Chapter 23
Finally, we found the truth
“ขอบคุณมากนะเจค ไว้จะเลี้ยงสักสิบดื่ม”
“ขอมากกว่านั้นจะได้มั้ยเนี่ย งานนี้ฉันเสี่ยงมากที่สุดแล้วนะแมท”
เจคพูดกลั้วหัวเราะหากแต่เขาหมายความแบบนั้นจริงๆ แมททิวเอ่ยลาสักครู่ก็รีบกดลิฟต์ลงมายังชั้นล่างสุด ในมือถือกระดาษปึกหนึ่งที่ม้วนเอาไว้แลดูไม่ตั้งใจ ที่จริงแล้วมันคือเอกสารสำคัญจนอาจเรียกได้ว่าความลับในองค์กรเลยก็ได้ ทว่ามันดันมาอยู่ในมือเขาเข้าแล้ว
เมื่อคืนตอนโทรไปเล่าให้เจคฟังว่าจะขอรบกวนอะไร ปลายสายที่ตอบกลับมานั้นเรียกได้ว่าไม่เอาด้วยอย่างเต็มประตู เพราะการนำเอาเอกสารที่มีลายมือและลายมือชื่อของแผนกเทคนิคทุกคนออกมานั้น เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการเอาเลื่อยไปเลื่อยขาเก้าอี้ทำงานตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
แต่ลูกล่อลูกชนและเื่การโน้มน้าวนั้นต้องบอกว่าแมททิวไม่เป็สองรองใคร รวมถึงเจคและทีมสามเองก็รู้จักและทำงานด้วยกันมานานโข ขอร้องนิดหน่อยเขาก็ตกปากรับคำแต่โดยดี และนัดหมายว่าพรุ่งนี้เช้าให้มาเอา เจคเลือกจะไม่ส่งเป็ไฟล์ เขาให้เหตุผลว่าหาก้าเทียบลายมือนั้นควรจะจดจ้องที่แผ่นกระดาษจะดีกว่า แมททิวเองก็เห็นด้วยแบบนั้น
และในที่สุดมันก็มาอยู่ในมือเขา เจคว่าแผนกเทคนิคมีพนักงานอยู่ประมาณสิบกว่าคน อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการเทียบลายมือแต่คิดว่าคงไม่นาน แต่แมททิวไม่สนใจหรอก เพราะเวลาในขณะนี้ถึงแม้จะรีบเพียงใดก็คงจะไม่ได้ประโยชน์มากนัก
“ฉันกำลังไปที่สถานี นายว่างหรือยัง บอกคริสกับแดนให้มาช่วยดูด้วย”
แมททิวต่อสายหาฝ่ายชันสูตรที่พึ่งจะอ่านจดหมายหลายฉบับไปด้วยกันเมื่อวันก่อน พอลตกปากรับคำโดยดี ถ้าเป็เื่คดีนี้แล้วคงต้องบอกว่าต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็คงต้องหาเวลามาให้จนได้
ไม่นานนักก็ถึงสถานี แมททิวคว้ากระดาษปึกนั้นที่ถูกม้วนจนงอ ดับรถและวิ่งเข้าไปในตึกของกรมตำรวจอย่างเร่งรีบ เวลาเพียงครู่กล่องเหล็กบรรจุคนก็นายตำรวจหนุ่มขึ้นไปยังชั้นแผนก ผลักประตูกระจกเข้าไปในห้องประชุมทันที หอบหายใจเล็กน้อยด้วยความเร่งรีบที่ทำเอาคนที่เหลืองงงวยไปตามๆกัน
“จะรีบอะไรของนายขนาดนั้น” พอลเอ่ยทักทันทีที่แมททิวเปิดประตูเข้ามา นายตำรวจตัวสูงนั่งลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อนทั้งที่ยังหอบหายใจไม่หาย วางม้วนกระดาษลงบนกลางโต๊ะ เรียกความสนใจให้แก่แดนและคริสได้เป็อย่างดี
“โห เจคนี่เสี่ยงเหมือนกันนะ” คริสเอ่ย
“เริ่มเลยมั้ยแมท จะได้ไม่เสียเวลา” แมททิวพยักหน้าเห็นด้วยกับแดน
จากนั้นความเงียบจึงปกคลุมทั่วห้องประชุมที่ล้อมด้วยกระจกแผ่นหนาอย่างสมบูรณ์ ลายมือของคนนับสิบถูกเปรียบเทียบกับจดหมายหนาเตอะหลายฉบับอย่างละเอียด แดนนวดหว่างคิ้วด้วยความปวดหนึบจากการใช้สายตาแกะทีละอักษร บางตัวก็เหมือนว่าจะเหมือน แต่พออีกตัวก็ดันไม่ใช่ซะอย่างนั้น
“เรากำลังมาถูกทางกันใช่มั้ย” คริสเอ่ยเสียงเบาราวพูดกับตัวเอง เพราะดูเหมือนว่ากองเอกสารตรงหน้ามันช่างทำเอามองไม่เห็นปลายทางแต่อย่างใด แมททิวค้อนขวับก่อนจะหันไปสนใจสิ่งในมือต่อ มีอย่างที่ไหนไอ้หมอนี่มาพูดว่าผิดทาง ยอมเสี่ยงขนาดนี้ไม่ยอมเรียกว่าการเสียเวลาหรอก
“ไม่ยักรู้ว่าหมอนี่ทำงานที่นี่ด้วย” พอลเอ่ยเสียงใสหลังเจอชื่อของคนคุ้นเคยคนหนึ่ง และเขาคิดว่าทั้งทีมสามเองคงรู้จักเป็อย่างดี
“นายพูดถึงใคร” แมททิวเอ่ยถามโดยไม่ละสายตา ทว่าชื่อที่พอลเอ่ยออกมานั้น ทำเอาคนถามตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง
“อเล็กซ์ไง พี่ชายอันย่า”
“ฉิบหาย นายพูดจริงอะ”
แมททิวแทบจะเขวี้ยงจดหมายในมือไปให้พ้นทาง นายตำรวจตัวขาวเขยิบตัวเข้าไปใกล้กับพอลทันที ชะโงกหน้าดูก็พบว่าเป็อย่างที่ว่าจริงๆ อเล็กซ์ วินเทอร์ คนเดียวกันไม่ผิดแน่ แถมรูปขนาดหนึ่งนิ้วที่มุมขวาบนก็เป็ตัวบ่งบอกได้ดีว่าเป็เขาแน่นอน
“ใอะไรขนาดนั้นวะแมท” แดนนึกขันเล็กน้อยที่ท่าทางของแมททิวั้แ่มาถึงนี่นั้นมันลุกลี้ลุกลนไม่หยุด แต่นั่นแทบจะเป็เื่ปกติของมัน ั้แ่ทำคดีมาหลายต่อหลายเคส เมื่อเวลาเจอเบาะแสใหม่เมื่อไหร่ แมททิวมักจะเป็แบบนี้เสมอ ส่วนคนที่เงียบขรึมแต่ทำงานหนักสุดคงหนีไม่พ้นเดวิด
คนตาโตเป็ไข่ห่านในตอนนี้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ จ้องมองกระดาษแผ่นในมือของพอลตาไม่กะพริบ เอกสารที่เจคหามาให้นี่เรียกได้ว่าลับสุดยอด เพราะมันคือเอกสารสมัครงานพร้อมรูปถ่ายที่กรอกด้วยลายมือของพนักงานฝ่ายเทคนิคทั้งหมด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คนที่แมททิวเทียวเช้าเทียวเย็นเฝ้าแอบดูจากระยะไกลก็คืออเล็กซ์นี่แหละ เพราะฉะนั้นในตอนนี้ปมเชือกที่ผูกเข้าหากันลับๆไว้อย่างหย่อนในใจของนายตำรวจหนุ่มนั้น ดูเหมือนว่ามันจะถูกขมวดให้แน่นขึ้นกลายๆ
“ฉันว่านายคงมีเื่ต้องอธิบายยาวนะแมท”
เป็พอลที่โพล่งขึ้นมาก่อน แน่นอนว่าทั้งสามจับสังเกตความผิดปกติของแมททิวได้ แต่คนถูกจับตามองในตอนนี้กลับเงียบเฉย แมททิวแย่งเอกสารของอเล็กซ์จากมือพอลทันที คว้าเอาจดหมายหนึ่งฉบับขึ้นมาเทียบกัน ดวงตาเรียวมองสลับไปมาครู่หนึ่ง และอุทานออกมาอย่างใ
“ฉิบหายแล้ว”
“อะไรกันวะ พวกฉันงงไปหมดแล้วนะโว้ย นายรู้อะไรก็พูดมาสิไอ้ทึ่ม” แดนโพล่งขึ้นอย่างหัวเสีย ใจคอมันจะปิดปากเงียบแล้วรอให้เอาแชลงเหล็กมางัดหรือยังไงถึงจะยอมเฉลยสักที
“ไว้ฉันจะเล่าอย่างละเอียดแน่ แต่พวกนายช่วยดูนี่ก่อน มัน มันเหมือนกันเป๊ะเลยใช่มั้ยช่วยบอกที หรือ หรือฉันกำลังประสาทไปเองวะ”
แมททิวทิ้งกระดาษสองใบลงบนกลางโต๊ะท่ามกลางกองเอกสารที่ระเกะระกะอยู่ในขณะนี้ นิ้วเรียวสั่นเทาชี้ให้เพื่อนที่เหลือมองพินิจมันอย่างตั้งใจและเห็นแบบที่เขาเห็น แน่นอนว่าทั้งสามชะโงกหน้าสุมหัวอย่างพร้อมเพรียงทันที ตอนนี้ดูเหมือนว่าดวงตาทั้งสี่คู่กำลังมองมันสลับกันไปมาอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ
ไร้ซึ่งเสียงใดเอ่ยออกมา ทั้งสี่คนเงยหน้ามองกันสลับไปมา คริสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ในขณะที่พอลหันไปสบตากับแมททิว ฝ่ายชันสูตรทำเพียงพยักหน้าช้าๆ ราวกับจะยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดไว้มันถูก และทั้งหมดในห้องประชุมนี้เห็นพ้องต้องกัน
ลายมือของอเล็กซ์เหมือนกันกับในจดหมายไม่มีผิดเพี้ยน
เขาคือ…
คือไอ้โรคจิตนั่นที่ทั้งทีมสามตามหามาตลอดอย่างนั้นหรอ
“นี่มันบ้าอะไรกันวะ แล้วน้องสาวเด็กนั่น ไม่สิ มันฆ่าน้องสาวตัวเองหรอ แมท คืออะไรวะฉันงงไปหมดแล้ว” แดนยกมือขึ้นกุมหัวอย่างสับสน คริสเองก็ไม่ต่าง หมอนั่นกัดเล็บพร้อมสายตาอันว่างเปล่า มันจะเป็แบบนั้นไปได้ยังไงกัน
“คือที่จริงฉันเองก็แอบสอดส่องหมอนี่อย่างลับๆมาสักพักแล้วแหละ แค่ไม่ได้บอกพวกนาย” แมททิวแบไต๋ออกมาจนได้ แน่นอนว่าทั้งสามหันขวับมองเขาเป็ตาเดียว
“แต่พวกเราเป็ทีมเดียวกันนะเว้ย จะทำอะไรไม่คิดจะบอกกันหน่อยหรือไง” คริสแย้งขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย แน่นอนว่าแมททิวในตอนนี้หน้าจ๋อยไปแล้วเรียบร้อย
“ก็ฉัน…”
“เอาเถอะนี่ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน แมท แล้วที่ไปคอยจับตาดูมาน่ะ ได้เื่อะไรบ้าง” เป็พอลที่ยื่นมือมาท่ามกลางความคุกรุ่น เพราะดูแล้วเถียงกันไปก็ไม่มีประโชยน์ เผลอๆตอนนี้อเล็กซ์อาจไหวตัวทันแล้วก็ได้
“ตอนแรกฉันไม่ได้เอะใจหรอก แต่บังเอิญไปเจอเขาเข้าที่ร้านของชำหลังวันที่จัสตินตายได้แค่วันเดียว หมอนั่นมีแผลที่คิ้ว พอฉันถามว่าโดนอะไรมามันบอกว่ากระถางต้นไม้หล่นใส่ แถมสีหน้าตอนฉันถามก็ดูใแปลกๆ เพราะฉันคิดว่าก็เจอกันบ่อย ไม่น่าจะต้องมาใถ้าฉันจะถาม” แมททิวเริ่มพรั่งพรูร่ายยาวโดยมีคนที่เหลือกอดอกฟังอย่างตั้งใจ
“พอคราวนี้เ้าของร้านของชำก็มาบอกฉันว่า มันบอกกับเขาอีกแบบหนึ่ง คือบอกกับฉันไม่ตรงกันกับที่บอกกับเขา ฉันก็เริ่มเอะใจ บวกกับที่ไปถามไถ่จากคนแถวนั้น เขาว่ามีแค่ไม่กี่คนที่เข้านอกออกในบ้านจัสติน มีแค่อันย่า และผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้ชื่อ”
“แล้วพอฉันได้อ่านจดหมายฉันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็คนใกล้ตัว คนใกล้ตัวที่รู้ความเคลื่อนไหวของจัสตินเป็อย่างดี แถมยังดูเหมือนว่าบางฉบับจะมีคำแปลกๆ อย่างเช่นบอกว่าจัสตินแย่งของรักเพียงอย่างเดียวของมันไป นายจำได้มั้ยว่ามันเคยเล่าว่ามันเหลืออันย่าเพียงคนเดียวในชีวิตตอนมาที่สถานี”
พอลพยักหน้ารับเห็นด้วย คนที่เหลือนิ่งแต่ในหัวฉุกคิดตามที่แมททิว และมันถูกต้องทุกประการ
“และอีกอย่างพอฉันไปแอบดูที่บ้านมัน พวกนายเชื่อมั้ยว่า ที่บ้านของมันไม่มีกระถางต้นไม้สักต้นที่สูงพอจะหล่นใส่จนเป็แผลที่คิ้วได้ แล้วเหตุผลอะไรล่ะที่ต้องโกหกตำรวจอย่างฉัน เหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังฉันทั้งที่ฉันเองก็ไม่ได้รู้จักกับมันเลย”
“แต่ข้อมูลแค่นี้มันจะพอให้ออกหมายจับหรอ” แดนเอ่ยถาม
“ยังไม่ต้องถึงขั้นออกหมายจับหรอกฉันว่า เรียกเขามาสอบปากคำเพิ่มในฐานะผู้ต้องสงสัยก็ได้ แล้วอีกอย่าง นายจะลองเทียบลายมือกับเอกสารเซ็นรับศพมั้ยล่ะ ฉันยังเก็บไว้ในลิ้นชักที่ห้องทำงานนะ” พอลเอ่ยถาม
“รีบไปเอามาเลยพอล ด่วน” ฝ่ายชันสูตรรีบลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องประชุมทันที คริสล้วงโทรศัพท์มือถือและต่อสายหาทีมสามอีกคนที่ออกไปข้างนอกั้แ่เช้า ขอให้นายรับสายทีเถอะเดวิด เื่ใหญ่ยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงมันเกิดขึ้นแล้วในตอนนี้
“เราพิมพ์หาแบบนี้ได้เลยหรอ”
“ตำรวจมีสิทธิเข้าถึงฐานข้อมูลเบื้องต้นน่ะ ไม่ได้ละเอียดเท่าไหร่”
เดวิดตอบขณะที่ปลายนิ้วกำลังพิมพ์ชื่อที่เขาเองและเจย์ลีนไม่รู้จักลงในระบบฐานข้อมูลบุคคล หนึ่งในสี่ของลูกค้าบุหรี่ยี่ห้อนั้น คนตัวเล็กกอดอกมองด้วยความตื่นเต้น ในตอนนี้ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ในห้องที่เรียกว่าคับแคบอยู่พอสมควร เดวิดบอกว่ามันเอาไว้ใช้สำหรับการสืบคดีโดยเฉพาะ เจย์ลีนไม่ได้เข้าใจมันมากสักเท่าไหร่ แต่หากมันทำให้มีประโยชน์หรือหาตัวคนคนนี้เจอล่ะก็ มันอาจจะเป็เข็มทิศนำทางชั้นดีที่จะพาเขาไปสู่คนที่หายตัวไปอย่างจูเลียน
ไม่พบข้อมูลในระบบ
“เป็ไปได้ยังไง มันต้องมีสิ”
“อะไรหรอ”
เดวิดโพล่งขึ้นพร้อมขมวดคิ้วด้วยความฉงน จะเป็ไปได้ยังไงที่ไม่พบข้อมูล ในเมื่อนี่มันฐานข้อมูลของประชากรในเมืองทุกคน ไม่มีทางที่จะไม่เจอแน่ๆ
“คุณแน่ใจนะว่ารายชื่อที่ร้านมันอัปเดตเป็ปัจจุบัน” เดวิดเงยหน้าถามด้วยความสงสัย
“ผมว่าผมแน่ใจนะ เพราะสมิธเคยบอกว่าถ้าใครที่ไม่เป็ลูกค้าแล้ว เขาจะเอาออกจากรายชื่อทันทีเพราะไม่อยากโทรไปให้เปลืองค่าโทรศัพท์”
เดวิดถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า เอาอีกแล้วหรอ คิดว่ามาถูกทางแล้วทำไมมันถึงต้องเจอแต่ทางตันตลอดกันนะ คนตัวเล็กเองก็หนักใจไม่แพ้กัน เพราะถ้าหากระยะเวลามันเริ่มนานไปเรื่อยแบบนี้ นั่นแปลว่าความปลอดภัยของจูเลียนเองก็ลดลงไปด้วยไม่ต่างกัน
“หรือเราควรถามสมิธตรงๆไปเลยดีมั้ยเกี่ยวกับลูกค้าคนนี้” เจย์ลีนเอ่ยขึ้น ดูเหมือนไม่ใช่ทางที่ดีสักเท่าไหร่ แต่คนอับจนหนทางทั้งสองในตอนนี้ที่มืดแปดด้านเหลือเกินนั้น คงต้องบอกว่าต้องยอมรับทุกวิถีทางที่จะเกิดขึ้นให้ได้
“แบบนั้นผมว่าคงไม่เหมาะ เพราะเขาจะรู้ทันทีว่าเราแอบขโมยข้อมูลสำคัญของร้านเขามา คุณจะซวยเอาได้”
“ถึงจะซวยแต่ถ้ามันได้ช่วยจูลผมก็ยอม” เสียงอ่อนที่เอ่ยอย่างแ่เบาทำเอาดวงตาคมมองจ้องที่ใบหน้ากลมทันที เจย์ลีนหลุบตามองพื้น เขาเองไม่มีทางเลือกอะไรเลย ราวกับว่าหันมองไปทางไหนก็มืดสนิทไปหมด
“มันต้องมีทางที่ดีกว่านี้เชื่อผม ขอรับสายสักครู่นะ”
เดวิดล้วงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา เจย์ลีนพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่หนักใจ
“ห้ะ โอเค ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” นายตำรวจหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่วางสาย ท่าทางเร่งรีบและสีหน้าอันตื่นตระหนกทำเอาเจย์ลีนเงยหน้ามองด้วยความฉงน
“อะไรหรอ”
“คนในทีมเจอผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรต่อเนื่อง เราต้องกลับไปสถานีด่วน”
ร่างสูงทอดกายเอนหลังลงบนเก้าอี้นวมในบ้านอันเงียบเชียบ มือข้างขวากอบกุมสร้อยคอไม้กางเขนไว้ในมือ ดวงตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย วันนี้ไม่ใช่วันหยุด หากแต่อารมณ์ในการทำงานดับมอดไปั้แ่เช้าหลังจากฝันเมื่อคืน
“พี่ทำแบบนี้ทำไม ทำแบบนี้ทำไม”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องสาวปรากฏตัวในฝันของคนเป็พี่ หากแต่ครั้งนี้อันย่าไม่ได้ยิ้มแย้มเหมือนที่ผ่านมา ใบหน้าสวยที่ได้มาจากแม่ดูโกรธแค้นและเกลียดชังคนเป็พี่อย่างเหลือหลาย ในฝันหล่อนะโกรีดร้องเสียงแหลมพร้อมน้ำตานองหน้า ราวกับจะสาปแช่งในสิ่งที่คนเป็พี่ทำลงไป
ทว่าทั้งในความจริงและความฝันไม่แตกต่างกัน สิ่งที่เ้าของมือเปื้อนเืทำมีเพียงแสยะรอยยิ้มอันน่าขยะแขยงกลับไปเท่านั้น อเล็กซ์ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดอีกต่อไป เขาบรรลุความตั้งใจที่หมายมั่นมาตลอดลุล่วงไปแล้วเรียบร้อย นั่นคือการส่งคนที่อันย่ารักที่สุดไปอยู่กับหล่อนซะ
อเล็กซ์ฆ่าจัสติน
ทว่าเสียงหนึ่งทำลายห้วงอารมณ์ลงอย่างขาดสะบั้น เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้น ชายหนุ่มยัดสร้อยคอไม้กางเขนใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะขยับตัวอย่างช้าๆไปยังประตูบ้าน ใครกันนะที่มาทักทายคนโดดเดี่ยวแบบเขา
“สวัสดีอเล็กซ์ วินเทอร์”
ร่างสูงเบิกตากว้างทันทีที่เห็นผู้มาเยือนเต็มตา ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มาถึงสี่ และไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่คุ้นตา ตำรวจสี่นายจากทีมสามกำลังยืนยิ้มอย่างพร้อมเพรียงกันหน้าประตูบ้านเขาในตอนนี้
“มี มีอะไรหรอครับ มากันซะเยอะเชียว” ใจดีสู้เสือเอ่ยถามออกไปอย่างไร้พิรุธ แม้ในอกลึกๆจะเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย แต่การครองสติไว้ในขณะนี้คงถือเป็เื่ที่สำคัญ คนมีชนักติดหลังแบบเขากับตำรวจนั้นคงไม่ค่อยถูกชะตากันสักเท่าไหร่
“ขอเข้าไปคุยอะไรด้วยสักหน่อยได้มั้ย ไม่นานหรอก”
เป็เดวิดที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบ อเล็กซ์ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ตัวแข็งทื่อราวกับถูกสตาฟทั้งเป็ เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นบนหน้าผากโดยไม่รู้ตัว
“ว่ายังไง จะขอรบกวนเวลาสักหน่อยได้มั้ย” เดวิดถามย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงที่ใช้นั้นเรียกได้ว่าเป็รู้กันดีในทีม เวลาจะเจรจาอะไรมักเป็เขาเสมอที่ถูกหยิบยื่นหน้าที่ให้ เพราะเรียกได้ว่าเป็คนมีวาทศิลป์เอาเื่
“ครับ เชิญเข้ามาได้เลย”
ราวกับว่าถูกบังคับโดยอัตโนมัติ อเล็กซ์ก้าวถอยหลังเปิดทางให้คนในเครื่องแบบทั้งสี่เข้ามาภายในบ้านแต่โดยดี เดวิดยิ้มและพยักหน้าเป็เชิงขอบคุณ เขาก้าวขาเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ โดยมีแมททิว คริส และพอลเดินตามเข้ามา
“ดื่มอะไรมั้ยครับ” เ้าของบ้านเอ่ยถามหลังนั่งลงบนโซฟาเป็คนสุดท้าย
“เกรงว่าไม่เป็ไรจะดีกว่า ขอบคุณมากนะ”
“แล้วนี่คุณตำรวจมีอะไรกันหรอครับ มาที่บ้านผมกันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย”
เ้าของบ้านกวาดสายตามองใบหน้าคนในเครื่องแบบทีละคน ในอกหวาดหวั่นเล็กน้อยแต่เรียกได้ว่ายังนิ่งเฉยคุมสติได้ดีอยู่
“จำได้มั้ยว่านายเคยถามถึงเื่ความคืบหน้าของคดีอันย่าเอาไว้ วันนี้เหมือนจะมีเบาะแสใหม่ เราก็เลยมาแจ้งน่ะ” คนอื่นยังคงปิดปากเงียบปล่อยให้เดวิดจัดการเองทั้งหมด พวกเขารู้ดีว่าเดวิดไม่ทำเสียเื่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะยิ่งเป็คดีที่พวกเขาทุ่มทั้งกายและใจกับมันไปมากขนาดนี้
“โอ้ อันที่จริงคุณโทรให้ผมไปที่สถานีเองก็ได้นะ ไม่เห็นจะต้องลำบากมาถึงที่บ้านผมเลย”
“ไม่ได้หรอก มันสำคัญมาก พวกเราอยากเจอนายและบอกต่อหน้าเองจะดีกว่า” รอยยิ้มบนใบหน้าของเดวิดไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด ในทางกลับกันมันสร้างความอึดอัดบีบรัดจนอเล็กซ์แทบหายใจไม่ออก
“ถ้างั้นเื่อะไรหรอครับ คงเป็เื่ใหญ่น่าดู”
“เรารวบรวมหลักฐานมาเพิ่มนิดหน่อยน่ะ แต่ถือว่าเป็ก้าวใหญ่เลยนะ” เดวิดหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตอาการของเ้าของบ้าน เขายังคงนิ่งเฉยและดูตั้งใจฟังเป็อย่างมาก
“เราเจอผู้ต้องสงสัยแล้วนะ”
ประโยคไม่ยืดยาวและชัดถ้อยชัดคำทำเอาคนฟังเบิกตากว้างด้วยความใ รอยยิ้มแสนเจื่อนผุดบนใบหน้าแทนที่จะเป็ยิ้มแห่งความดีใจ เดวิดปรายตามองแมททิวครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเอ่ยต่อ
“ถือเป็ข่าวดีมากเลยนะ แต่ทำไมนายดูไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่เลยล่ะ”
“ผม ผมพูดไม่ออกเลยครับ แล้วคุณหาเขาเจอได้ยังไงกัน”
“ผมไม่ได้เป็คนเจอเองหรอก เ้านู่นเขาเจอน่ะ” เดวิดพยักพเยิดไปทางแมททิวที่นั่งตีสีหน้าเรียบเฉยไม่พูดอะไรสักคำ อเล็กซ์มองหน้าแมททิวแล้วก็หลบสายตาทันที เพราะนายตำรวจตัวขาวเล่นจ้องเขาเขม็งอย่างไม่ละสายตา
“ผมมีอะไรให้คุณช่วยดูสักหน่อยจะได้มั้ยอเล็กซ์”
“ได้ ได้สิครับ อะไรหรอ”
เดวิดหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้กับแมททิว นายตำรวจหนุ่มล้วงเอากระดาษที่พับอยู่ออกจากกระเป๋าเสื้อและวางลงบนกลางโต๊ะ คลี่มันออกอย่างช้าๆให้เ้าของบ้านอ่านมันถนัดตา
“นี่คือหนึ่งในตัวอย่างของของที่เราเจอมา สิ่งนี้ถูกส่งไปหาจัสตินแฟนของน้องสาวคุณนับร้อยฉบับ”
แน่นอนว่าอาการของอเล็กซ์แทบอยู่ไม่สุขทันทีที่เขาปรายตามองมัน ดวงตาคมหันมองไปทางอื่นอย่างลุกลี้ลุกลน มือทั้งบีบเข้าหากันอย่างลืมตัว อเล็กซ์รู้สึกถึงแรงจิกบนฝ่ามือที่เขาเป็คนสร้างมันขึ้นมาเอง
“ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะส่งจดหมายขู่ไปหาจัสตินเยอะมากจนแทบกองเป็ูเา เนื้อความในนั้นอ่านแล้วก็ดูน่าหวาดระแวงใช่เล่น เพราะดูเหมือนว่าคนเขียนจะรู้ความเป็ไปของจัสตินทุกฝีก้าว”
“น่ากลัวจังเลยนะครับ”
“คุณลองอ่านหน่อยมั้ยอเล็กซ์” แมททิวเลื่อนกระดาษไปให้ใกล้เ้าของบ้านมากกว่าเดิม รอยยิ้มเจื่อนเปรอะเปื้อนพร้อมกับสายตาที่ดูแล้วเรียกว่าแสร้งทำเป็อ่านเสียมากกว่า
“มะ ไม่เป็ไรครับ ผมเกรงว่าจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เพราะคุณว่ามันเป็จดหมายขู่”
“ครับจดหมายขู่ เนื้อความไม่สร้างสรรค์แถมยังออกไปทางน่ากลัวเสียมากกว่า ผมคิดว่าคุณเลือกไม่อ่านน่ะถูกแล้ว”
“อะ เอ่อ ครับ”
อเล็กซ์พยายามฝืนให้ร่างกายไม่ตื่นตระหนก เมื่อครู่ยังคิดเรื่อยเปื่อยแยบยล ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น ยังไงซะเขาเองก็ถือไพ่เหนือกว่าตำรวจเสมอ และเงามืดที่เขาอยู่มันก็ทมิฬพอที่จะหลบซ่อนตัวเองและมือที่เปื้อนเืเสมอ
“คุณพอจะรู้มั้ยครับว่าคนเขียนจดหมายเป็ใคร”
“ไม่ ไม่รู้หรอกครับ ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน”
ละล่ำละลักตะกุกตะกักยิ่งกว่าเดิม หลังคำถามนั้นหลุดออกจากปากเดวิด นายตำรวจผิวแทนวางสายตามองที่ใบหน้าของอเล็กซ์อย่างเรียบเฉย ครั้นเ้าของบ้านปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับคนเขียนจดมายขู่ รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏบนใบหน้าทันที ส่ายหัวเบาๆพร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ
“ไม่เอาน่าพวก นายรู้จักเขาดีอเล็กซ์”
น้ำเสียงที่เดวิดใช้เปลี่ยนไปพร้อมกับแววตา ไร้ซึ่งความเรียบเฉยใดใดอีกต่อไป ดวงตาคมที่จ้องเขม็งมาที่เ้าของบ้านนั้นมันช่างเปี่ยมไปด้วยความแข็งกร้าว โกรธเคือง ทำเอาคนถูกจ้องกระอักกระอ่วนแทบกลืนน้ำลายไม่ลง หรือว่าตำรวจจะ…
“นายนี่เก่งชะมัดยาดเลยนะ” แมททิวเอ่ยต่อจากเดวิดทันทีพร้อมกับยิ้มกว้าง ทว่ามันเป็รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย
“อะ อะไร อะไรหรอครับ แล้วคนที่คุณว่าเป็ผู้ต้องสงสัย สรุปเขาเป็ใครกันแน่ ใครกันที่ฆ่าอันย่า” จงใจเบนเข็มให้กลับมาประเด็นเดิม เดวิดเองพยักหน้าช้าๆราวกับจะบอกว่า ขอโทษทีนะที่ลืมตัวชวนนายคุยเื่อื่น
“ยังไม่เข้าใจสินะ เอาเป็ว่าฉันจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่าเขาเป็ใคร”
“หลังจากที่แมททิวเจอจดหมายขู่นับร้อยที่จัสตินเก็บไว้ เขาก็เลยนั่งอ่านทีละฉบับพร้อมกับพอล ใจความอย่างที่บอกว่าน่าขนลุกและดูไม่ปลอดภัยชะมัด แต่เราก็จำเป็ต้องอ่านเผื่อจะได้อะไรกลับมา แล้วเราก็ได้อะไรกลับมาจริงๆ” เดวิดเว้น่สักพัก ไม่ได้ให้ตัวเองหายใจหรอก แต่น่าจะเป็ให้เ้าของบ้านได้หายใจหายคอแทนซะมากกว่า เพราะดูท่าเขาลุ้นจนแทบตัวโก่ง
“หนึ่งในจดหมายฉบับหนึ่งใช้กระดาษที่เฉพาะตัวพอควร เป็รายละเอียดเพียงเล็กน้อยที่นำพาเราไปสู่สิ่งใหญ่ มันทำให้รู้ว่าหมอนั่นทำงานที่ไหน แผนกอะไร และสุดท้ายเราก็รู้ว่าเขาเป็ใคร”
“ใคร ใครหรอครับคุณตำรวจ”
“อเล็กซ์ วินเทอร์”
“ครับ?”
“โอ้ขอโทษที ฉันไม่ได้เรียกนายน่ะ แต่ที่เอ่ยชื่อฉันหมายความว่า”
เดวิดโบกมือพร้อมพูดกลั้วหัวเราะดูท่าผ่อนคลาย หากแต่แววตาของเขายังแข็งกร้าวไม่เปลี่ยน นายตำรวจผิวแทนเงียบไปครู่หนึ่ง ฝังสายตาที่ดวงตาคมของเ้าของบ้านแน่นิ่ง อเล็กซ์แสร้งปั้นยิ้มอันแสนฝืนใจ กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก
“อเล็กซ์ วินเทอร์ เราขอเชิญคุณไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ…”
“ในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมห้าศพ อันย่า วินเทอร์ และจัสติน เบเกอร์”