกรอบตีกอล์ฟด้วยกันสองครั้งมั้ง”
“แล้วเขาเป็คนยังไง” เดวิดเอ่ยถามปลายสาย
“อืมมม ดูขี้กลัวนะ ยังไงดีล่ะ เขาเหมือนกับว่ารักความสะอาดมากจนน่าขนลุกน่ะ พ่อเล่าให้ฟังว่าตอนไปออกรอบเขาเช็ดลูกกอล์ฟเช็ดนู่นนี่จนเงาวับแทบส่องกระจกได้ พอนึกถึงป่าลึกและต้องย่ำดินลงไปจนเป็รอยเท้าขนาดนั้น ผมว่าคงมีโอกาสปัดตกอยู่เยอะเหมือนกันนะ”
เดวิดพยักหน้าตามที่เจย์ลีนบอก นึกชมอยู่ในใจที่เดี๋ยวนี้อีกคนดูจะมองอะไรหลากหลายมิติมากขึ้นหากเทียบกับวันแรกที่รู้จักกัน เจย์ลีนรู้จักวิเคราะห์อะไรรอบตัวมากขึ้น ช่างสังเกต แถมยังดูเหมือนว่าจะหูตาไวกว่าตำรวจแบบเขาเสียอีก
“แล้วเราจะแน่ใจได้ใช่มั้ยว่าเขาจะไม่เกี่ยวข้องจริงๆ สองคนที่คุณบอกมาน่ะ ไหนจะที่เหลืออีก”
“ค่อนข้างมั่นใจนะ แต่ถ้าคุณอยากรู้อะไรเพิ่มอีกผมอาจจะต้องลองถามพ่อดูได้”
“เขาจะ…” เดวิดกลืนคำพูดคำนั้นลงคอไปเมื่อรู้ดีว่าไม่สมควรจะเอ่ยมันออกมาสักนิด คนนอกอย่างเขามีสิทธิ์อะไรจะไปตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวแบบนั้น
“คุณว่าอะไรนะ”
“เปล่าหรอก ต่อเลยมั้ย คนสุดท้ายที่คุณว่ารู้จักนี่ใครล่ะ”
“คนนี้ผมว่าอาจจะผ่านไปเลยก็ได้นะ เป็ผู้หญิงน่ะ”
“ผู้หญิงหรอ” เดวิดอุทานออกมาด้วยความใเล็กน้อย
“ใช่ ดูจากรอยเท้าที่เราเจอแล้วไม่น่าจะใช่หรอกเนอะ” เจย์ลีนตั้งข้อสันนิษฐาน น้ำเสียงของคนตัวเล็กดูจะงัวเงียเล็กน้อย
“แล้วถ้าหล่อนบังเอิญขโมยรองเท้าใครสักคนแล้วเข้าป่าไปล่ะ”
“คุณเพี้ยนหรือไงกัน ป้าไอวี่อายุจะเข้าเจ็ดสิบแล้วนะ คงไม่ไปเดินเพ่นพ่านในป่าแบบนั้นหรอกมั้ง”
เจย์ลีนขำพรืด เดวิดเองก็ไม่ต่าง ก็คนไม่รู้นี่นามันผิดตรงไหนกันล่ะ เดวิดจรดปลายปากกายุกยิกลงบนกระดาษพักหนึ่ง ก่อนจะละสายตาไปมองชื่อเพียงชื่อเดียวที่เหลืออยู่จากการลักลอบจดมา
เอ็ดวิน สมิธ
“เอ็ดวิน สมิธ” เดวิดเอ่ยทวนขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยนะพูดจริง ถ้าเขาเป็คนที่อยู่ในแวดวงเดียวกันก็คงจะพอรู้จักหรือเคยได้ยินมาบ้างนะ แต่ไม่เลย”
“ถ้างั้นก็แปลว่าเราเหลือหมากในกระดานแค่ตัวเดียวถูกมั้ย” เดวิดครุ่นคิด เอนหลังเล็กน้อยและบีบนวดต้นคอด้วยความเมื่อยล้า
“แบบนั้นก็แปลว่าเราจะต้องตามหาเขาแค่คนเดียวหรอ”
“ก็อาจจะเป็แบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมจะทิ้งคนที่เหลือนะ เพราะมันเป็คำบอกเล่าจากหนึ่งด้านเท่านั้น”
“ผมรู้ แต่เราจะตามหาเขาเจอได้ยังไงล่ะ”
“พอมีวิธีอยู่”
“ผิดกฎหมายหรือเปล่า”
“โถ่ ผมเป็ตำรวจนะเจย์”
เจย์ลีนเบิกตาโพลงทันทีที่ได้ยินชื่อเล่นของตัวเองหลุดจากปลายสายอย่างลืมตัว เดวิดเองก็เงียบไป ไม่มีแม้แต่เสียงของลมหายใจเลยสักนิด กำแพงแห่งความเงียบก่อตัวระหว่างคนสองคนอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“ผะ ผมว่า ผมไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะ จะได้ไปที่สถานีแต่เช้า” เป็เจย์ลีนที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ถ้อยคำในประโยคที่ละล่ำละลักนั้นตีคู่มากับอาการร้อนผ่าวที่ใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้
“อะ อื้อ พรุ่งนี้เจอกัน”
“ครับ”
เงียบไปแล้วทว่าทุกอย่างยังดังก้องในหัว เจย์ลีนเป็ฝ่ายตัดสายทิ้งไปเสียก่อน ทว่าโทรศัพท์เครื่องบางยังคงแนบค้างอยู่ในมือของนายตำรวจหนุ่ม คนตัวเล็กนั่นกระอักกระอ่วนหรอ เขาเองก็ไม่ต่างนัก ใจจริงอยากจะตีปากเ้ากรรมที่ดันโพล่งอะไรไม่สมควรออกไปเหลือเกิน
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่อยู่ดีๆก็อยากจะเรียกเขาขึ้นมาด้วยชื่อเล่นซะแบบนั้น และเป็ครั้งแรกในรอบเกือบเดือนที่เดวิดเผลอไผลทำอะไรล้ำเส้นแบบนี้ สำหรับเจย์ลีนจะเรียกว่าล้ำเส้นหรือไม่เขาเองก็ไม่รู้ แต่สำหรับเขาแล้วมันช่างน่าอายเหลือเกิน อายุอานามก็แก่กว่าเขาหลายปี ดันไปเรียกชื่อเล่นเขาเหมือนตัวเองเป็เด็กๆเสียได้ น่าอนาถใจซะจริง
ล่วงเลยผ่านไปจวบจนห้วงนิทราของผู้เป็ลูกดำดิ่งลึก ทว่าภายในห้องทำงานยังคงเปิดไฟสว่างโร่ อากาศเย็นฉ่ำทำเอาชายวัยกลางคนบนเก้าอี้นวมหรูหราต้องเอื้อมมือไปหยิบสเวตเตอร์ตัวเก่งมาสวม อุณหภูมิลดลงเพราะดึกจนป่านนี้แล้ว ทิมยังคงนั่งเอื่อยเฉื่อยทอดอารมณ์พร้อมกับมวนบุหรี่ราคาแพงในมือ สายตาวางฝังลงบนอัลบั้มรูปเล่มหนาที่เปิดกางอยู่ ไม่นับรวมอีกสองเล่มที่วางอยู่ไม่ห่างกันมากนัก
รูปบางใบสีซีดไปตามกาลเวลา หากแต่บางใบก็ยังคงสดใสไม่ต่างจากรอยยิ้มอันเยาว์วัยของคนสองคนในรูป รอยยิ้มมุมปากของผู้เป็พ่อยังคงเปื้อนบนใบหน้าเสมอยามได้มองเด็กชายตัวน้อยทั้งสองผ่านรูปภาพที่เก็บมันไว้เป็อย่างดี ทว่าในตอนนี้ทิมไม่อาจรับรู้การเป็ไปของเด็กชายทางขวาได้เลย จูเลียนหายไปนานจนคนเป็พ่อใจบอบช้ำเหลือเกิน
ภายใต้ความแข็งกร้าวที่ต้องแบกรับทุกอย่างอันแสนหนักอึ้งนั้นมันซุกซ่อนปราการเปราะบางไว้เสมอ ทิมเสียแม่ของลูกไปั้แ่แฝดทั้งสองอายุได้เพียงห้าขวบ หนึ่งในความหวังว่าหล่อนจะหายจากโรคร้ายนั้นดับสูญสลายไป ทิ้งไว้เพียงแก้วตาดวงใจเป็ของขวัญต่างหน้าในวันที่ไม่อาจพบพานกันอีกต่อไป
ทิมรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางจะโอบอุ้มแฝดทั้งสองได้ดีเท่าคนเป็แม่ ไม่ใช่ว่าความรักที่ให้นั้นไม่เท่ากัน หากแต่ความแข็งทื่อโอนอ่อนไม่เป็นั้นบ่มเพาะมาจากรุ่นสู่รุ่น มันเลยทำให้หนึ่งในสองมักจะรั้นคำสอนและไม่ฟังคำสั่งของเขามาเสมอ และทิมรู้ดีว่าจูเลียนกับตัวเขานั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนัก ลูกมักคิดว่าเขาต่อต้านไม่ฟังสิ่งที่ลูกจะบอก แต่ใครเลยจะล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาใจแทบขาดทุกเมื่อเชื่อวันเสมอมาั้แ่จูเลียนหายตัวไป
ปิดอัลบั้มรูปลงทันทีที่รู้สึกว่าความเ็ปมันทำท่าจะเล่นงานเขาอีกครั้ง มือเอื้อมหยิบเล่มที่เหลือใส่อ้อมแขน ทิ้งก้นบุหรี่ลงที่เขี่ยและปล่อยให้มันดับมอดลงไปเองพร้อมกับความข่มปร่าและระทมในจิตใจ ทว่าสิ่งหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากอัลบั้มรูปเก่าเก็บที่นานทีจะหยิบออกมาดูเช่นนี้
เขาวางของในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะก้มลงไปหยิบรูปภาพใบหนึ่งที่หล่นคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ตัดสินใจพลิกดูมันก่อนที่อีกสักพักจะเก็บมันเข้าที่ตามเดิม และเหมือนจะตัดสินใจถูก ภาพวันวานที่แทบจะหลงลืมไปย้อนกลับมาฉายชัดราวกับหนังเื่โปรดในหัว
ทิมถอนหายใจ รูปในมือคือคนทั้งสามยืนเรียงหน้ากระดานและกอดคอกัน รอยยิ้มอันสดใสเมื่อคราวอายุสิบเก้าปีแจ่มแจ้งในความรู้สึก ทิมยืนอยู่ตรงกลาง ซ้ายคือร็อบ เพื่อนตำรวจยศใหญ่ที่เขาแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือเมื่อตอนจูเลียนหายตัวไป ถ้าไม่ได้ร็อบช่วยก็คงจะแย่อยู่เหมือนกัน ทว่าคนทางขวามือนั้น เพื่อนเก่าสมัยมหาวิทยาลัย หนึ่งในเพื่อนซี้ที่เขาไม่ได้เจอมาร่วมยี่สิบห้าปีแล้ว เพราะหมอนั่นหายสาบสูญไปชนิดที่ว่าตามหาไม่เจอเลย
ทิมจำได้ดีว่าพวกเขาทั้งสามคนเคยสนิทกันมากแค่ไหน ชอบอะไรคล้ายคลึงกันและรู้จักกันมาั้แ่สมัยไฮสคูล ต่างกันอยู่เพียงอย่างเดียวที่ฐานะ ร็อบและทิมไม่ต่างกันนักเพราะเป็ตระกูลผู้ดีมีอันจะกิน ในขณะที่อีกคนนั้นเรียกได้ว่าปานกลางไปจนเกือบล่าง แต่หมอนั่นหัวดี เรียกได้ว่าเป็หัวกะทิของกลุ่ม เื่การบ้านหรือสอบขึ้นมาทีไร พึ่งได้เสมอและเป็คนที่มักจะคอยเคี่ยวเข็ญให้ทิมและร็อบสนใจเรียน
ทว่าอยู่มาวันหนึ่งเมื่อตอนเปิดเทอมขึ้นปีสอง ไม่มีใครติดต่อเขาได้อีกเลย และจวบจนทุกวันนี้ กระทั่งทิมอายุอีกไม่กี่ปีก็จะห้าสิบแล้วนั้น ทิมไม่เคยเจอเพื่อนเก่าคนนี้อีกเลย เขาหายไปอย่างสมบูรณ์ ถ้าหากไม่มีภาพถ่ายก็คงจดจำแทบไม่ได้ว่าเคยมีคนคนนี้อยู่ใน่ชีวิตที่มีความสุขด้วยกัน
ไม่ใช่ว่าไม่เคยตามหา ใครจะปล่อยให้เพื่อนรักที่สนิทและไว้ใจหายไปแบบนั้น หากแต่ไม่ว่าทิมและร็อบจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่เคยเจอเพื่อนคนนี้อีกเลย มันน่าเ็ปไม่แพ้กันที่ส่วนหนึ่งในกลุ่มหายไป มันเหมือนกับว่าลูกเหล็กที่เคยถ่วงให้ทุกอย่างสมดุลนั้นมันถูกขว้างทิ้งไปอย่างไรอย่างนั้น
ทิมตัดสินใจสอดรูปสีซีดใบนี้ไว้ในอัลบั้มตามเดิม ปิดผนึกเก็บกล่องความทรงจำกล่องใหญ่ให้มันอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ของมัน ไม่ใช่ว่าไม่นึกถึง หากแต่ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็ตายร้ายดียังไง จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทิมไม่อาจคาดเดาได้เลย คงไม่ต่างจากชะตากรรมของจูเลียนสักเท่าไหร่ หายไปอย่างมิอาจล่วงรู้เหมือนกัน ยามที่บางสิ่งที่เคยจับต้องได้มันคว้าได้เพียงอากาศธาตุนั้นมันช่างน่าใจหายเสียเหลือเกิน
เอ็ด นายจะเป็ยังไงบ้างนะ
จะยังสบายดีอยู่หรือเปล่า
ฉันกับทิมคิดถึงนายนะ
เพื่อน