หลี่ลั่วครุ่นคิดอยู่สักพัก “ท่านปู่ใหญ่ ถึงสูงวัยยังแข็งแรง[1] ท่านย่าใหญ่ ใบหน้าอิ่มเอิบมีเมตตากรุณา[2]”
“ยังพูดเฉิงอวี่[3]ได้ด้วยหรือนี่ เก่งกาจเหลือเกิน ท่องบทกวีได้หรือไม่?” กั๋วกงฮูหยินถามอีก ชมชอบหลี่ลั่วนั้นเป็เื่จริง และยังมีหมายความยกยอหลี่หยางซื่ออยู่ในนั้นด้วย หลี่ลั่วได้ดี หลานสะใภ้คนนี้จึงจะได้หน้า หากว่าิเจี๋ยเอ๋อร์กับหลี่หงมีวาสนาต่อกัน ก็จะเป็หน้าเป็ตาให้แก่ิเจี๋ยเอ๋อร์
การกระทำของคนชราเพียงเื่หนึ่ง มักจะกระทบและเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ของคนหลายคน
หลี่ลั่วก้มหน้าอย่างขัดเขินเล็กน้อย เอาหน้าไปซุกไว้ที่ขาของกั๋วกงฮูหยิน จากนั้นก็ท่องกวีออกมาบทหนึ่ง “เอ๋อ เอ๋อ เอ๋อ ร้องขึ้นฟ้าด้วยคอโค้งงอ ขนสีขาวลอยล่องเหนือลำน้ำเขียว เท้าสีแดงแกว่งไกวสร้างคลื่นแวววาว[4]”
“ฮ่าๆๆ...” ทุกคนต่างก็หัวเราะ เด็กคนนี้ เมื่อมีท่าทางหยิ่งผยองนั้นน่ารักยิ่งนัก ท่าทางเขินอายก็น่ารักเช่นกัน อย่าว่าแต่กั๋วกงฮูหยิน ต่อให้เป็คนอื่นที่มาพบเห็น ก็คงอดไม่ได้ที่จะชมชอบ
หลี่หยางซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก ครานี้นางกลับมิได้สงสัยว่าผู้ใดเป็คนสอนหลี่ลั่ว เพียงแต่รู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย ดูแล้วหลี่ลั่วได้รับการอบรมเลี้ยงดูเป็อย่างดีจากครอบครัวที่รับเลี้ยงเขาแน่นอนแล้ว ั้แ่เมื่อวานที่กลับมา คำพูดและการกระทำของเด็กคนนี้ล้วนดีทั้งสิ้น
ด้วยเหตุที่มิรู้ว่าครอบครัวที่รับเลี้ยงเด็กน้อยนั้นอยู่แห่งหนใด ดังนั้นหลี่หยางซื่อจึงได้แต่คิดว่า อย่างไรเสียครอบครัวที่รับเลี้ยงต้องเป็ครอบครัวของปัญญาชนเป็แน่
กั๋วกงฮูหยินหยิบชิ้นหยกออกมาชิ้นหนึ่ง เป็หยกมันแพะที่ใสจนสามารถมองทะลุได้ ข้างในหยกชิ้นนั้นเส้นสีเหลืองแม้สักเส้นก็ยังไม่พบ มูลค่าของหยกชิ้นนี้อยู่ที่ราวๆ แปดร้อยถึงหนึ่งพันตำลึง ไม่มีใครคาดคิดว่ากั๋วกงฮูหยินจะหยิบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ออกมา
หลี่ลั่วยิ้มและรับของเอาไว้ ทว่ามิได้ส่งต่อให้ผิงอัน กลับนำมาใส่ลงบนลำคอของตนเอง แล้วซ่อนไว้ในเสื้อผ้า เพราะเขาได้ใส่สร้อยเงินหยกอุ่นที่หลี่เหล่าไท่ไท่มอบให้เขาแล้วเส้นหนึ่ง หากว่าเขาใส่หยกขาวมันแพะนี้ไว้ด้านนอก ก็จะทำให้เป็เื่ไม่น่าดู
มองตามกริยาของหลี่ลั่ว ทุกคนต่างก็เห็นสร้อยเงินห้อยหยกอุ่นเส้นนั้น กั๋วกงฮูหยินยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าน้องสะใภ้คนนี้จะตัดใจส่งหยกอุ่นมาเป็ของขวัญ เพียงแต่ว่า...หยกอุ่นชิ้นใหญ่ทั้งชิ้นนำมาทำเป็สร้อยเงินหยกอุ่นจึงจะสวยงาม นี่กลับเอามาประดับบนกุญแจอายุยืนเพียงชิ้นเล็กๆ ก็เป็ได้เพียงเครื่องประดับ แต่ถึงกระนั้นน้องสะใภ้ที่ใจแคบของนางคนนี้สามารถมอบของชิ้นใหญ่ถึงเพียงนี้ก็ทำให้นางหลากใจยิ่งนักแล้ว
กั๋วกงฮูหยินย่อมมั่นใจว่านี่คือสิ่งของที่หลี่เหล่าไท่ไท่มอบให้ ครั้งนั้นนางเคยเห็นลูกฝาแฝดชายหญิงของหลี่ฮ่าวสวมใส่สร้อยลักษณะเดียวกันนี้
หลี่ลั่วเก็บหยกของกั๋วกงฮูหยินแล้วจึงให้ผิงอันหยิบของออกมากล่องหนึ่ง เขานำกล่องมายื่นให้กั๋วกงฮูหยิน “ลั่วเอ๋อร์มาคารวะท่านย่าใหญ่เป็ครั้งแรก นี่คือของขวัญที่หลี่ลั่วมอบให้ท่านย่าใหญ่ขอรับ”
“ไอหยา เด็กคนนี้...เด็กคนนี้ยังเตรียมของขวัญมาให้หญิงชราเช่นข้า นี่มันช่าง...นี่มันช่าง...” กั๋วกงฮูหยินยิ้มกว้างจนปากแทบจะหุบไม่ลง
“ท่านแม่ ท่านต้องเปิดให้พวกเราได้ชมเป็บุญตาด้วยนะเ้าคะ” หลี่หลินซื่อกล่าว
“ใช่แล้ว ให้พวกเราได้อิจฉากันบ้าง” ญาติฝ่ายหญิงคนอื่นๆ ก็รีบกล่าวเสริม
ขนาดกั๋วกงหลี่ลั่วยังมิได้เตรียมของขวัญมามอบให้ คิดแล้วของขวัญคงมีเพียงของกั๋วกงฮูหยินชิ้นเดียว
“พวกเ้าทั้งหลายนี้ล้วนเปลือกตาบางทั้งสิ้น...” กั๋วกงฮูหยินพูดแล้วก็เปิดฝากล่องขึ้น ทว่าขณะที่นางเห็นของขวัญที่อยู่ในกล่องนั้น อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของทุกคนที่อยู่ที่นั่นเป็ประกาย เมื่อเห็นสีหน้าของนางก็ยิ่งให้สงสัยใคร่รู้ว่าของขวัญในกล่องคืออะไร แต่เมื่อเห็นกั๋วกงฮูหยินหยิบของขวัญขึ้นมา “นี่คือสร้อยประคำที่เป็เครื่องบรรณาการเมื่อปีที่แล้วใช่หรือไม่?” ในฐานะฮูหยินตราตั้งขุนนางขั้นหนึ่ง นางอยู่ในงานเลี้ยงครั้งนั้นด้วย ครั้งนั้นได้เห็นสร้อยประคำล้ำค่าเส้นนี้ถือได้ว่าเป็บุญตา แต่กลับคาดไม่ถึงว่า...ฝ่าาจะนำสร้อยประคำเส้นนี้ประทานให้แก่เด็กคนนี้?
สร้อยประคำนั้นเป็ของล้ำค่าแน่แท้แล้ว แต่เมื่อเพิ่มคำว่าพระราชทานเข้ามาอีก ทำให้สูงค่ายิ่งขึ้นไปอีก กั๋วกงฮูหยินถือสร้อยประคำไว้ในมือ ในใจนั้นรู้สึกอิ่มเอมนัก ของขวัญชิ้นนี้มีค่ามากกว่าหยกชิ้นนั้นของนางมาก อีกทั้งยังมีความตั้งใจมากกว่านัก รู้ว่านางชอบสวดมนต์จึงส่งของขวัญชิ้นนี้มาให้ เช่นนั้นย่อมต้องเป็ความคิดของหลี่หยางซื่อเป็แน่
กั๋วกงฮูหยินมองหลี่หยางซื่อ หลี่หยางซื่อเพียงประดับรอยยิ้มบางๆ ไว้บนใบหน้าตลอดเวลา น้ำใจของอีกฝ่ายนั้นต่างฝ่ายต่างกระจ่างแจ้งโดยมิต้องเอ่ยคำพูดใดๆ
หลี่เหล่าไท่ไท่ตกตะลึงเช่นกัน สร้อยประคำเส้นหนึ่งมอบให้แก่ตน ไม่คิดว่าอีกเส้นหนึ่งจะนำมามอบให้กับกั๋วกงฮูหยิน แค่คิดก็รู้ว่าเป็ความคิดของหลี่หยางซื่อ ช่างมีใจคิดถึงเสียจริง
หลังจากตกตะลึงกับสร้อยประคำแล้ว หลี่หลินซื่อได้แนะนำบุตรในอนุภรรยาอีกสองคนของกั๋วกงพร้อมกับภรรยาของพวกเขา ด้วยเหตุที่กั๋วกงและกั๋วกงฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ หากยังมีผู้าุโอยู่นั้นมิให้แยกเรือน ดังนั้นอีกสองครอบครัวจึงยังคงอาศัยอยู่ด้วยกันในจวนกั๋วกง ครอบครัวนี้เมื่อเปรียบเทียบกับจวนโหวแล้วก็มีความคล้ายคลึงกันมาก
ต่อมาเป็การแนะนำในรุ่นของหลานๆ ซึ่งถือเป็รุ่นเดียวกับหลี่ลั่ว หลี่ลั่วจำได้เพียงแค่สามคน ซึ่งก็คือบุตรชายและบุตรสาวของหลี่หลินซื่อ บุตรชายคนโต หลี่เจ๋อ อายุสิบแปดปี บุตรชายคนรอง หลี่ต้าน อายุสิบสี่ปี และบุตรีคนโต หลี่จือ อายุสิบห้าปี ทว่าหลี่ต้านไม่อยู่
เมื่อได้แนะนำญาติกันเรียบร้อยแล้ว กั๋วกงจึงได้หยิบผังสกุลออกมาเขียนชื่อของหลี่ลั่วเพิ่มเข้าไป ทว่ามิใช่ลงนามเป็ซู่จื่อ[5] แต่เขียนไว้ด้านล่างชื่อของหลี่หยางซื่อ เป็ตี๋ชื่อจื่อ[6]ของหลี่หยางซื่อ
เขียนไว้ว่าเป็ลูกของมารดาใหญ่ ก็คือเป็บุตรของภรรยาเอก บางทีอาจยังจะมีคนเรียกเขาว่าเป็บุตรอนุอยู่ แต่ด้วยฐานะของหลี่ลั่วเองนั้น จวนโหวทั้งจวนล้วนเป็ของเขา จะเป็ตี๋จื่อหรือซู่จื่อนั้นไม่สำคัญ หลังจากเข้าผังสกุลเรียบร้อยแล้ว กั๋วกงก็ได้เปิดศาลเ้าบรรพชนพาหลี่ลั่วไปคุกเข่ากราบไหว้บรรพบุรุษพร้อมกับหลี่เหล่าไท่เหฺย
ส่วนหลี่จือพาหลี่หลินไปนั่งที่เรือนของตน หลี่เจ๋อรับรองหลี่หง
ณ เรือนต้านสุ่ย
ทางด้านขวามือของหลี่ต้านมีกาน้ำชาวางอยู่สองใบ เขารินน้ำชาจากกาทั้งสองใบนี้ให้กับผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามสองถ้วย “ลองดื่มดู น้ำชาสองถ้วยนี้มีความแตกต่างกันเช่นใด?”
[1] เหล่าตังอี้จ้วง (老当益壮) หมายถึง แม้คนจะอายุมากแล้วแต่ด้านสุขภาพนั้นยังแข็งแรงเหมือนคนในวัยหนุ่มสาว
[2] ฉือเหมยซ่านหมู่ (慈眉善目) หมายถึง การเยินยอถึงความงดงาม มีเมตตากรุณา
[3] เฉิงอวี่ (成语) หมายถึง สำนวนสุภาษิตจีน ลักษณะโดดเด่นคือส่วนใหญ่จะมี 4 ตัวอักษร และใน 4 ตัวอักษรนี้จะมีที่มาจากเื่เล่าโบราณ อาจจะจริงบ้างหรือแต่งขึ้นบ้างแล้วใช้อักษร 4 ตัวมาแทนความหมายของเื่ราว แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง
[4] เป็กลอนของจีนในสมัยโบราณสอนให้เด็กท่อง ชื่อกลอนว่า หย่งเอ๋อ (ห่านว่ายน้ำ) เพื่อให้เด็กฝึกพูด
[5] ซู่จื่อ (庶子) หมายถึง บุตรชายที่ถือกำเนิดจากอนุภรรยา
[6] ตี๋ชื่อจื่อ (嫡次子) หมายถึง บุตรชายคนที่สองที่เกิดจากภรรยาเอก ในที่นี้คือถือว่าเป็การยกให้เป็ลูกของหลี่หยางซื่อ เพื่อให้หลี่ลั่วสามารถสืบทอดตำแหน่งโหวได้ ตำแหน่งขุนนาง ห้ามถ่ายทอดให้บุตรอนุภรรยา