อวิ๋นสือโม่อยากหัวเราะเหลือเกิน สตรีผู้นี้ต่อหน้าเขานางเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ยามนั้นที่นางใช้ต้นหลงแดงมาข่มขู่เขา นางมิได้มีท่าทีเช่นนี้แม้แต่น้อย!
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่านางมีไหวพริบมากเพียงใด อย่างไรฮวาชีเยว่ก็ทราบว่าอวิ๋นสือโม่ไม่ใช่คนปากสว่าง แม้จะเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าเขา ย่อมไม่มีใครอื่นล่วงรู้
หวงฝู่เซียนเป็ถึงกงชินอ๋องซื่อจื่อ บรรดาศักดิ์สูงส่งปานนั้น ย่อมไม่ลดตัวลงมาใส่ใจคำนินทาเกี่ยวกับนาง
“ข้ามิค่อยได้เข้าเมืองหลวง จึงเป็โอกาสอันดีที่ได้ลองเดินชมสักหน่อย จึงขอให้ชีเยว่ช่วยนำทางข้า” จี้เฟิงเรียกชื่อจริงของฮวาชีเยว่อย่างเป็ธรรมชาติ
ฮวาชีเยว่ผงะเล็กน้อยแต่กลั้นไว้ไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า นางดึงตัวจี้จิงไปอีกมุมหนึ่ง เนื่องด้วยไม่้าแสร้งแสดงต่อหน้าผู้อื่น
การต้องเสแสร้งตลอดเวลานั้นเป็อะไรที่กินแรงพอสมควร นางเป็แค่สตรีธรรมดาคนหนึ่ง กล่าวได้ว่านางเฉลียวฉลาดทั้งยังงดงาม เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องแสร้งทำตัวเป็คุณหนูฮวาคนโง่งมด้วยเล่า?
ฮวาชีเยว่อยากหนีหายไปจากคนเ่าั้ แต่พวกเขาคงไม่ปล่อยนางไปโดยง่าย
“ฮึ ไม่คิดว่านอกจากแม่นางฮวาจะมีโชคนำพาขนาดเอาชนะแม่นางโอวหยางแล้ว นางยังหาทางสนิทสนมกับท่านเทพโอสถได้อีก ช่างโชคดีเหลือเกิน!”
แซ่เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นอีกครั้ง ฮวาชีเยว่หันกลับมาพบกับใบหน้างามขององค์หญิงฮุ่ยหลิง องค์หญิงฮุ่ยหลิงและองค์หญิงฮุ่ยเจินต่างเป็พระธิดาของฮ่องเต้ ทั้งยังหยิ่งผยอง มีนิสัยอยากได้อะไรก็ต้องได้มาั้แ่ยังเล็ก
ฮองเฮาเองก็ทะนุถนอมพวกนางขนาดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ยอมให้พวกนางมีเหตุให้ต้องเจ็บทุกข์ทนสักครั้ง
ไม่แปลกใจหากองค์หญิงทั้งสองจะเติบโตมามีนิสัยต่ำทรามและหยาบคายถึงเพียงนี้ ทว่าองค์หญิงฮุ่ยหยาผู้เป็บุตรของเหมยเฟยดูควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่ามาก นางไม่พูดจาด่าว่าฮวาชีเยว่ เป็เหตุให้ฮวาชีเยว่รู้สึกประทับใจในตัวนางมากขึ้นเล็กน้อย
“หรือหม่อมฉันจะโชคดีขนาดนั้นจริง? โอ… ย่อมต้องเป็เพราะไต้ซือเสวียนจีแน่นอนเพคะ!” ฮวาชีเยว่ยิ้มเหมือนคนบ้า จี้จิงทนกลั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่ไหว สองมือของนางกุมเข้าที่ท้องพยายามไม่เปล่งเสียงหัวเราะจนท้องเสียด
องค์หญิงฮุ่ยหลิงแสยะยิ้มแล้วมองไปทางฮวาชีเยว่ นางตกหลุมรักจี้เฟิงเช่นกัน แล้วเหตุใดหญิงฟั่นเฟือนนางนี้จึงมาอยู่กับเทพโอสถได้?
“ฮวาชีเยว่ เ้าไม่ถวายบังคมเมื่อได้พบกับคนของราชวงศ์งั้นหรือ? สกุลฮวาสั่งสอนมารยาทเ้ามาเช่นนี้สินะ?” องค์หญิงฮุ่ยหลิงจ้องฮวาชีเยว่อย่างเ็า พยายามเติมไฟสร้างความยุ่งยากให้โหมกระหน่ำเข้าไปอีก
องค์หญิงฮุ่ยหยารู้สึกแย่ก่อนสะกิดองค์หญิงฮุ่ยหลิง “พี่หญิง ฮวาชีเยว่คงลืมตัวไปชั่วครู่ ยามที่พี่หวงฝู่พูดคุยกับนางก่อนนี้ ดูคล้ายนางยังไม่มีเวลาคิดเื่อื่น..."
“ใช่แล้ว ไม่จำเป็ต้องไปวุ่นวายกับสตรีเช่นนี้หรอกเพคะ” ท่านหญิงิจูเอ่ยแทรกขึ้นมา
ภายนอกท่านหญิงิจูแลดูมีนิสัยอ่อนโยนและอบอุ่น แต่ฮวาชีเยว่ทำได้เพียงแสยะยิ้มหลังได้ยินคำพูดว่าร้ายเช่นนั้น ดูเหมือนท่านหญิงิจูจะมิได้สุขุมเรียบร้อยเฉกเช่นรูปลักษณ์ของนางเสียแล้ว
กลับกันแล้ว องค์หญิงฮุ่ยหยาดูห่วงใยนางอย่างแท้จริง ข่าวลือว่าบุตรีของเหมยเฟยไม่ถือตัวดูท่าจะเป็ความจริง
ฮวาชีเยว่กะพริบตาอีกครั้ง “โอ้ ใช่แล้ว กระหม่อมลืมไปเพคะ หากแต่องค์หญิง มิใช่ท่านควรคุกเข่าเบื้องหน้ารูปเคารพหรอกหรือ? แม่นมของหม่อมฉันเคยบอกว่าแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงคุกเข่า เหตุใดท่านไม่คุกเข่าล่ะเพคะ?"
องค์หญิงฮุ่ยหลิงใบหน้าซีดเซียวขึ้นมา “ข้าไม่้าสวดมนตร์ เหตุใดจึงต้องคุกเข่า?"
ฮวาชีเยว่ยิ้มอย่างสดใสก่อนถอนสายบัวกลับไปหนึ่งที “เอ่อ… พระนามท่านคืออะไรแล้วนะ? ข้าลืมไปอีกแล้ว อา...สมองโง่งมของข้านี่นะ..."
องค์หญิงฮุ่ยหลิงใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “โอ ข้านึกได้ว่าเ้าเป็สตรีสมองทึบ ได้ยินว่าเ้าทั้งอ่อนแอทั้งไร้ประโยชน์ ซ้ำยังสติปัญญาบกพร่อง ไสหัวไปเสีย เลิกทำให้ข้าเสียอารมณ์ได้แล้ว!"
องค์หญิงฮุ่ยหลิงเถรตรงและเย่อหยิ่ง ขนาดทำให้อวิ๋นสือโม่รวมถึงคนรอบข้างขมวดคิ้วกันยุ่ง
ฮวาชีเยว่ฉีกยิ้มกว้างที่สบโอกาสหลบออกมาได้กับจี้จิง หวงฝู่เซียนมองตามร่างที่เดินจากไปอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นนางอยู่เคียงข้างกับจี้เฟิง
จี้เฟิงและอวิ๋นสือโม่แวะพักที่ศาลาแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้คงเต็มไปด้วยแสงสีและมีชีวิตชีวายิ่งนักยามค่ำคืน เพราะผู้คนต่างแห่กันมาชมการแข่งขันประลองยุทธ์ แม้จี้จิงและจี้เฟิงจะพลาดชมการแข่งขันไปก็ไม่เป็ไร เพราะนั่นเป็เพียงเวทีแข่งขันรอบแรก หลังจากนี้ยังมีเื่น่าตื่นเต้นรออยู่อีกมาก
ฮวาชีเยว่และจี้จิงเด็ดดอกไม้ป่าจากทุ่งดอกไม้ด้านนอก ฮวาชีเยว่ไม่เคยรู้สึกสนุกสนานเช่นนี้มานานมากแล้ว
ชาติภพของนางก่อนหน้านี้ นางได้แต่งงาน นางได้เรียนรู้เื่การบริหารสายป่านงานกิจการจากผู้เป็พ่อ และเรียนรู้การเย็บปักถักร้อยจากผู้เป็แม่ ทำให้นางแทบจะไม่ได้ออกไปไหนไกลจากบ้าน หลังจากแต่งงาน นางก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับกิจการที่บ้านพลางเลี้ยงดูลูก นางไม่เคยได้เล่นสนุกด้วยตัวเองเช่นนี้มาก่อน
หัวใจของฮวาชีเยว่เจ็บแปลบเมื่อนึกถึงผู้เป็พ่อ ั้แ่นางกลับมาเกิดใหม่ นางไม่ได้กลับไปบ้านเกิด ไม่ได้กลับไปเคารพผู้ให้กำเนิดทั้งสองของนางเลยสักครั้ง
การแก้แค้นคือสิ่งแรกที่นางนึกถึง นางคิดว่านางไม่มีหน้ากลับบ้านเพื่อเคารพผู้เป็พ่อและแม่จนกว่านางจะแก้แค้นได้สำเร็จ นี่เป็แรงผลักดันให้นางแข็งแกร่งขึ้น แม้การฝึกพลังชี่จะยากลำบากเพียงไหนนางก็จำต้องทน!
“ชีเยว่? ชีเยว่? เ้าเืออก!”
จี้จิงอุทานเสียงดัง นางปลุกฮวาชีเยว่ให้หลุดออกจากภวังค์ก่อนเ้าตัวจะได้สติแล้วพบว่าเข็มของดอกไม้ป่าในมือนั้นแทงเข้าเนื้อ จนเืหยดออกมาจากฝ่ามือของนางไม่หยุด
จี้เฟิงรีบวิ่งมาหาหลังได้ยินคำอุทานเช่นเดียวกับอวิ๋นสือโม่และคนอื่นๆ สีหน้าของจี้เฟิงหมองลงหลังเห็นเืของฮวาชีเยว่ เขารีบคว้าโอสถออกมาจากเสื้อคลุม “มา ให้ข้าทายาบนแผลเ้าสักหน่อย”
สีหน้าของทุกคนดูแตกตื่น ใต้หล้านี้ทุกคนต่างรู้ดีว่ายาวิเศษของเทพโอสถนั้นมีค่ามากมายเพียงใด แต่เขากลับใจกว้างนำมาทาให้กับฮวาชีเยว่ ทั้งยังชักชวนให้นางร่วมเดินชมเมืองหลวงด้วยกัน เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขาปฏิบัติกับนางเช่นสหายคนหนึ่ง
สายตาของอวิ๋นสือโม่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาเม้มปากแน่นแต่ไม่เอ่ยคำพูดใด ส่วนหวงฝู่เซียนนั้นเอะอะโวยวายเป็การใหญ่ “พี่จี้ ท่านใช้เวลานานนับปีเพื่อคิดค้นยาวิเศษของท่านขึ้นมา ไยจึงสละของมีค่าให้กับหญิงบ้าผู้นี้”
จี้เฟิงแย้มยิ้มผ่านั์ตา “ควรเป็ข้าหรือไม่ที่ตัดสินว่านางคู่ควรหรือไม่คู่ควร”
คำพูดของเขาสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนที่ได้ยิน พวกเขาเหลือบมองฮวาชีเยว่ด้วยสีหน้าหลายหลากแตกต่างกันออกไป ไม่มีใครเข้าใจว่าจี้เฟิงมองเห็นอะไรในตัวหญิงเขลานางนี้ ผู้ที่เขาปฏิบัติทุกสิ่งต่อนางด้วยความจริงใจ
องค์หญิงฮุ่ยหลิงยิ้มเยือกเย็นพร้อมเอ่ยเสียงแปร่งหู “พี่จี้ ฮวาชีเยว่รับอุปถัมภ์บุตรชายใน่วัยแรกแย้มทั้งที่นางมิได้แต่งงานอย่างเหมาะสม ทั้งยังเลื่องลือเื่สำส่อน นางไม่มีค่าพอเทียมทัดโอสถวิเศษของท่าน!”
ลู่ซินเริ่มมีน้ำโหจากคำพูดเช่นนี้ แต่ฮวาชีเยว่จับมือเอาห้ามมิให้นางเอ่ยปากโต้เถียง
ลู่ซินทำได้เพียงส่งสายตาเคียดแค้นให้กับองค์หญิงฮุ่ยหลิงโดยไม่คาดคิดว่าจี้จิงจะเป็คนลุกขึ้นมาปกป้องฮวาชีเยว่เสียเอง “องค์หญิงฮุ่ยหลิง ท่านจะมากเกินไปแล้วนะ! เหตุใดสตรียังไม่แต่งงานจะรับอุปถัมภ์บุตรไม่ได้? การกระทำนั่นหมายความว่านางจะได้กรรมดีและโชคลาภตอบแทน! ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไรกันที่ชีเยว่ทำตัวสำส่อน? ท่านกล่าวหานางเองหรือไม่?”
จี้จิงะเิโทสะและหยาบคาย แน่นอนว่าองค์หญิงฮุ่ยหลิงทรงกริ้วขนาดใบหน้าเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำอีกครั้ง
“หืม? ไยเ้าไม่เอ่ยถามคนในเมืองดูเล่า? ทุกคนต่างก็พูดกันหมดว่านางผู้นี้สำส่อนขนาดไหน แถมยังโดนตีตราว่าเป็แม่หม้ายอีก! เ้าไม่ได้ยินข่าวลือพวกนี้จริงหรือ?”
องค์หญิงฮุ่ยหลิงสบถเหยียดหยามแต่จี้เฟิงไม่แม้แต่จะสนใจคำพูดเ่าั้แล้วตั้งใจทายาลงาแของฮวาชีเยว่ต่อไป
โอสถขวดนี้สรรพคุณดั่งปาฏิหาริย์ ทันทีที่จี้เฟิงทาลงบนแผลของฮวาชีเยว่ เืที่ไหลหยดเ่าั้ก็หยุดลงทันที อีกทั้งอาการแสบคันยังหายเป็ปลิดทิ้งอีกด้วย ฮวาชีเยว่ไม่รู้สึกครั่นเนื้อตัวอีกต่อไป นางััได้ถึงััเย็นสบายบนฝ่ามือ ช่างเป็อะไรที่ผ่อนคลายดีแท้
นับเป็ครั้งแรกที่ฮวาชีเยว่ได้ใกล้ชิดกับบุรุษ นางไม่อาจหยุดแก้มสวยที่ขึ้นสีของนางได้เลย ยามนี้ตะวันใกล้ตกดิน แสงย่ำยามพลบค่ำทอดยาวทั่วทั้งฟ้า รวมถึงส่องััที่รวงแก้มของนางพอดี ราวกับได้แต่งแต้มสีแดงอมส้มบนใบหน้างามนั้น
อวิ๋นสือโม่ขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจโดยไม่แม้แต่จะหาสาเหตุได้
“แม่นางจี้ อย่าหลงเล่ห์อุบายของหญิงโง่นางนี้เลย ฮึ นางเสื่อมเสียไร้ยางอายมากแค่ไหนใครต่างรู้” องค์หญิงฮุ่ยหลิงเสียงดังลั่นจากความหึงหวง
จี้จิงแสยะยิ้มแล้วตอบกลับทันที “ท่านพูดเองแท้ๆ ว่าเื่เ่าั้เป็เพียงข่าวลือ เหตุใดสตรีที่ชาญฉลาดเยี่ยงองค์หญิงท่านจึงไม่รู้ความหมายที่แท้ของข่าวลือกันเล่า? ทั้งข่าวลือ ทั้งเื่เล่าปากต่อปากจากหนึ่งสู่สิบ จากนั้นก็เพิ่มพูนเป็จากสิบไปร้อย ทั้งยิ่งลือกันไปไกลมากเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งใส่สีกันมากเท่านั้น! มิฉะนั้นเหตุใดเขาจึงเรียกพวกมันว่าข่าวลือ?”
จี้จิงเปล่งวาจาเฉียบแหลมตอกหน้าองค์หญิงฮุ่ยหลิง นางะโไปมาด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนหลุบตาลงมองจี้เฟิงที่กำลังเก็บขวดโอสถเข้าที่เดิมแล้วเอ่ยถามฮวาชีเยว่อย่างอ่อนโยน “ชีเยว่ เ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
“ดีขึ้นมากแล้ว ไม่รู้สึกเ็ปอีกเลย ฮ่าๆๆ พี่ชายสุดหล่อของข้า โอสถของท่านสรรพคุณดีงามจริงแท้!” ฮวาชีเยว่ตอบกลับอย่างเซ่อซ่าพร้อมส่งยิ้มให้
“องค์หญิงฮุ่ยหลิง จิงเอ๋อร์กล่าวถูกต้องแล้ว ข่าวลือนั้นมีความจริงแฝงอยู่เพียงเล็กน้อยเมื่อคำเ่าั้ส่งต่อไปยังปากต่อปาก หากไร้ซึ่งหลักฐาน เหตุใดเราจึงตัดสินผู้คนจากข่าวลือกันเล่า?” จี้เฟิงกล่าวด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม คำตอบของเขาสุภาพนอบน้อม หากแต่แสดงออกถึงความชัดเจน
ท่านหญิงิจูยิ้มเห็นด้วย “ใช่แล้ว เลิกพูดถึงข่าวลือเหล่านี้เสียเถิด นี่ก็เริ่มมืดค่ำแล้ว หากเราไม่รีบกลับวัง ฮ่องเต้จะทรงกริ้วเอาได้ เรากลับวังกันดีหรือไม่?”
องค์หญิงฮุ่ยหยาพยักหน้ารับ “จริงด้วย! ไปกันเถิด!”
องค์หญิงฮุ่ยหลิงส่งสายตาปองร้ายกลับไปยังฮวาชีเยว่ นางรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ขณะฮวาชีเยว่ลุกขึ้น องค์หญิงฮุ่ยหลิงคิดแผนการร้ายออกพอดี นางรุดเข้าไปยืนเคียงข้างฮวาชีเยว่ เบียดบังคับให้ลู่ซินถอยห่างออกไป
อวิ๋นสือโม่และจี้เฟิงสบสายตาต่อกัน พวกเขามิอาจรู้และบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายเก็บงำความรู้สึกใดไว้ในใจ
“ฮวาชีเยว่ อย่าคิดว่าเ้าเคราะห์ดีนักเลย เ้าจะไม่ใช่คนโชคดีอีกต่อไปแล้วในการแข่งขันครั้งหน้า!” องค์หญิงฮุ่ยหลิงกัดฟันพูดอย่างเืเย็น
หวงฝู่เซียนก้าวไปข้างหลังฮวาชีเยว่ “ถูกต้องแล้ว ไม่มีใครโชคดีไปตลอดกาลหรอก”
องค์หญิงฮุ่ยหลิงมองไปยังพุ่มดอกไม้ป่าสูงเทียบเท่าเข่า แววตาเ้าเล่ห์ฉายออกมาผ่านดวงตาของนางก่อนตัดสินใจขัดขาฮวาชีเยว่ให้ล้มลง ฮวาชีเยว่กรีดร้องด้วยความหวั่นกลัว องค์หญิงฮุ่ยหลิงส่งยิ้มเย็นเยือก
ข้างหน้าของพวกเขาคือพุ่มดอกไม้ป่าที่เต็มไปด้วยขวากหนาม หากฮวาชีเยว่ล้มทับพวกมันคงเกิดหายนะเป็แน่! หากแต่ฮวาชีเยว่กลับยื่นแขนจับสายคาดเอวขององค์หญิงฮุ่ยหลิงเอาไว้ได้ จากนั้นก็สายไปเสียแล้วที่เหล่าองครักษ์จะเข้ามาช่วยผู้เป็นาย!
องค์หญิงฮุ่ยหลิงร้องเสียงหลง เมื่อครู่นางไม่ทันตั้งตัวจึงถูกฮวาชีเยว่คว้าไว้ได้อย่างจัง ร่างของนางล้มลงก่อนฮวาชีเยว่จะทิ้งตัวทับนางได้พอดี!