ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเป็ชายหนุ่มคนหนึ่ง มองดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่มีความแตกต่างกับเขา สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยยิ่งนัก เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเยือกเย็นดุจต้นสนเงินที่ไม่ไหวติงก็ไม่ปาน เขาสวมอาภรณ์ชุดยาวสีเหลืองอ่อนใส ชายเสื้อคลุมของเขาปักด้วยเส้นไหมเงินเป็ลวดลายัซึ่งหากมิได้พิศดูอย่างละเอียดแล้วแทบจะมองไม่ออกถึงลวดลายนั้น ปิ่นหยกขาวที่ประดับอยู่บนเส้นผมดำขลับราวกับนิล มันสะท้อนแสงเป็ชั้นๆ สีของหยกนั้นสว่างไสวยิ่งนัก ชายหนุ่มหยิบถ้วยน้ำชาขึ้น นิ้วมือเรียวยาว ปลายเล็บได้รับการตัดแต่งเท่ากันอย่างเป็ระเบียบ เขาหลุบตาลง สูดกลิ่นหอมของน้ำชาในถ้วยชา
เป็ผู้ที่เต็มไปด้วยความมีสง่าราศี สูงส่งอย่างไร้ที่ติ
กู้จวิ้นเฉินวางถ้วยน้ำชาลง แล้วหยิบถ้วยน้ำชาอีกใบหนึ่งขึ้นมา “กลิ่นหอมของน้ำชาถ้วยที่หนึ่งนั้นเข้มข้นเล็กน้อย น้ำชาถ้วยที่สองกลิ่นจางกว่าเล็กน้อย แต่ทั้งสองถ้วยน่าจะเป็ใบชาที่ออกมาพร้อมกัน เมื่อสูดกลิ่นถ้วยที่หนึ่งแล้วจมูกก็จะคุ้นชินกับรสชาติของมัน แล้วไปสูดกลิ่นถ้วยที่สองย่อมต้องรู้สึกจืดจางกว่าอย่างชัดเจน” น้ำเสียงเรียบเรื่อย มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ช่างเป็ชายหนุ่มที่มีเสน่ห์ชวนมองยิ่ง มิว่าผู้ใดหากยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็ต้องถูกบดบังจนดูจืดชืด
แต่ในฐานะที่เป็สหายร่วมเรียน[1]ของเขา หลี่ต้านเองเคยชินเสียแล้ว
กู้จวิ้นเฉิน บุตรชายคนสุดท้อง[2]ในฮ่องเต้องค์ก่อน พระราชนัดดาแท้ๆ ในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
หกปีก่อนยงเหวินฮ่องเต้[3]ประชวรสิ้นพระชนม์ ไท่จื่อเยี่ยน[4]สืบทอดราชบัลลังก์ ทว่าองค์ชายทั้งหลายรวมตัวกันก่อฏ ไท่จื่อเยี่ยนที่ทรงเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้สิ้นพระชนม์ลงในระหว่างการก่อฏเมื่อครั้งนั้น พระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสี่ของพระองค์ เหลือเพียงพระโอรสองค์เล็กกู้จวิ้นเฉินเพียงองค์เดียว ขณะนั้นกู้จวิ้นเฉินมีอายุเพียงเจ็ดขวบ ก่อนที่ไท่จื่อเยี่ยนจะสิ้นพระชนม์ได้ยกราชบัลลังก์ให้แก่น้องชายร่วมอุทรซึ่งก็คือฉีอ๋อง แล้วจึงแต่งตั้งให้กู้จวิ้นเฉินเป็ฉีอ๋องแทน พร้อมทั้งยกจวนฉีอ๋องของจ้าวหนิงฮ่องเต้ให้เป็จวนฉีอ๋องของกู้จวิ้นเฉิน
ครั้งนั้น หลี่ซวี่นำทัพทหารมือดีจากค่ายซีเป่ยมาจำนวนห้าพันนาย ทำให้สถานการณ์ในตอนนั้นพลิกผัน จ้าวหนิงฮ่องเต้สืบทอดราชบัลลังก์ในปีที่สอง หลี่ซวี่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว
ไฉนไท่จื่อเยี่ยนจึงมิได้มอบบัลลังก์ให้แก่กู้จวิ้นเฉินน่ะหรือ? กษัตริย์ยังเยาว์ ขุนนางมีอำนาจ ยามนั้นต่อให้กู้จวิ้นเฉินที่อยู่ในวัยเพียงเจ็ดขวบทำให้การก่อฏยุติลงได้ ก็มิอาจทำให้สถานการณ์ในราชสำนักสงบและมั่นคงได้ ดังนั้นไท่จื่อเยี่ยนผู้ปราดเปรื่องจึงตัดสินใจยกบัลลังก์ให้กับจ้าวหนิงฮ่องเต้ พร้อมทั้งแต่งตั้งให้กู้จวิ้นเฉินเป็ฉีอ๋อง ในความหมายคือ ปรารถนาให้จ้าวหนิงฮ่องเต้ดูแลกู้จวิ้นเฉินแทนพระองค์
จ้าวหนิงฮ่องเต้และไท่จื่อเยี่ยนเป็พระอนุชาและพระเชษฐาที่มีความผูกพันลึกซึ้งยิ่ง แม้จะเป็พี่น้อง แต่คล้ายคลึงบิดากับบุตรเสียมากกว่า ทั้งสองพระองค์อายุห่างกันสิบปี ฮองเฮาพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์จากการประสูติจ้าวหนิงฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้ยงเหวินฮ่องเต้จึงไม่โปรดปรานพระโอรสองค์นี้เป็อย่างมาก ไท่จื่อเยี่ยนเกรงว่าพระอนุชาองค์นี้ของพระองค์จะถูกผู้คนรังแก ด้วยรักและสงสารที่พระอนุชาไร้ซึ่งมารดาั้แ่ยังเยาว์ ดังนั้นจึงรับเขามาอยู่ข้างกายเพื่อดูแลด้วยตนเอง
พี่น้องทั้งสองต่างไม่มีมารดา ต้องมาดำเนินชีวิตอยู่ในวังหลวงที่ประดุจปากัถ้ำเสือเดิมทีนั้นก็ไม่ง่ายดายอยู่แล้ว ซ้ำยังมีตำแหน่งไท่จื่อที่นำมาซึ่งอันตรายสู่ตนเอง ต่อมาเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตำแหน่งไท่จื่อของพระเชษฐา จ้าวหนิงฮ่องเต้จึงตัดสินใจไปเป็ทหารแล้วก็ได้มารู้จักกับหลี่ซวี่
“หา...นี่ท่านเดาออกหมดเลยหรือนี่” หลี่ต้านเสียความมั่นใจมาก
“นี่เ้าถูกใครหลอกลวงมาอีกแล้วหรือ?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ข้าหาใช่ถูก...”
“คุณชายรองขอรับ” บ่าวรับใช้ของหลี่ต้านเดินเข้ามา “ซื่อจื่อฮูหยินให้มาแจ้งขอรับ เสี่ยวโหวเหฺยของจวนจงหย่งโหวกำลังเข้าสู่ผังสกุล อีกสักครู่เมื่อกราบไหว้บรรพชนเสร็จแล้วจะเข้ามาที่นี่ ให้ท่านต้อนรับให้ดีขอรับ”
“เลอะเทอะ เ้าออกไปรับคนก็พอแล้ว” หลี่ต้านโบกไม้โบกมือ จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา “เด็กน้อยอายุห้าขวบต้องให้ข้ามาต้อนรับ ข้าท่องบทกวีเขาเพิ่งจะเริ่มหัดเดิน หรือจะให้ต้อนรับจนเป็เพื่อนกันใช่หรือไม่?”
มือที่ถือถ้วยน้ำชาของกู้จวิ้นเฉินชะงักลงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงดื่มน้ำชาเล็กน้อยแล้ววางถ้วยน้ำชาลง “เสี่ยวโหวเหฺยของจวนจงหย่งโหว บุตรชายของหลี่ซวี่รึ?”
“ถูกต้อง คือบุตรชายของท่านอารอง[5]”
กู้จวิ้นเฉินวางถ้วยน้ำชาลงแล้วลุกขึ้นเดินจากไป
“นี่ แค่นี้เองหรือ?” ถามเพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็ไม่พูดอันใดแล้ว? หลี่ต้านนั้นติดตามกู้จวิ้นเฉินมาแปดปีแล้ว ั้แ่กู้จวิ้นเฉินอายุห้าขวบเริ่มเรียนพื้นฐานจนถึงบัดนี้ สำหรับความคิดของเ้านายท่านนี้ เขาเองก็ไม่เข้าใจ
เรือนต้านสุ่ยมีสระบัวอยู่บ่อหนึ่ง หลี่ต้านผู้ซึ่งมีนิสัยหยาบกระด้างเช่นนี้ หากเข้าใจถึงการชมดอกบัวก็เป็เื่ประหลาดแล้ว สภาพอากาศในเดือนห้า ดอกบัวเริ่มชูช่อออกมาเป็ปลายแหลมๆ สีชมพูอ่อนๆ ไม่มาก ทว่าดูสง่างามยิ่งนัก เกิดจากโคลนตมทว่าไร้ซึ่งสิ่งแปดเปื้อน[6] สระบัวทั้งซ้ายขวามีทางเดินทั้งสองข้าง กู้จวิ้นเฉินถนัดที่จะใช้เส้นทางด้านซ้าย ด้วยเหตุที่เขาเป็คนถนัดเขียนหนังสือด้วยมือซ้าย จึงเดินสวนทางกับเด็กน้อยที่มาจากทางตรงกันข้าม...
“ท่านอ๋อง” บ่าวรับใช้เหลือบไปเห็นจึงรีบก้มเอวทำความเคารพ
[1] สหายร่วมเรียน (伴读) จีนในสมัยโบราณเป็ธรรมเนียมที่เหล่าองค์ชายองค์หญิงจะมีเพื่อนร่วมเรียน หรือสหายร่วมเรียน โดยจะต้องคัดเลือกโดยดูจากพื้นฐานครอบครัว อายุ เพศ และความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน
[2] บุตรชายคนสุดท้อง (嫡幼子) หรือ ตี๋โย่วจื่อ หมายถึง บุตรชายคนเล็กสุดที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอก
[3] ยงเหวินฮ่องเต้ (雍文帝) เป็ฮ่องเต้องค์ก่อนและเป็พระบิดาของไท่จื่อเยี่ยนและจ้าวหนิงฮ่องเต้
[4] ไท่จื่อเยี่ยน (太子宴) เป็ตำแหน่งก่อนขึ้นครองราชย์ขององค์ชายเยี่ยน “ไท่จื่อ” หมายถึง องค์รัชทายาท
[5] ท่านอารอง (二堂叔) หรือ เอ้อร์ถังซู หมายถึง คุณอาคนที่สอง น้องชายของคุณพ่อคนที่สองซึ่งใช้สกุลร่วมกัน
[6] เกิดจากโคลนตมทว่าไร้ซึ่งสิ่งแปดเปื้อน เป็สุภาษิตจีน คนจีนนิยมดอกบัว เพราะดอกบัวอยู่ในสภาพแวดล้อมของโคลนตม ทว่าเมื่อชูช่อบานออกมานั้นกลับขาวสะอาด ใช้เปรียบเปรยกับคนที่เติบโตในสิ่งแวดล้อมไม่ดี อาจจะไม่ได้ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมก็เป็ได้ ใกล้เคียงกับสุภาษิตไทยที่ว่า เกิดแต่ตม