“ท่านพ่อ เป็อะไรไป? เกิดอะไรขึ้นเ้าคะ?” จี้จิงวิ่งเข้าไปหาแล้วเอ่ยถามอย่างเร่งร้อนขณะจับชายเสื้อของผู้เป็พ่อไปด้วย
“ในอาหารนั่นมีสิ่งผิดปกติ ทั้งบิดาของข้า พี่น้องของข้า รวมถึงข้ามีอาการไม่สู้ดีหลังทานอาหารของที่นี่ แต่ช่างเถอะ พวกข้าไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานไปมากกว่านี้อีกแล้ว!” จี้เฟิงน้ำเสียงเย็นเยือก
ั้แ่เดินทางมาพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างดีมาตลอด นับเป็เื่ปกติที่พวกเขาจะสงสัยหากได้ทานแล้วเกิดอาการป่วยขึ้นมาทันที
สกุลจี้เป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งอาณาจักรฉางจิง พวกเขาไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด และไม่จำเป็ต้องลังเลสักนิดหากคิดจะเอาเื่โจวจื่อเฉิง
“โอ้ ท่านเทพโอสถ เหตุใดท่านจึงคิดว่าข้ากล้าลงมือเช่นนั้น? ท่านอาจจะแค่มีอาการปวดท้อง… ยิ่งกว่านั้น...” ร่างกายโจวจื่อเฉิงอาบไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ “พ่อบ้านอู๋นำเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงทองมาขอขมาท่านเทพโอสถเดี๋ยวนี้!”
โจวจื่อเฉิงไร้ซึ่งเสน่ห์ปลายจวัก เพราะฉะนั้นความเจริญรุ่งเรืองของภัตตาคารต้งไห่นั้นต้องยกความดีความชอบให้กับหรงชีเยว่
“ข้ามิได้ขาดแคลนเงินทอง ข้า้าให้เถ้าแก่โจวสอบสวนหาสาเหตุอย่างรอบคอบ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าใครหน้าไหนมันกล้าวางยาในอาหารของพวกข้า!” จี้เฟิงตวาดลั่น
โจวจื่อเฉิงพยักหน้าพร้อมก้มคำนับอย่างนอบน้อม “โปรดรอสักครู่ขอรับ ข้าจะรีบไปหาผู้ลงมือและพาตัวเขามาให้ท่าน!”
จี้จงเดินขึ้นชั้นบนอย่างหัวเสีย ขณะที่จี้เฟิงเดินมาหาฮวาชีเยว่พร้อมถามไถ่ “แม่นางฮวา เหตุใดเ้าจึงทานอาหารของเ้าเสร็จเร็วนัก?”
“จริงสิ พี่จี้ หากท่านมีเวลา เชิญท่านเดินเล่นพูดคุยกับข้าได้หรือไม่?”
ฮวาชีเยว่ยิ้มและเอ่ยชวนอย่างไม่ขัดเขิน ดวงตาของนางเป็ประกายสุกใส
แท้จริงแล้วในมื้ออาหารไม่มีอะไรผิดปรกติ แต่ปัญหาอยู่ในอาหารที่ฮวาชีเยว่สั่งนั้นปะปนกับอาหารที่คนสกุลจี้ทาน พวกเขาจึงมีอาการราวกับถูกวางยาพิษเช่นนี้ นี่เป็เพียงบทเรียนเล็กๆ แก่โจวจื่อเฉิง หากเื่ของเทียนซีลงตัวแล้ว นางจะกลับมาแก้แค้นโจวจื่อเฉิงอย่างสาสม!
จี้เฟิงเลิกคิ้วก่อนตอบอย่างยินดี “เป็เกียรติของข้ายิ่งนักที่แม่นางฮวาเอ่ยชวน”
จี้จิงมีความสุขที่เห็นว่าพี่ชายของนางตอบรับอย่างรวดเร็ว นางมั่นใจแน่แล้วว่าฮวาชีเยว่คือสตรีที่มีบางอย่างพิเศษอยู่ในตัว นาง้าผูกมิตรและเป็เพื่อนกับคนอย่างฮวาชีเยว่มาตลอด นางจึงภาคภูมิใจอยู่เล็กๆ ที่ผู้เป็พี่ชายนั้นดูชมชอบเพื่อนของนางเช่นกัน นั่นหมายความว่ารสนิยมของสองพี่น้องนั้นไม่ห่างกันมากนัก
จี้เฟิงและฮวาชีเยว่เดินออกด้านนอกภัตตาคารต้งไห่ก่อนบังเอิญพบกับอี๋เหนียงสองและฮวาเมิ่งซือ
ฮวาเมิ่งซือจำจี้เฟิงได้ทันทีจากชื่อเสียงด้านเทพโอสถของเขา ก่อนหน้านี้นางลังเลระหว่างหนานอ๋องและเทพโอสถ กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยามนางถึงตัดสินใจแน่ว่าสามีในอนาคตของนางต้องเป็จี้เฟิง
นั่นเพราะสกุลจี้เป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า
สำหรับหนานอ๋องนั้นดูยำเกรงขึ้นมาได้เพราะอาศัยบารมีของฮ่องเต้ที่พระราชทานยศให้ ครอบครัวก็มีมารดาเพียงคนเดียว จะไปเทียบกับสกุลจี้ผู้มั่งคั่งได้อย่างไรกัน?
ฮวาเมิ่งซือผงะนิ่งไปชั่วครู่เมื่อเห็นทั้งจี้จิงและจี้เฟิงอยู่กับฮวาชีเยว่ นางเปลี่ยนสีหน้าทันทีก่อนกล่าวทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญยิ่งนักท่านจี้ ข้าฮวาเมิ่งซือ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบเ้าค่ะ!”
จี้เฟิงมองใบหน้าที่งดงามของฮวาเมิ่งซือ การแต่งกายของนางดูดีกว่าฮวาชีเยว่ในชุดคลุมสีชมพูสวย เอวของนางที่รัดล้อมด้วยเข็มขัดทองคำนั้นบางขนาดสามารถโอบไว้ได้ด้วยมือเดียว
เส้นคิ้วของนางจัดแต่งโค้งสวยราวใบหลิว ส่วนริมฝีปากนั้นแดงก่ำราวผลอิงเถาเคลือบด้วยชาดสีชมพูวาว ใบหน้าเรียวนั้นเล็กได้รูป รับกับริมฝีปากที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างงดงาม ดอกโบตั๋นที่แซมอยู่ในเส้นผมนั้นขับให้ผิวของนางดูเนียนผ่องเป็ยองใย
ฮวาเมิ่งซือมีรูปโฉมงดงามเสียจนบุรุษนับไม่ถ้วนตกหลุมรักนางแต่แรกพบ
ไม่ช้า แววตาประหลาดใจของจี้เฟิงกลับอันตรธานหายไป “เ้าคือ...”
เขาจำฮวาเมิ่งซือไม่ได้ อย่างไรเสียก็มีสตรีถึงยี่สิบชีวิตขึ้นประลองบนเวที ทั้งยี่สิบนางล้วนแต่ยังอ่อนเยาว์และงดงาม
แม้ว่าสตรีเ่าั้จะไม่งดงามเท่าฮวาเมิ่งซือ แต่หากเทียบกันแล้ว ฮวาชีเยว่กับมีรูปโฉมที่งดงามยิ่งกว่า
หากฮวาเมิ่งซือเปรียบดังดอกโบตั๋น เช่นนั้นฮวาชีเยว่ก็เปรียบดังดวงจันทร์ที่สดใสแต่เยือกเย็น มิเช่นนั้นก็เป็ดอกปทุมขาวในสระน้ำ คิ้วของนางเรียงสวยได้รูปราวกับภาพวาด อีกทั้งท่าทางที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ฮวาเมิ่งซือสู้ได้
“ข้า… ข้าคือคุณหนูรองสกุลฮวา ฮวาเมิ่งซือเ้าค่ะ พี่หญิงรู้จักมักจี่กับท่านจี้แล้วหรือ? ไยท่านจึงไม่แนะนำเขาให้พวกเราเล่าเ้าคะ?” ฮวาเมิ่งซือเปลี่ยนเื่ทันทีทันควัน พยายามป้ายสีให้ดูเหมือนว่าฮวาชีเยว่มักมากเห็นแก่ตัว ้าเก็บความสัมพันธ์ของนางกับจี้เฟิงไว้เพียงคนเดียว
อี๋เหนียงสองยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เมิ่งซือ เราจองห้องส่วนตัวเอาไว้แล้ว ท่านจี้ หากท่านมีเวลา ท่านสนใจร่วมโต๊ะอาหารกับเราหรือไม่เ้าคะ?”
นี่นับเป็การเชื้อเชิญที่ไม่ว่าใครก็เห็นได้ชัดเจนว่าบุรุษที่ฮวาเมิ่งซือหมายปองนั้นคือจี้เฟิง ทุกคนล้วนแต่ทราบกันดีว่ายอดสตรีแห่งฉางจิงผู้นี้มิเคยเสียเวลาชายตามองบุรุษใดเป็ครั้งที่สอง
การเชิญชวนเช่นนี้นับว่าเป็คำเชิญที่น้อยครั้งจะได้เห็น
ฮวาเมิ่งซือก้มศีรษะต่ำอย่างขัดเขินทำให้ฮวาชีเยว่แทบอาเจียนอาหารที่ทานไปออกมา นางไม่รู้สึกประหลาดที่ต้องแสร้งทำตัวเช่นนี้หรือ? ฮวาเมิ่งซือทะนงตัวมาโดยตลอด ยามนี้กลับถ่อมตนอยู่ต่อหน้าบุรุษที่หมายปอง
จังหวะที่นางหลุบดวงตาต่ำลงนั้นแทบจะทำให้บุรุษใจเต้นไม่เป็ส่ำ
"ขออภัย ตัวข้ามีนัดหมายกับคุณหนูใหญ่สกุลฮวาแล้ว คุณหนูรองงดงามเช่นนี้ย่อมมีคนมากมายปรารถนาร่วมโต๊ะ ข้าจะกล้าแย่งชิงโอกาสผู้อื่นได้อย่างไร? ฮูหยินและแม่นางทานให้อร่อยเถิด ข้าไม่รั้งพวกท่านแล้ว"
จี้เฟิงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนเดินออกไปข้างนอกทันที
ฮวาชีเยว่ตะลึง นางคิดว่าจี้เฟิงจะตกบ่วงเสน่ห์ของฮวาเมิ่งซือ มิคาดว่าเขาจะปฏิเสธคำเชิญของอี๋เหนียงสองเช่นนี้ นับเป็คนประหลาดโดยแท้
ฮวาเมิ่งซือมองร่างทั้งสองจนลับสายตา ใจนางนั้นเต็มไปด้วยความงดงามและเสียงทุ้มต่ำของจี้เฟิง หากสตรีเคียงข้างเขาคือฮวาชีเยว่
ฮวาเมิ่งซือจับมือของซูโหรวแน่นขนาดเล็บของนางนั้นจิกเข้าไปยังเนื้อของสาวใช้ สีหน้าของซูโหรวซีดเซียวแต่ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา แม้การแสดงออกของฮวาเมิ่งซือจะดูนิ่งเฉย แต่มือของนางที่จับซูโหรวไว้นั้นบีบแน่นจนความเ็ปเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
อยู่ๆ คุณหนูน่าหวาดหวั่นถีงเพียงนี้ขึ้นมา... ซูโหรวคิดอย่างสิ้นหวัง
ฮวาชีเยว่ จี้จิง จี้เฟิงใช้เวลายามบ่ายเพลิดเพลินไปกับการเดินเที่ยวทั่วเมืองหลวง เมืองหลวงแห่งนี้กว้างขวาง นับเป็การเปิดโลกใหม่ให้แก่นางโดยแท้
ทางตอนใต้ของเมืองหลวงมีต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง ตำนานกล่าวขานว่าต้นไม้ต้นนี้ปลูกไว้เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ลำต้นของมันสูงใหญ่ขณะที่เปลือกไม้สีน้ำตาลเข้มนั้นเต็มไปด้วยรอยแตกน้อยใหญ่มากมาย ดูแล้วช่างเก่าแก่เหลือเกิน
กิ่งก้านของมันมีผู้คนมาผูกคำอธิษฐานเอาไว้ กระดาษหลากสีเ่าั้รับหน้าที่แบกความหวังของทุกคน มีรูปปั้นหินรูปหนึ่งหน้าตาคล้ายสตรีตั้งอยู่ใจกลางลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป โฉมหน้าบนรูปปั้นก็เริ่มเลอะเลือน
บางคนกล่าวว่านี่เป็รูปปั้นของเทวีที่ไม่ว่าใครจะขอพรอะไร ท่านก็จะประทานพรข้อนั้นให้เป็จริง
“จุ๊ๆ ไม่คิดว่าเมืองหลวงจะมีทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ วันหน้าต้องหาเวลาอื่นมาเดินเล่นมากกว่านี้เสียแล้ว!” จี้จิงพูดอย่างตื่นเต้นขณะเดินเล่นรอบต้นไม้ใหญ่นำโชค
จี้เฟิงฉีกยิ้มกว้างให้กับภาพของน้องสาวที่ดูไร้เดียงสาของเขา เมื่อหันไปทางฮวาชีเยว่ก็เห็นนางกำลังจับจ้องไปยังต้นไม้นำโชคด้วยสายตาตื่นตาตื่นใจราวกับเป็เด็กอายุสามขวบก็ไม่ปาน
นี่เป็ครั้งแรกที่นางมาเยือนที่แห่งนี้แต่นางกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยมาแล้วหลายปีก่อน
หรือนี่จะเป็ความทรงจำเก่าของเ้าของร่างนี้?
“ดูสิ นั่นมิใช่สตรีหัวทึบผู้นั้นหรอกหรือ? พี่อวิ๋น ข้าว่านางคงได้พบกับทวยเทพที่ทำนายว่าเราต้องมากันที่นี่วันนี้แน่แท้!” เสียงดูถูกดังขึ้นจากข้างหลัง
เมื่อหันกลับไปมองพวกเขาพบกับหวงฝู่เซียน อวิ๋นสือโม่ และผู้ติดตามมากหน้าหลายตา รวมถึงองค์หญิงิจู องค์หญิงฮุ่ยหยา และองค์หญิงฮุ่ยหลิงเองก็เป็ส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้
ในที่สุดฮวาชีเยว่ก็ได้เห็นรูปโฉมของสตรีสองนางนี้ หลังรู้ตัวว่ามีองครักษ์ชุดดำตามรอยพวกเขามา ใบหน้าขององค์หญิงทั้งสองคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งลายสวยอันเป็ธรรมเนียมการแต่งกายของเหล่าองค์หญิง
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ฮวาชีเยว่อยู่บนเวทีประลองก่อนหน้านี้ นางสังเกตเห็นองค์หญิงทั้งสองนั่งอย่างสง่างามบนลานฝั่งราชวงศ์ท่ามกลางฝูงชน ฉะนั้นจึงเดาได้ไม่อยากว่าต้องเป็องค์หญิงสองพระองค์นี้แน่นอน
“นี่ ฮวาชีเยว่ เ้ารู้ว่าพี่อวิ๋นจะมาวันนี้ เ้าเลยมารอเขาใช่หรือไม่?”
หวงฝู่เซียนเดินเข้าไปหาฮวาชีเยว่แล้วจ้องอย่างเ็า สายตานั้นเหยียดหยามนางแทบจมดิน “เ้าบังเอิญชนะโอวหยางหลิวเอ๋อร์เท่านั้น ฮวาชีเยว่ เ้าควรหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เ้าจะไปได้ในภายหน้า ไม่เช่นนั้นเ้าอาจถึงแก่ความตายโดยไม่รู้ตัว”
ฮวาชีเยว่กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “ซื่อจื่อ เหตุใดท่านจึงห่วงใยข้านัก?”
เหล่าผู้ติดตามหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินดังนั้น ฮวาชีเยว่ไม่ได้แสดงออกเหมือนผู้ถูกกระทำแต่กลับเล่นลิ้นอย่างใจกล้า ทำให้หวงฝู่เซียนชี้นิ้วไปที่หน้าของนางด้วยความเกรี้ยวกราด “สามหาว! ไม่มีทาง! ทำไมข้าต้องเป็ห่วงคนเช่นเ้า?”
เขาเคยเป็คู่หมั้นเก่าของฮวาชีเยว่ และถึงแม้ว่าการหมั้นหมายนั้นจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ฮวาชีเยว่ยังกล้าพูดว่าเขาเป็ห่วงนาง ยิ่งเป็การเติมไฟให้ความสัมพันธ์นี้คลุมเครือดีแท้
“ถูกต้อง ทำไมคนอย่างข้าจึงมีค่าพอให้ท่านเป็ห่วงกัน? ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน...” ฮวาชีเยว่ลูบคางของนางอย่างไร้เดียงสา ก่อนที่ดวงตาของนางจะเป็ประกายแล้วเอ่ยคำอ้าง “แต่ท่านดูแสดงออกว่าห่วงใยข้าก่อนหน้านี้!”
จี้เฟิงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะหรือเยาะเย้ยหวงฝู่เซียน หากเขาไม่ได้ทำกิริยาทรามเช่นนั้นกับฮวาชีเยว่ นางคงไม่คิดจะหยอกเย้าเขาเช่นนี้
“เ้า เ้า เ้า… ข้าไม่ได้ห่วงใยเ้า! ข้าแค่มาเตือนว่าเ้าอาจตายได้ไม่รู้ตัว!” หวงฝู่เซียนถูกครอบงำด้วยโทสะ ขนาดที่ใบหน้าและหูของเขาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด อวิ๋นสือโม่เข้ามารั้งตัวเขาเอาไว้ “น้องหวงฝู่ ไยท่านต้องเสียเวลาอันมีค่าให้คนเช่นนี้ด้วย?”
ความดูถูกดูแคลนปรากฏชัดในน้ำเสียงนั้น จี้จิงเดินมาข้างฮวาชีเยว่แล้วจ้องไปยังอวิ๋นสือโม่ นางเบะปากขณะคว้าแขนของฮวาชีเยว่มาโอบไว้แล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “พี่สาวข้า มีใครกลั่นแกล้งท่านหรือไม่?”
ฮวาชีเยว่กะพริบตาปริบ “ไม่มีหรอก พวกเขาแค่ส่งมอบความห่วงใยมาให้ข้า แต่กลับขวยเขินที่จะแสดงมันออกมา!”
องค์หญิงฮุ่ยหยาไม่อาจเก็บเสียงหัวเราะของนางได้อีกต่อไป แต่ก็ต้องหุบปากทันทีเมื่อหวงฝู่เซียนส่งสายตามาให้
ฮวาชีเยว่ไม่ได้ชอบคนของราชวงศ์สักเท่าไร โดยเฉพาะองค์หญิงฮุ่ยเจิน แต่กลับมีเหตุน่าประหลาดใจเกิดขึ้น
“พี่หวงฝู่ ท่านคงชอบแม่นางฮวามากจริงๆ ใช่หรือไม่? จึงต้องแสดงความห่วงใยต่อนางเช่นนี้?” ดวงตาขององค์หญิงฮุ่ยหยาปรากฏรอยยิ้ม
หวงฝู่เซียนจ้องและอยากโต้ตอบองค์หญิงฮุ่ยหยา แต่โดนอวิ๋นสือโม่ห้ามไว้ จี้เฟิงมองไปยังฮวาชีเยว่อย่างมีความนัย เขาคิดว่าการแสดงของหญิงผู้นี้เยี่ยมยอดยิ่งนัก นางดูชาญฉลาดแต่ส่วนใหญ่นางไม่ได้เป็เช่นนั้น แม้ภายนอกนางจะดูเหมือนพูดจาไปเรื่อยเปื่อย แต่ความจริงนั้นไม่มีใครสามารถลับฝีปากกับนางได้
ที่แท้นางฉลาดปราดเปรื่องนัก!
จี้เฟิงส่งยิ้มบางให้กับกลุ่มคนเ่าั้ เอ่ยคำทักทาย “คารวะองค์หญิง กระหม่อมจี้เฟิงพ่ะย่ะค่ะ"
องค์หญิงฮุ่ยหยามองจี้เฟิงแล้วพบว่าบุรุษผู้นี้งดงามและมีท่าทางที่ดูเป็ธรรมชาติยิ่งนัก ดวงตาเรียวเล็กของเขาแฝงเสน่ห์อยู่เปี่ยมล้น อาภรณ์ของเขาที่พลิ้วไหวล้อไปกับสายลมยิ่งเสริมให้เขาดูดียิ่งขึ้น ใจขององค์หญิงฮุ่ยหยาเต้นแรง
นางไม่คาดคิดว่าบุรุษจะมีรูปโฉมงามได้ถึงเพียงนี้ ราวกับเขาก้าวออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะมองจากมุมไกลหรือใกล้ เขาก็ยังคงดูหล่อเหลาเกินจริง รอยยิ้มนั้นทรงเสน่ห์และอบอุ่น ไม่เหมือนกับบรรดาองค์ชายและนายน้อยทั้งหลาย
“พี่จี้ เหตุใดท่านจึงสนใจต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เล่า?” อวิ๋นสือโม่นับเป็คนคุ้นเคยของเทพโอสถ เขาจึงพูดกับจี้เฟิงด้วยคำพูดสบายๆ ขณะเอ่ยปากพูดเขาหันกลับไปมองฮวาชีเยว่แล้วพบว่าการแสดงออกที่งี่เง่าเ่าั้ยังไม่หายไปจากหน้าของนาง