Chapter 21
Only hands can ruin it all
ก้นบุหรี่ที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าสีเทาถูกวางอยู่กลางโต๊ะของแผนกพิสูจน์หลักฐานในสถานีตำรวจ ดวงตาสองคู่จ้องมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์ หนึ่งในนั้นละสายตาสลับไปมองรูปรอยเท้าบนจอสี่เหลี่ยมที่ซูมแล้วซูมอีกมาเกือบชั่วโมงเห็นจะได้
“รอยรองเท้าแบบนี้ ไม่คุ้นตาเลยแฮะ” แดนเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมานาน เดวิดที่นั่งกอดอกอยู่ข้างๆเองก็ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ หากให้นับคงไม่หวาดไม่ไหว
“เด็กคนนั้นกลับไปแล้วหรอ” เดวิดหันขวับมองหน้าคนถาม พอเห็นรอยยิ้มที่กวนประสาทของเพื่อนร่วมงานก็พอมองออกว่าเขาหมายถึงใคร
“เบาะแสอยู่ตรงหน้าก็ยังมีกะจิตกะใจถามถึงคนอื่นอีกเนอะ” แดนหัวเราะในลำคอเบาๆ พอใจอย่างมากที่ได้เย้าแหย่คนหน้าบึ้งข้างๆ ดูท่าเดวิดจะเครียดกว่าเขาเสียอีก
“เห้ย ฉันพอนึกอะไรออกแล้ว” ทว่าอยู่ดีๆนายตำรวจหนุ่มผิวแทนก็โพล่งบางอย่างออกมาเสียงดังลั่นห้องเก็บหลักฐาน
“อะไร”
“รอยเท้านี้ มันเป็รองเท้าเดินป่า”
สิ้นประโยคนั้น แดนตาลุกวาวทันทีที่ฉุกคิดอะไรง่อยๆแบบนั้นไม่ได้ แต่อันที่จริงเขาแอบขบคิดในใจไว้แล้วว่ามันคงต้องเป็รองเท้าเดินป่าแหงๆ แต่อีกใจนึกก็ย้อนเถียงตัวเองว่าตลอดระยะการทำงานมาร่วมหลายปีนั้น รอยรองเท้าเดินป่านับหลายร้อยคู่เองก็มีมาให้ผ่านตาเสมอ หากแต่แดนไม่เคยเจออะไรที่ใกล้เคียงแบบนี้เลย หนำซ้ำในเมืองเองก็ขายรองเท้าเดินป่าอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ
“ไม่ยักกับเคยเห็นยี่ห้อนี้”
“เพราะมันเก่ามาก ฉันจำได้ว่าพ่อเคยมียี่ห้อนี้อยู่คู่หนึ่ง น่าจะได้มาตอนทริปแถบเอเชียมั้ง”
เดวิดยังคงทำหน้าครุ่นคิดไม่เปลี่ยน ความทรงจำในวัยเด็กหวนคืนมาอย่างเลือนราง พ่อเองก็เคยพาเขาไปเดินป่าแต่ไม่บ่อยเท่าไหร่นัก ส่วนมากก็แค่เดินเล่นเรื่อยเปื่อยคุยสัพเพเหระในแบบของพ่อกับลูกชาย แต่ที่จำได้เื่รองเท้าเดินป่านั้นเพราะพ่อเคยบอกว่ายี่ห้อนี้ใส่สบายกว่าที่ขายกันในเมือง แต่นั่นมันก็เกินยี่สิบปีมาแล้ว ใจเต้นเบาๆเมื่อดันจับต้นชนปลายความสงสัยในหัวขึ้นมาได้โดยบังเอิญ
“นายแน่ใจนะเดฟ”
“ฉันว่าความจำฉันยังพอไหวอยู่นะ ถ้าแบบนั้นคนคนนี้ก็ต้องเป็คนมีอายุสิ แก่คราวพอฉันเลยหรอ แต่ถ้าอายุมากขนาดนั้นจะมาทำอะไรในป่ากัน”
จริงอย่างที่เดวิดว่า แดนคิดในใจหากคนอายุมากขนาดนั้นยังมาเดินเพ่นพ่านในป่าลึกตามที่เดวิดบอกก็คงแปลกไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็ไปไม่ได้เลย บางอย่างที่คาดไม่ถึงมันมักโผล่มาให้ประหลาดใจเสมอจากที่เรียนรู้มาตลอดในการทำงาน
“เื่นั้นฉันอาจต้องสืบหาเื่ยี่ห้อที่ชัดเจนอีกที แต่มันคงต้องใช้เวลาหน่อย แล้วเื่บุหรี่ล่ะ ฉันว่านายน่าจะถนัดนะ”
“เออ ฉันสูบมาทุกยี่ห้อในเมืองแล้ว แต่ไม่เคยเห็นก้นแบบนี้เลยว่ะ บุหรี่นอกหรือเปล่านะ”
“ก็เป็ไปได้นะ พวกที่ราคาแพงหูฉี่น่ะ”
“หมอนี่มันยิ่งซับซ้อนและขัดแย้งในเวลาเดียวกันแฮะ ใช้รองเท้ายี่ห้อเก่าเรียกปู่ แต่สูบบุหรี่นอก”
“แต่จุดร่วมมันก็มีนี่”
“อะไร” เดวิดกอดอกขมวดคิ้ว มองแดนด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
“หมอนี่ดูจะชอบใช้ของนอกนะว่ามั้ย ทั้งบุหรี่ทั้งรองเท้า ดูท่าเป็คนมีอันจะกิน”
ข้อสันนิษฐานจากปากแดนคือสิ่งที่น่าสนใจสิ่งใหม่เสียเหลือเกิน มันก็จริงดังที่เขาว่า เดวิดคิดในหัวตามพร้อมกับพยายามจินตนาการถึงใบหน้าและรูปลักษณ์คนแปลกหน้าคนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงหรือชาย แต่ขอเดาว่าชายไว้ก่อน หากแต่การปัดตกไปเลยว่าไม่ใช่หญิงก็ดูจะด่วนสรุปไปเสียหน่อย
ตอนนี้บุคคลปริศนาคนนี้ยังคงเป็ภาพมัวจางๆในหัวของเดวิดและแดนเพียงเท่านั้น ไม่อาจเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไหนจะรอยเท้าที่สิ้นสุดลงอย่างดื้อๆนั่นอีก ทุกอย่างมันช่างน่าสงสัยไปหมด ทว่าอีกห้วงคำนึงของเดวิดกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาเล่นๆ
มันน่าสงสัย
หรือ
ถูกทำให้น่าสงสัยกันแน่
หากเขาเป็คนร้ายจริง การจะทิ้งรอยระบุตัวตนแม้เพียงน้อยนิดมันก็ไม่ควร แม้อาจเป็เพียงคนธรรมดาที่เพ่นพ่านไปมาในป่าเท่านั้นก็ตาม ทุกคนในเมืองรู้ดีว่ามันเป็พื้นที่สงวน ถึงจะไม่มีการบอกว่าห้ามรุกล้ำอย่างชัดเจนและบางครั้งก็มีการเผอเรอไปบ้างก็ตาม แบบนั้นก็ไม่ควรจะมีอะไรอย่างนี้ที่ทำให้สงสัยจนคิดสมองแทบแตกแบบนี้อยู่
เดวิดพยายามไล่ความคิดที่ตีกันนี้ออก บางทีคนคนนี้อาจเป็คนธรรมดาที่บังเอิญทำอะไรน่าสงสัยก็ได้ หากครั้นจะให้ละทิ้งความเคลือบแคลงใจไปเลยก็คงต้องบอกว่ายาก อย่างน้อยหากเขาไม่ได้ทำให้จูเลียนหายไปเช่นนี้ เขาก็อาจรู้ว่าผืนป่านี้มันมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า แม้แต่เบาะแสเพียงหยิบมือก็อาจนำมาสู่ตอไม้ใหญ่ั์ได้ไม่ยาก
“สรุปเด็กคนนั้นกลับไปแล้วหรอ” แดนมิวายโพล่งขึ้นมาอีกพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนน่าลั่นกระบาล
“น่ารำคาญชะมัด เขารออยู่ข้างนอกนู่น” เดวิดเอ่ยด้วยความรำคาญใจ
“ทำไมไม่ให้เข้ามาด้วยล่ะ”
“นายมีธุระอะไรอยากคุยกับเขางั้นหรอ เดินออกไปคุยสิ”
“เปล๊า ฉันก็แค่อยากเห็นหน้าคนที่ทำให้ไอ้ทึ่มอย่างนายแต่งตัวดูดีจนแทบจำไม่ได้วันนั้นไง”
แดนกำลังพูดถึงวันที่เดวิดแต่งตัวแปลกไปจากเดิม ไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบแบบที่เห็นได้ทุกวัน เดวิดส่ายหน้าด้วยความระอา
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจย์”
“วู้ว เรียกชื่อเล่นกันแล้วหรอ คืบหน้าแฮะ” แดนตบมือเบาๆยิ้มกว้างราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่
“เป็บ้าไปแล้วหรือไงแดน เอาเวลาไปดูหลักฐานเถอะ ฉันจะไปร้านของชำแล้วถามเื่บุหรี่”
นายตำรวจฝ่ายหลักฐานหัวเราะคิกคักชอบใจ เดวิดลุกขึ้นก่อนจะหยิบก้นบุหรี่หนึ่งมวนจากห่อผ้าเช็ดหน้าพร้อมถุงซิปล็อกที่มุมโต๊ะทำงานของแดน นายตำรวจผิวแทนมองเพื่อนร่วมงานที่ยิ้มแป้นด้วยแววตาระอาใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งไว้ก็แต่คนพูดมากที่พูดจาไร้สาระทว่ามันกลับแทงใจดำเขาเข้าเต็มๆโดยไม่รู้ตัว
แมททิวก้าวลงจากรถหลังกระดกลาเต้ที่พึ่งซื้อมากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนรวดเดียวจนหมด ร่างสูงยืนมองแถบเทปสีเหลืองกั้นประตูที่เริ่มจะห้อยระโยงระยางลงมา บ้านของจัสตินในเวลานี้เริ่มไม่มีใครสนใจเท่า่แรกที่เขาตาย ผู้คนสัญจรผ่านไปมาราวกับมันคือบ้านที่ไร้คนอยู่หลังหนึ่งเท่านั้น นี่แหละนะความโดดเดี่ยว ตอนอยู่ก็ตัวคนเดียวแม้ตายไปก็ยังคงโดดเดี่ยวจนวินาทีสุดท้าย
นายตำรวจหนุ่มก้มตัวลอดผ่านแถบเทปก่อนไขกุญแจเข้าไปในตัวบ้าน กลิ่นคาวคลุ้งของเืจางหายไปตามกาลเวลา ละอองฝุ่นที่สะท้อนจากแสงแดดลอยเคว้งในอากาศ เงียบเชียบเหลือเกินแม้จะสายเอาป่านนี้แล้ว แต่ไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะรอบข้างไม่ได้มีผู้คนมากนัก แถมย่านนี้ก็มีแต่คนอายุมากอาศัยอยู่ น่าแปลกเหมือนกันที่จัสตินและอันย่าเลือกที่แห่งนี้เป็เรือนหอ แต่อย่างว่า คนอายุน้อยที่พึ่งจะเริ่มสร้างครอบครัวก็คงไม่อยากจะเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากนัก
แมททิวยืนนิ่งมองรอบตัวอย่างจับจุดไม่ถูกสักเท่าไหร่ว่าควรจะทำอะไรต่อ รู้แค่เพียงความสงสัยในตัวของเขามันยังพลุ่งพล่านในตัวไม่หาย ที่แห่งนี้มันยังคงรบกวนใจเขาราวกับจะกู่ร้องว่ามีบางอย่างที่เขายังติดค้างกับมัน แมททิวเองไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่การค้นอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมอีกครั้งคงจะเป็เื่ที่ทำให้เขาสบายใจได้
ก้าวขาไปตามพื้นเริ่มจากห้องรับแขกลามไปยังห้องครัว แน่นอนว่าเครื่องดักฟังใต้โซฟานั่นหายไปอย่างไร้ร่องรอยจากคำบอกของเจค เขาว่ามันคงถูกทำลายทิ้งเรียบร้อยไปแล้ว เผลอๆอาจเป็วันเดียวกันกับที่แมททิวบุกมาตอนดึกนั่นเลยก็ได้ ในหัวเขาคิดเพียงว่าถ้าหากไม่โทรหาจัสตินเพื่อนัดแนะ บางทีเขาอาจได้ข้อมูลอะไรที่สำคัญมากมาอยู่ในมือก็ได้ หรือจัสตินอาจไม่มีจุดจบที่แสนเศร้าเช่นนี้
แน่นอนว่าทั้งห้องรับแขกและห้องครัวภายในบ้านหลังเล็กนั้นไม่มีอะไรใหม่ๆเลย แน่ใจว่าดูทุกซอกทุกมุมจริงๆ กองหนังสือและเอกสารระเกะระกะบนโต๊ะนั่นเขาก็ดูอย่างละเอียดถึงสองรอบ นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอึ้ง เหลือเพียงห้องเดียวคือห้องนอนของจัสติน ไม่แน่ใจว่าแดนพาคนอื่นมาตรวจค้นแบบถี่ถ้วนแล้วหรือยัง แต่การเช็กซ้ำอีกทีก็คงจะเป็เื่ที่ดี
เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นไม้ดังขึ้นทั่วบ้านั้แ่แมททิวเหยียบย่างเข้ามาภายในบ้าน เตียงคู่ขนาดพอดีตั้งอยู่กลางห้อง ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มเรียบตึงราวกับเ้าของบ้านพึ่งพับมันเสร็จเมื่อครู่ นึกชมจัสตินอยู่ในใจว่าขนาดเขาเสียศูนย์ปานนั้นยังมีกะจิตกะใจดูแลความสะอาดบ้าน เป็แมททิวคงเทียบไม่ได้
ห้องนอนขนาดย่อมไม่เว้นแม้ตู้เสื้อผ้าเองก็ไม่รอดพ้นสายตาแมททิว แน่นอนว่ามันยังคงเหมือนเดิม เขาเริ่มจะท้อขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้ามาแล้วไม่เจออะไรแบบนี้ รู้งี้น่าจะถามแดนเอาคงง่ายกว่าว่าสำรวจครบแล้วหรือยัง ร่างสูงทำท่าจะหมุนตัวออกทว่าในหัวฉุกคิดถึงที่จุดจุดหนึ่ง รีบคุกเข่าลงกับพื้นและก้มมองทันทีด้วยความตื่นเต้น
บิงโก
มีจริงๆด้วย
เอื้อมแขนลากบางสิ่งออกมาจากใต้เตียงนอน ฝุ่นละอองคละคลุ้งตามมาจนต้องนิ่วหน้า ถุงผ้าหูรูดสีครีมมอมแมมนอนนิ่งใต้เตียงมานานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ น่าแปลกใจที่มันดันเล็ดลอดสายตาเขาและแดนไปอย่างน่าเสียดาย มือเรียวรีบเปิดมันออกด้วยความตื่นเต้น แมททิวสติกระเจิงลืมไปจนหมดว่าต้องระวังเื่รอยนิ้วมือ ในหัวคิดเพียงตอนนี้ต้องรู้ให้ได้ว่าในนี้มันคืออะไร
“อะไรวะเนี่ย”
สบถออกมากับตัวเองทันที ภายในถุงหูรูดที่ไม่หนักเท่าไหร่ใบนี้นั้นถูกอัดแน่นไปด้วยซองจดหมาย เดาจากสายตาน่าจะเกือบหลักร้อย หรือไม่ก็อาจจะเกินด้วยซ้ำ แมททิวละสายตาหันมองรอบตัวด้วยความสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกสักเท่าไหร่ เขาตัดสินใจหยิบจดหมายหนึ่งซองขึ้นมาดูอย่างเสียมารยาท
“ขอดูหน่อยนะจัสติน ฉันกำลังช่วยนายอยู่”
ทุกซองคือจดหมายสีขาว มันถูกแกะทุกซองรวมถึงที่อยู่ในมือของแมททิวด้วย น่าแปลกที่ไม่มีตราแสตมป์ใดๆจากไปรษณีย์แปะอยู่เลย มีเพียงลายมือยึกยือเขียนชื่อผู้รับที่ไร้ลมหายใจไปแล้วเท่านั้น แมททิวคว้าจดหมายซองอื่นในถุงหูรูดขึ้นมาดู มันถูกเขียนด้วยลายมือเดียวกัน และเขียนแค่ชื่อจัสตินเท่านั้นเหมือนกันราวกับถ่ายเอกสารยังไงยังงั้น
ในหัวของแมททิวตอนนี้กำลังลังเลว่าควรจะเปิดมันออกอ่านเลยดีมั้ย หรือควรเอากลับไปที่สถานีตำรวจดี สุดท้ายเข้าตัดสินใจวางถุงหูรูดลงบนเตียงนอนและเลือกเพียงหนึ่งซองในมือเพื่อเปิดอ่านมัน เขาคลี่กระดาษในซองอย่างช้าๆ ลายมือเดียวกันกับหน้าซองไม่มีผิด ทว่าเนื้อหาข้างในทำเอาคนตัวสูงเบิกตาค้างในทุกตัวหนังสือที่อ่าน
จัสตินที่รัก
วันนี้มื้อเช้านายกินบะหมี่งั้นหรอ ร้านที่นายสั่งไม่อร่อยหรอกนะ หัวมุมตรงดาวน์ทาวน์อร่อยกว่าเยอะ ฉันชอบกินมาก เสื้อนายสวยดีนะ ตัวนี้ฉันไม่เคยเห็นนายใส่เลยแฮะ อย่าลืมผูกถุงขยะหน้าบ้านให้ดีล่ะ ฉันกลัวว่าจะมีคนเมามาเตะกระจุยกระจายเหมือนเมื่อสองวันที่แล้วอีก ลำบากฉันเก็บให้ แต่ฉันไม่คิดเงินหรอก ถือว่าสงเคราะห์นายก็แล้วกัน อย่าเข้านอนดึกล่ะ กลางคืนมันเงียบ ออกจากบ้านบ้างนะ ฉันกลัวว่านายจะเฉาตายคาบ้านซะก่อน แล้วก็ความลับระหว่างเรา อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังซะล่ะ ฉันได้ยินทุกสิ่งและเห็นทุกอย่างนะอย่าลืม :)
คนที่นายก็รู้ว่าใคร
“บ้าอะไรวะเนี่ย”
แมททิวขนลุกเกรียวอย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอนว่าเนื้อความในจดหมายฉบับอื่นก็คงจะเหมือนกันแน่นอน นี่มันจดหมายขู่ชัดๆ ไอ้บ้านี่มันจับตามองจัสตินทุกฝีก้าวจริงๆด้วย ไม่ใช่แค่เครื่องดักฟังอย่างเดียว ดูท่ามันคงแวะเวียนมาทุกวันเลย นี่เองสินะทำไมจัสตินถึงดีใจขนาดนั้นที่เขาโทรไปหาในรอบหลายเดือนหลังจากอันย่าตาย
นายตำรวจหนุ่มรีบพับจดหมายยัดใส่ซองตามเดิม คว้าถุงหูรูดบนเตียงก่อนจะก้าวเท้าอย่างรวดเร็วกลับไปที่รถทันที แมททิวรู้อย่างเดียวว่าต้องกลับไปที่สถานีให้ได้ เขาเจอกับหลักฐานชิ้นโตเข้าให้แล้ว พอเป็แบบนี้แล้วแมททิวยิ่งรู้สึกเวทนาจัสตินจับใจ หมอนั่นรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่าสักวันคงต้องตายไปพร้อมกับสิ่งที่รู้ ไอ้ครั้นจะให้กล้าหาญเข้าหาตำรวจทั้งๆที่ยังมีคนจับตามองอยู่แบบนี้คงแทบเป็ไปไม่ได้เลยที่จะสำเร็จ
อย่างน้อยเขาก็รอบคอบพอจะเก็บมันไว้
หน้าที่ของแมททิวตอนนี้คงต้องสานต่อสิ่งที่จัสตินทิ้งไว้
ไม่ว่ามันจะอยู่ห่างจนแทบคนจะฟากเมือง
หรือใกล้เพียงปลายนิ้ว
ตอนนี้เขารู้แค่ว่าต้องหามันให้เจอ
ไอ้ต้นเหตุอันวุ่นวายและหลายศพแบบมัน
“เป็ยังไงบ้าง”
เจย์ลีนผุดลุกจากเก้าอี้ล้อเลื่อนทันทีที่เดวิดผลักประตูกระจกเข้ามาในแผนก ดวงตากลมจ้องมองอีกคนด้วยสายตาที่จดจ่อและรอคอย เดวิดหายไปร่วมชั่วโมง นานจนเจย์ลีนเองไม่รู้จะทำอะไร เพราะทั้งแผนกในตอนนี้เงียบเชียบไร้คนอื่น เขาเจอแมททิวเพียงแวบเดียว ส่วนคริสก็ไม่เห็นั้แ่มาอยู่ในห้องนี้
“คงต้องไปที่ร้านของชำแถวนี้”
“ทำไมหรอ” เจย์ลีนเอ่ยด้วยความสงสัยที่ทวีคูณ มองถุงซิปล็อกบรรจุก้นบุหรี่ในมือของเดวิดสลับกับใบหน้าของเขา
“เดี๋ยวค่อยว่ากันดีกว่า”
เดวิดดูเร่งรีบ เขาหันหลังเดินไปยังประตูทั้งที่พึ่งเข้ามา คนตัวเล็กรีบก้าวขาตามไปติดๆ พอเข้าใจอยู่ว่าท่าทีร้อนรนของอีกฝ่ายนั้นมาจากอะไร เวลาที่เจออะไรใหม่เขามักจะตื่นเต้นเสมอ แม้เจอกันไม่นานมากนักแต่เจย์ลีนก็พอเดาออก และอีกสักพักเขาก็คงจะเปิดปากบอกเอง แต่อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่ามันคงมีทางไปต่อแน่นอน สิ่งที่เจอทั้งก้นบุหรี่และรอยรองเท้านั้นมันไม่สูญเปล่า
สักพักมัสแตงคันสีดำก็จอดหน้าร้านขายของชำในตัวเมือง เจย์ลีนพอนึกออกว่าเคยขับผ่านอยู่บ่อยครั้งหากแต่ไม่เคยแวะลงไป ปกติเื่จับจ่ายซื้อของจะเป็เื่ของแม่บ้านเสมอ มีเพียงของส่วนตัวไม่กี่อย่างที่เขาจะไปเดินเลือกเองในห้างสรรพสินค้าเพียงเท่านั้น
“ไว้เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังอย่างละเอียดนะ ข้อมูลมันไม่เพิ่มจากเดิมเท่าไหร่” เดวิดเอ่ยหลังจากดับเครื่องยนต์ เจย์ลีนพยักหน้ารับแต่โดยดี
นายตำรวจหนุ่มผลักประตูกระจกเข้าไปในร้าน ชายหนุ่มหลังเคาท์เตอร์ส่งยิ้มให้บางๆ เดาว่าเขาคงพอจะจำหน้าเดวิดได้อยู่บ้าง เพราะเขาเองก็เคยแวะเวียนมา ในร้าน่สายๆคนไม่มากเท่าไหร่นัก เห็นทีจะมีไม่กี่คนและอยู่ที่ตู้แช่อีกฟากของร้าน เหมาะเจาะราวกับรู้ว่าทั้งสองมาที่นี่ด้วยเื่สำคัญ
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณตำรวจ” แซมเอ่ยทักอย่างเป็มิตร
“สวัสดีครับ จะขอรบกวนอะไรสักนิดได้มั้ย”
ชายหนุ่มหลังเคาท์เตอร์พยักหน้ารับพร้อมเลิกคิ้วรอให้เดวิดพูด มือเรียวล้วงเอาถุงซิปล็อกจากกระเป๋าเสื้อ วางมันบนเคาท์เตอร์โดยไม่พูดอะไร แซมมองปราดเดียวก็ส่ายหน้าแทนคำตอบทันที
“แย่จัง ที่ร้านไม่มียี่ห้อนี้เลยครับ”
“ดูให้แน่ใจได้มั้ยครับว่าไม่มีจริงๆ” ร่างสูงคะยั้นคะยอ แซมคว้าเอาถุงบรรจุก้นบุหรี่มาถือในมือ พลิกซ้ายขวาพินิจพิเคราะห์ตามคำขอ ก่อนจะวางลงที่เดิม
“ไม่มีจริงๆครับคุณตำรวจ”
“ถ้างั้นพอรู้ยี่ห้อมั้ยครับ” คำถามนั้นช่างแสนโง่เขลา ดูท่าสิงห์อมควันอย่างเขาน่าจะรู้ดีกว่ามากว่ายี่ห้ออะไร แซมนิ่งไปสักพักพลางครุ่นคิด
“อืม คิดว่าเป็บุหรี่นอกนะครับ ปกติที่ร้านผมไม่ได้ขายของแพงแบบนั้นซะด้วย กลัวว่าจะไม่มีคนซื้อน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะตอบติดตลก แววตาของคนตัวเล็กที่มากับนายตำรวจดูเสียดายจนแซมเห็นได้ชัด
“แต่อันที่จริงในเมืองเราก็มีร้านขายของนำเข้าอยู่นะครับ บางทีคุณน่าจะแวะไปดู” แซมเอ่ยเท่าที่พอจะนึกออก
“จริงหรอครับ ที่ไหนหรอ” เดวิดรีบถามต่ออย่างทันควัน
“น่าเสียดายที่ผมไม่แน่ใจสักเท่าไหร่เลยครับว่าอยู่ตรงไหน”
“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็ไรครับ ขอบคุณมากนะครับที่ให้ความร่วมมือ”
เดวิดเอ่ยขอบคุณก่อนจะพยักหน้าให้เจย์ลีนว่าต้องกลับไปโดยไม่ได้อะไรเลยเหมือนอย่างเคย แซมยิ้มรับ มองตามแผ่นหลังคนทั้งคู่ที่ขึ้นมัสแตงสีดำหายลับไปตามท้องถนน เขากำลังสืบอะไรอยู่หรือเปล่านะ มีคดีอะไรที่ตำรวจกำลังปกปิดอยู่อีกแล้วงั้นหรอ
“ที่จริงผมพอจะรู้จักร้านแบบนั้นอยู่นะ” เจย์ลีนเอ่ยทำลายความเงียบหลังออกมาจากร้านของชำได้ประมาณสิบห้านาที
“ร้านที่เขาพูดถึงน่ะหรอ”
“ครับ ปกติพ่อจะดื่มแต่เหล้านอก ไวน์นอก สูบบุหรี่ก็บุหรี่นอก ก็เลย…”
“แล้วคุณไม่บอกให้ไว้ก็นี่ล่ะ”
“ก็คุณไม่ถามผมนี่ ใครจะรู้กันล่ะว่าคุณกำลังหาอะไรอยู่ ไม่บอกกันสักคำ”
สุ้มเสียงงอดงอนและน้อยใจทำคนหลังพวงมาลัยตบไฟเลี้ยวและจอดเทียบข้างทางทันที เจย์ลีนเบิกตากว้างงุนงงกับท่าทางของเขาแทนเสียแล้ว เดวิดวางแขนบนพวงมาลัย ก่อนจะหันมาหา จ้องตาและไม่พูดอะไร
“ผมขอโทษ ความผิดผมเอง” เจย์ลีนละสายตามองทางอื่นทันที อะไรของเขากันนะ อยู่ดีๆก็ทำท่าแปลกประหลาดจนเจย์ลีนเองไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
“มะ ไม่เป็ไร แต่ คือ”
“อึกอักอะไร พูดสิ”
ใครจะไปพูดออก
เลิกจ้องหน้ากันก่อนสิ
“คือผมจะบอกว่า ร้านมันอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ อยู่ใกล้ๆดาวน์ทาวน์นั่นแหละ ผมพอจะบอกทางได้นะ” สูดหายใจเข้าและพรั่งพรูออกมาทีเดียวให้จบโดยไม่มองหน้าเขาสักวินาทีเดียว เดวิดพยักหน้ารับช้าๆ
“โอเค ถ้างั้นคุณก็บอกทางมาเลย” ยังจะมีหน้ามาพูดแล้วหัวเราะอีกนะ พิลึกคนตายชัก เจย์ลีนส่งตาเขียวใส่เขาโดยที่อีกคนไม่รู้ตัวเพราะเขาหันไปมองทางเสียแล้ว ไม่นานมัสแตงคันเก่าก็แล่นสู่ถนนอีกครั้ง
ไม่นานนักก็ถึงที่หมายตามที่เจย์ลีนบอก ตึกแถวสามชั้นที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่าในย่านดาวน์ทาวน์ทำเอาเดวิดมองตาไม่กะพริบ ขนาดตอนกลางวันยังดูหรูหราขนาดนี้แม้รอบข้างที่เป็บาร์จะเงียบเหงา แต่เดาว่าพอได้แสงสีรอบๆมาแต่งเติมเพิ่มคงสวยขึ้นไปอีก ไม่แปลกใจที่เขาจะไม่รู้จักที่นี่ และไม่แปลกใจที่ผู้รากมากดีอย่างคนข้างตัวจะรู้ดีกว่าเขา
“ที่นี่แหละครับ” เจย์ลีนมองคนข้างๆที่ตาเป็ประกายด้วยความเอ็นดู ท่าทางนายตำรวจแผนกคดีฆาตกรรมคงไม่เคยเฉียดมาที่นี่เลย น่าแปลก แต่แถวนี้คงจะเป็เื่ของอาชญากรรมเสียมากกว่า
เป็เจย์ลีนที่ผลักประตูและเดินนำเข้าไปในร้าน เดวิดเดินตามด้วยท่าทางที่ไม่มั่นใจและรู้สึกใหม่กับที่นี่เหลือเกิน พื้นกระเบื้องหินขัดเงาวับกับผนังสีดำด้านและรูปภาพบนผนังกรอบหลุยส์ ไหนจะชั้นวางขวดแอลกอฮอล์ที่เรียงรายนั่นก็ดูจะหลายตังค์ นี่ถ้าเกิดเดินเซไปชนเข้าอาจต้องควักเงินเก็บหลังเกษียณมาชดใช้เลยก็ว่าได้
“คุณเจย์ลีน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ชายวัยกลางคนเพียงคนเดียวในร้านยิ้มกว้างทันทีที่เห็นคนตัวเล็ก เขาสวมสูทสีกรมลายทางสีเทา ทรงผมเรียบแปล้พร้อมเจลมันวาวนั่นบ่งบอกได้ดีว่าการบริการคงมาพร้อมกับเงินในกระเป๋าที่ต้องเสียไปในร้านนี้อย่างแน่นอน
“สวัสดีครับคุณสมิธ สบายดีนะครับ”
“สบายดีครับ แต่เอ…”
ชายวัยกลางคนมองคนตัวสูงในเครื่องแบบตำรวจด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่ ในร้านนี้ไม่มีของผิดกฎหมายจำหน่ายก็จริง แต่การที่ลูกค้าวีไอพีของร้านเคียงคู่มากับตำรวจแบบนี้ดูจะแปลกในสายตาเขาไปสักหน่อย
“นี่เ้าหน้าที่เดวิดครับ พอดีผมสองคนมีเื่รบกวนคุณสมิธสักหน่อย พอจะว่างอยู่ใช่มั้ยครับ” น้ำเสียงเกรงใจจากลูกค้าที่เป็ดั่งบ่อเงินบ่อทองของร้านทำเอาชานในชุดสูทกุลีกุจอเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ทันที แต่มิวายที่สายตาของเขายังไม่วางใจจากเดวิดสักเท่าไหร่
“แน่นอนครับคุณเจย์ลีน มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
“จะให้ช่วยดูนี่หน่อยได้มั้ยครับ พอจะทราบมั้ยว่าเป็บุหรี่ยี่ห้ออะไร”
เจย์ลีนแบมือขอ เดวิดส่งถุงซิปล็อกในกระเป๋าเสื้อให้ทันที ก่อนคนตัวเล็กจะยื่นมันใส่มืออีกคน สมิธรับมาถือ มองเพียงปราดเดียวเขาก็ยิ้มออกและส่งถุงนั่นคืนทันที
“Gauloises สีทองครับคุณเจย์ลีน บุหรี่จากเมืองน้ำหอม”
สิ้นเสียงสุภาพของสมิธ เดวิดล้วงเอาปากกาและสมุดจดก่อนจะรีบตวัดปลายปากกาตามคำบอกของอีกคนทันที แม้การออกเสียงภาษาฝรั่งเศสจะทำให้เขาต้องจดมันอย่างมั่วๆไปก่อนด้วยความไม่รู้ก็ตาม
“พอจะมีซองตัวอย่างให้ดูมั้ยครับ” สมิธเพียงยิ้มน้อยๆและผายมือไปยังเคาท์เตอร์ คนทั้งคู่เดินตามไปติดๆ ชายวัยกลางคนดึงลิ้นชักโลหะสีทองมันวาวที่ฝังกับผนังด้านหลัง ก่อนจะวางซองบุหรี่ลงบนเคาท์เตอร์กระจกใส
“อันนี้เลยครับ ตัวนี้ถือว่าราคาไม่แพงเท่าไหร่แต่หายากอยู่เหมือนกันครับ ร้านเรานำเข้าเพียงร้านเดียว คุณเจย์ลีนสูบเองหรือคุณทิมอยากเปลี่ยนยี่ห้อครับ” คำถามที่คนหลังเคาท์เตอร์เอ่ยทำเอาคนทั้งคู่ไปไม่เป็สักเท่าไหร่ เจย์ลีนหันมองเดวิดอย่าง้าความช่วยเหลือ นายตำรวจหนุ่มรู้งานรีบตอบกลับทันที
“ผมสูบเองครับ อยากลองเปลี่ยนยี่ห้อดู” เดวิดตามน้ำอย่างทันท่วงที สมิธพยักหน้ารับก่อนจะเปิดปากให้ข้อมูลต่อ
“ถือว่าเลือกได้ดีเลยนะครับ อยากลองสูบดูก่อนมั้ยครับ มีห้องสูบบริการอยู่ทางด้านหลัง”
“เอ่อ ไว้ก่อนดีกว่าครับ แล้วปกติยี่ห้อนี้คนแถวนี้เขานิยมกันมั้ยครับ” เดวิดปฏิเสธก่อนจะเข้าคำถามเพื่อไม่ให้เสียเวลา
“ไม่นิยมกันสักเท่าไหร่ครับเพราะสินค้ามันขาด่อยู่บ่อยเหมือนกัน ส่วนใหญ่ลูกค้าจะลงชื่อจองกันไว้แล้วก็มารับของทีละหลายคอตตอนเลยครับ”
“หมายถึงว่าพอของมาส่งก็จะเข้ามารับกันหรอครับ”
“ครับผม ลูกค้าทิ้งเบอร์ไว้แล้วก็ผมก็จะโทรแจ้งว่ามีสินค้ามาแล้ว”
เดวิดหูตาเปิดทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ นั่นมันแสดงว่าเขาจะสามารถเจาะจงได้ง่ายขึ้นไปอีก เดวิดหันมองคนตัวเล็กที่มาด้วยกัน แน่นอนว่าเจย์ลีนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ถ้างั้นขอลงชื่อไว้ได้มั้ยครับ” เป็เจย์ลีนที่เอ่ยขอร้อง แน่นอนว่าสมิธรีบหยิบสมุดปกหนังพร้อมปากการาคาแพงขึ้นมาทันที เขาเปิดหาอยู่สักครู่ก็หยุดลงที่หน้าหนึ่งแถบๆกลางสมุด
“ได้สิครับ สำหรับคุณเจย์ลีนได้อยู่แล้ว”
เจย์ลีนจรดปลายปากกาพร้อมเบอร์โทรศัพท์ลงบนช่องล่าสุด ก่อนจะเลื่อนสมุดคืนอีกคนพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เรียบร้อยครับ ไว้มีของเข้ามาผมจะโทรแจ้งนะครับ วันนี้มีแต่ตัวอย่างเท่านั้นเอง น่าเสียดายมาก”
“ไม่เป็ไรครับคุณสมิธ ยังไงขอบคุณมากนะครับ ไว้ถ้าไวน์ขวดล่าสุดคุณพ่อหมดเมื่อไหร่จะรีบมาร้านเลย”
“ยินดีรับใช้ครับผม”
คนทั้งคู่กล่าวลาและผละออกจากเคาท์เตอร์ทันที เจย์ลีนและเดวิดไม่พูดอะไร นายตำรวจหนุ่มสตาร์ทมัสแตงและขับไปตามทาง สักพักสัญญาณไฟที่แยกก็เปลี่ยนเป็สีแดง เดวิดจอดรถนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เ้าเล่ห์”
“คุณก็พอกัน จดทันหรือเปล่า”
เดวิดกระตุกยิ้มมุมปากและกางหน้าสมุดเล่มเล็กให้ดู รายชื่อคนทั้งสี่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่จดด้วยลายมือยึกยือแต่พอจะอ่านออกเด่นหราอยู่
“ลายมือเหมือนเด็กอนุบาลไม่มีผิด” คนตัวเล็กเอ่ยแซว
“ก็ผมรีบนี่ ใครจะรู้ว่าคุณจะใช้มุกนี้กัน ดีนะที่ผมฉลาดพอ” เจย์ลีนกลอกตาไปมาอย่างระอาพร้อมหัวเราะเบาๆ
แน่นอนว่าเพียงแค่สบตาก็รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ เจย์ลีนทำทีเขียนอย่างเชื่องช้าเพื่อซื้อเวลาให้อีกคนจดมันลงไปอย่างแเี และแน่นอนว่าเดวิดเองก็ทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้แต่จรดปลายปากกาอย่างรวดเร็วก่อนที่เจย์ลีนจะเลื่อนสมุดคืนชายคนนั้นด้วยซ้ำ
“เท่านี้ก็เหลือแค่ต้องโทรหาอย่างงั้นหรอ” เจย์ลีนเอ่ยถาม
“ปล่อยให้เป็หน้าที่ของเจคดีกว่าแบบนั้น อาจจะดูไร้อารยธรรมสักหน่อยนะที่ล้วงข้อมูลส่วนตัวคนอื่น แต่ถ้ามันจำเป็ก็คงต้องทำ”
“เขาไม่ให้รายชื่อพวกนั้นกับคุณหรอก ร้านนี้รักษาความลับลูกค้าจะตาย”
“แต่ผมประทับใจในไหวพริบของคุณนะ”
“หือ” เจย์ลีนหันขวับมองหน้าอีกคนทันที แววตาของคนหลังพวงมาลัยรวมถึงน้ำเสียงนั่นฟังแล้วก็พอรู้ว่าเขาชมจากใจจริง
“ถือว่าเราเริ่มทำงานเข้าขากันแล้วนะ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย จะได้เจอน้องคุณเร็วขึ้น”
“ผมก็หวังแบบนั้นนั่นแหละ ถ้าเจอจูเลียนเมื่อไหร่ผมคงจะหายกังวลไปได้เยอะกว่านี้”
“เรายังมีหวังเสมอนะ เชื่อผม”
“ผมเชื่อแบบนั้น ผมเชื่อมั่นในตัวคุณมากนะ”
รอยยิ้มบางๆจากใบหน้ากลมทำเอาเดวิดหันมองไปทางอื่นโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจ้องไฟท้ายรถคันหน้าจนปวดตา ไม่ได้ตอบอะไรเพราะรู้สึกดีเหลือเกินที่ได้ยินถ้อยคำแบบนั้น เจย์ลีนเองหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ และเขาฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เดวิดั้แ่วันแรกแล้ว