“คุณชายฉิน”
ฉินซีใจนสะดุ้ง เขาหมุนตัวไปก่อนจะเจอกับใบหน้าดำมืดของบอดี้การ์ด
“คุณชายฉินจะออกจากโรงแรมเหรอครับ?” บอดี้การ์ดขมวดคิ้วถาม
“อืม ใช่ครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่านักข่าวจะตามติดข่าวนี้ไปจนถึงเมื่อไร แต่ผมจะปล่อยให้พวกเขามาส่งผลต่อชีวิตประจำวันไม่ได้หรอกครับ”
บอดี้การ์ดขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้น “คุณชายฉิน ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาเื่นักข่าว แต่พวกเรากังวลเื่พวกแฟนคลับที่บ้าคลั่งและพวกแอนตี้ต่างหาก พวกเขาอันตรายมากนะครับ”
“ผมรู้ครับ แต่ผมก็ไม่สามารถละทิ้งสิทธิ์การกลับบ้านของตัวเองไป เพราะกังวลถึงอันตรายที่ไม่รู้จะเข้ามาเมื่อไร แบบนี้มันไม่เหมือนกับการไม่ทานอาหารเพราะกลัวติดคอหรอกเหรอครับ?” บนใบหน้าของฉินซีประดับรอยยิ้มราวกับสบายดีออกมา
ใบหน้าดำของบอดี้การ์ดค่อยๆ ขึ้นสีเล็กน้อย คนที่เป็บอดี้การ์ดโดยส่วนมากจะพูดไม่ค่อยเก่งนัก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดเกลี้ยกล่อมฉินซีได้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงก้มหน้าจำยอมอย่างอึดอัด “ถ้าแบบนั้น ให้ผมส่งคุณชายฉินออกไปนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ!” ฉินซีเผยยิ้มออกมา เมื่อเทียบกับผู้ช่วยที่ทำตัวราวกับผู้สูงส่งแล้ว ท่าทางของบอดี้การ์ดคนนี้ทำให้คนชอบใจกว่ามาก
“อ้อ ใช่แล้ว คุณชื่ออะไรเหรอครับ?” เพราะรู้สึกประทับใจต่อบอดี้การ์ดคนนี้ เพื่อเป็การให้เกียรติ ฉินซีจึงถามชื่อของอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
“อู๋ไห่”
“อ้อ พี่อู๋” ฉินซีเรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม แม้จะเป็ชื่อที่เรียบง่าย แต่ฉินซีรู้ดีว่าบอดี้การ์ดที่สามารถอยู่ข้างกายเฉินเจวี๋ยได้ ย่อมต้องไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดาแน่
สีหน้าของอู๋ไห่ยังคงเรียบนิ่งมองไม่ออกเหมือนเคย เขาพาฉินซีเดินเข้าลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง
ความจริงแล้ว ตอนนี้นักข่าวจำนวนไม่น้อยเริ่มสนใจในตัวฉินซีน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังมีพวกปาปารัสซี่ที่หวังจะได้ข่าวใหญ่และแฟนคลับบนอินเทอร์เน็ตจำนวนมากที่ยังกระตือรือร้นไม่ลดละ ยิ่งฉินซีกับจงซิงอู๋ไม่ออกมาแถลงให้ชัดเจน พวกเขาก็ยิ่งกรุ่นโกรธ
เมื่อฉินซีและอู๋ไห่เดินออกมาจากประตูใหญ่ของโรงแรม ฉินซีก็กวาดสายตามองไปทางซ้ายและขวา เมื่อไม่พบกล้อง ไม่พบกลุ่มคน หรือคนที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ผิดปกติ ฉินซีก็คิดว่าคงจะไม่มีคนเข้ามารุมล้อมเขาอย่างที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอีก ดังนั้นฉินซีจึงเดินออกไปอย่างสบายใจ
“ผมไม่ได้ขับรถมา งั้นผมจะช่วยเรียกรถให้ก็แล้วกัน” อู๋ไห่พูดพร้อมกับเดินไปยืนที่ริมถนน แต่เมื่อเขายกแขนขึ้น เขาก็ปล่อยมันลงมาอีก อู๋ไห่รู้สึกอึดอัดขึ้นมา จึงหันมาพูดกับฉินซี “แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร สู้ให้ผมโทรบอกให้เ้านายส่งรถมาจะดีกว่าไหมครับ?”
ฉินซี “เอ๋ ไม่ต้องหรอกมั้งครับ?” ดูเหมือนว่าพอมีเื่สัญญาเมื่อวันก่อน ตอนนี้ฉินซีก็รู้สึกว่าการไปพบเฉินเจวี๋ยจะทำให้เขายิ่งอึดอัด
แต่ท่าทางของอู๋ไห่กลับยึดมั่นดึงดันขึ้นมา “พวกเราไปรอที่โถงใหญ่ของโรงแรมก่อนเถอะครับ” เขาพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเฉินเจวี๋ย แม้ฉินซีจะรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็หวังดีกับเขา ถ้าปฏิเสธไปก็จะทำให้ตัวเองดูไม่รู้บุญคุณและไม่รู้จักกาลเทศะเสียเปล่าๆ
อู๋ไห่พาฉินซีเดินกลับไปพร้อมกับโทรหาเฉินเจวี๋ย ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย อู๋ไห่เล่าสถานการณ์ในตอนนี้ออกไป หลังจากเพียงไม่กี่วินาทีอู๋ไห่ก็วางสาย และหันมาพูดกับฉินซีอย่างช่วยไม่ได้ “อีกไม่นานเ้านายจะมาถึงครับ”
ฉินซีส่งเสียง “อืม” ตอบรับ ในใจของเขาร้อนรนขึ้นอย่างน่าประหลาด
หากว่าเื่สัญญาไม่ถูกจัดการแก้ไขในวันนี้ เกรงว่าทุกครั้งที่เขาได้ยินชื่อเฉินเจวี๋ย ก็คงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด
ขณะที่ฉินซีกับอู๋ไห่กำลังจะเดินเข้าประตูใหญ่ของโรงแรม อยู่ๆ เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น ทำเอาฉินซีใสะดุ้งโหยง ก่อนจะหลบเข้าด้านข้างโดยอัตโนมัติ รอจนเขาหลบไปแล้ว ก็พบกระป๋องโคล่ากลิ้งมาอยู่ข้างเท้า ฉินซีถอนหายใจ แต่สีหน้าของอู๋ไห่กลับเปลี่ยนไปทันที เขาลากตัวฉินซีเข้าไปในโรงแรมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ะโเสียงดัง “รปภ.!”
รปภ.เองก็ถูกเสียงะโทำเอาตะใจสะดุ้ง ดังนั้นรปภ. ทั้งที่อยู่ด้านนอกและด้านในต่างก็พุ่งตัวเข้ามา
ในขณะที่ฉินซีกำลังจะถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” ก็เห็นคนสวมหน้ากากพุ่งออกมาจากด้านหลังรถที่จอดอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงแรม เหล่ารปภ. ถือกระบองไฟฟ้าเข้าไปกันไว้ อู๋ไห่จับตัวฉินซีวิ่งเข้ามาในโรงแรมโดยไม่ได้พูดอะไร
ในตอนนั้นอู๋ไห่หันไปะโบอกรปภ. “จับคนพวกนี้ไว้ให้หมด อย่าให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”
ฉินซีไม่เคยเจอคนที่บ้าคลั่งแบบนี้มาก่อน มีคนหนึ่งถือขวดน้ำแร่ไว้ในมือ แต่ภายในบรรจุของเหลวบางอย่าง เมื่อสาดโดนใบหน้าของรปภ.เข้า เขาใะโร้องออกมา กระบองถูกฟาดเข้าที่หัวของอีกฝ่าย ฉินซีเองก็ใสะดุ้ง แต่อู๋ไห่กลับค่อนข้างสงบนิ่ง เขาพูดเสียงเรียบ “ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร นั่นก็แค่น้ำ แต่ที่คนนั้นถืออยู่จะเป็อะไรก็ไม่แน่ใจแล้วล่ะ”
อู๋ไห่เพิ่งพูดจบ ฉินซีก็เห็นคนที่เขาชี้นำขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นก็เปิดฝาเทมันที่หน้าประตูโรงแรม ทุกคนต่างก็คิดว่าเป็น้ำกรด แต่เมื่อเทออกมาแล้วก็ได้กลิ่นน้ำมันเบนซินลอยออกมา เหล่ารปภ.ใจนแทบคลั่ง ไม่ว่าจะมากมายเท่าไร พวกเขาก็จับกระบองไฟฟ้าตีเข้าที่ท้ายทอยของคนพวกนั้นด้วยความว่องไว จากนั้นคนพวกนั้นก็ค่อยๆ ถูกช็อตจนสลบไปทีละคน พวกที่ไม่สลบไปเพราะไฟช็อต ก็สลบไปเพราะถูกตี
ฉินซียิ้มเจื่อนๆ หลบอยู่ด้านหลังอู๋ไห่ “ผมเกือบจะคิดว่า ผมไปทำเื่ที่น่ารังเกียจมากๆ เข้าแล้วนะ”
อู๋ไห่ส่ายหน้า “พวกเขาอาจจะไม่ได้มาเพราะคุณก็ได้”
ฉินซีนิ่งไป “อย่างนั้นเหรอครับ?”
“บางทีอาจจะเป็พวกต่อต้านสังคม...”
“อุ๊บ” ฉินซีหลุดหัวเราะออกมาน้อยๆ “ไม่ต้องปลอบใจผมหรอกครับ เื่แบบนี้เกิดขึ้นค่อนข้างน้อย พวกเขาน่าจะเพ่งเล็งมาที่ผมนี่แหละ”
สีหน้าของอู๋ไห่นิ่งแข็งไป ทางฝั่งรปภ.ได้จัดการพวก ‘ผู้ก่อการร้าย’ ที่ไร้กำลังจึงทำได้เพียงราดน้ำมันเบนซินได้แล้ว อู๋ไห่เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็ดึงผ้าสีดำที่คลุมใบหน้าของพวกเขาออกมา มีทั้งหญิงและชาย มีทั้งที่หน้าตาธรรมดา หน้าตาน่ากลัว และยังมีพวกที่หน้าตาอัปลักษณ์ด้วย… อู๋ไห่กวาดตามองตรวจสอบจำใบหน้าของพวกเขาไว้ ตอนนี้ผู้จัดการของโรงแรมได้แจ้งตำรวจไปแล้ว ไม่นานพนักงานต้อนรับและผู้จัดการต่างก็พากันเข้ามา
บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้จักฉินซี แต่อย่างไรก็ต้องรู้จักอู๋ไห่ที่มักจะอยู่ข้างกายเฉินเจวี๋ยแน่นอน ผู้จัดการโค้งตัวให้อู๋ไห่ด้วยความหวาดกลัว และมองว่าฉินซีเป็พวกคนใหญ่คนโตในทันที แม้แต่บอดี้การ์ดติดตามตัว เฉินเจวี๋ยก็ยังส่งมาเฝ้าคุ้มกัน แม้โรงแรมนี้จะใหญ่ แต่ต่อหน้าเฉินเจวี๋ยก็เป็เหมือนกับมดตัวหนึ่งเท่านั้น เฉินเจวี๋ยไม่จำเป็แม้แต่จะขยับเท้า ก็มีคนมาช่วยเหยียบย่ำแทนแล้ว แบบนั้นผู้จัดการโรงแรมจะไม่กลัวได้อย่างไร?
เพราะไม่สามารถทำลายสถานที่เกิดเหตุในตอนนี้ได้ ทำให้ต้องจัดการล้อมประตูใหญ่ของโรงแรมไปก่อน คนที่เข้าออกต่างก็ถูกภาพนี้ทำเอาสั่นสะท้าน แม้วันนี้โรงแรมจะลดการสัญจรของลูกค้าลงแล้ว ทว่าก็ยังมีลูกค้าที่ไม่พอใจกับเื่นี้และ้าคืนห้องอยู่ แต่ลูกค้าโดยส่วนมากก็รู้สึกว่าการรักษาความปลอดภัยของโรงแรมมีความใส่ใจและปฏิบัติหน้าที่ได้ดี อย่างน้อยก็สามารถกันเหล่าผู้ก่อการร้ายได้ทัน ทั้งยังจัดการได้ทันท่วงที ดังนั้นจึงเกิดความประทับใจต่อโรงแรมมากขึ้น
คนที่มาเร็วกว่าตำรวจก็คือเฉินเจวี๋ย
ใบหน้าของเขามืดมน ความสง่างามในวันวานของเขาหายไปเกือบหมด เมื่อฉินซีเคลื่อนสายตาไปก็เห็นเขา เฉินเจวี๋ยสวมชุดสูทสีดำ เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งจะออกมาจากออฟฟิศ เขารีบก้าวไวๆ มายังตรงหน้าฉินซี “เกิดอะไรขึ้น?” คนฉลาดอย่างเฉินเจวี๋ย เพียงมองก็รู้แล้วว่าเื่ที่เกิดขึ้นด้านหน้าประตูทางเข้า จะต้องเกี่ยวข้องกับฉินซี
อู๋ไห่เข้ามารายงานความเป็ไปของเื่ราวทั้งหมดอย่างเป็มืออาชีพ เขาบอกเล่าจากสิ่งที่เห็นโดยไม่ใส่อารมณ์เข้าไปเกี่ยวแม้แต่น้อย
เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่นานเสียงหวอรถตำรวจก็ดังขึ้นจากด้านนอกโรงแรม พวกตำรวจมาถึงแล้ว
โรงแรมฟู่หรงเป็โรงแรมชื่อดังของย่านนี้ เมื่อผู้จัดการโรงแรมแจ้งตำรวจไป แน่นอนว่าทางสถานีตำรวจก็ไม่อาจชักช้า รีบส่งทีมตำรวจออกมา เมื่อนายตำรวจผู้าุโนำทีมตำรวจเข้าประตูมาและเห็นเฉินเจวี๋ยเข้า เขาก็เกือบจะเข่าอ่อนไป ทำไมถึงเกี่ยวกับท่านผู้ยิ่งใหญ่นี่อีกแล้ว? ตำรวจผู้าุโคนนี้ยังจำได้ว่า ตอนที่เฉินเจวี๋ยมาที่สถานีตำรวจเมื่อครั้งก่อน แม้แต่หัวหน้าสถานีก็ยังต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
เขาไม่อาจทำให้เฉินเจวี๋ยคนนี้ไม่พอใจได้!
สติของนายตำรวจาุโตื่นขึ้นไม่น้อย เขากระจายหน้าที่แก่คนในทีมอย่างว่องไว และเริ่มตรวจสอบเหตุไม่คาดฝันครั้งนี้ ไม่นานสถานที่เกิดเหตุหน้าประตูโรงแรมก็ถูกเ้าหน้าที่เฉพาะด้านเข้ามาเก็บหลักฐาน
นายตำรวจาุโถอนหายใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปทักทายเฉินเจวี๋ย
ใครจะรู้ว่าเมื่อเฉินเจวี๋ยหันมาด้วยสายตาแหลมคมแล้ว จะเอ่ยปากตำหนิขึ้นทันที “การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะของเมืองหนิงชื่อเป็อย่างนี้เองเหรอ?”
นายตำรวจาุโฟังเช่นนั้นก็รู้สึกแย่ ใครจะไปรู้ว่าพวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้จะกระทำรุนแรงขึ้นมาเมื่อไรกัน? ที่พวกเราคอยจับขโมยและดูแลความปลอดภัยก็ไม่ใช่เื่ง่าย เื่ก่อการร้ายแบบนี้ มันไม่ได้ป้องกันได้ง่ายจริงๆ นี่นา!
แต่นายตำรวจาุโก็ยังคงพยักหน้ายอมรับ “ครับๆๆ ขออภัยด้วยครับ เป็เพราะพวกเราละเลยไป เดี๋ยวพวกเราจะนำตัวกลับสถานีตำรวจไปสอบสวนต่อไปครับ”
นับว่าเฉินเจวี๋ยสามารถทวงคืนท่าทีสง่างามของตัวเองกลับมาได้แล้ว เขากลับไปมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม จากนั้นก็พูดขึ้นมาเรียบๆ “ต้องรบกวนพวกคุณแล้วนะครับ”
“ไม่ๆ ไม่เลยครับ ไม่รบกวนเลย การดูแลความปลอดภัยของพลเมืองและความปลอดภัยของทรัพย์สินเป็หน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว” เมื่อปากของนายตำรวจาุโเปิดออก ก็เอ่ยคำพูดติดปากของตำรวจออกมา
เฉินเจวี๋ยมุ่นคิ้วแน่น ทว่าสุดท้ายก็เลือกเชื่อใจตำรวจ เขามาจากฮ่องกง การจะทำตัวยิ่งใหญ่ในย่านนี้นั่นย่อมไม่ใช่เื่ที่ควรกระทำ และเฉินเจวี๋ยก็ไม่อยากจะมีปัญหาอะไรด้วย ขอเพียงเื่นี้ถูกจัดการไปได้ก็พอ การใช้อิทธิพลกดดันคนอื่นไม่ใช่เื่ที่ดีนัก
เมื่อนายตำรวจาุโเห็นเฉินเจวี๋ยไม่ได้สนใจตัวเองอีก ก็หมุนตัวไปจัดการเื่อื่นต่ออย่างรู้งาน
จู่ๆ ฉินซีก็หันไปถามอู๋ไห่ “พี่อู๋ ตอนที่กระป๋องน้ำอัดลมกลิ้งมาอยู่ข้างเท้าของผม พี่รู้ได้ยังไงว่าต่อไปจะมีเื่ขึ้นเหรอครับ?”
อู๋ไห่ตอบกลับเสียงเรียบ “มันเป็ประสบการณ์จากการเป็บอดี้การ์ดน่ะ มีคนจำนวนมากคิดว่าต้องเปิดฉากโจมตีกะทันหัน่ที่อีกฝ่ายไม่ทันป้องกันตัว แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่เลือกจู่โจมนิ่มๆ ให้ดูแล้วไม่มีพิษภัย เมื่อไม่รู้สึกถึงอันตราย พวกเขาก็จะเริ่มการโจมตีอย่างแท้จริง ในตอนนั้นคนที่ตกหลุมพรางก็จะมีมากขึ้น”
ฉินซีพยักหน้า เขาพอจะเข้าใจที่อู๋ไห่บอกแล้ว
เฉินเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา เมื่อเห็นบรรยากาศจากทั้งสอง ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
เมื่ออู๋ไห่ถูกเ้านายของตัวเองจ้องด้วยสายตาเย็นะเื ก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว อืม… เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? บอดี้การ์ดที่มีความคิดหยาบกร้านแสดงท่าทีราวกับไม่ได้ทำอะไร
เฉินเจวี๋ยพลันยื่นมือไปดึงฉินซีไปอยู่ข้างตัว “ไปที่ห้องของฉันก่อน ฉันมีเื่จะถาม”
ฉินซีหดไหล่ลงด้วยความอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะหลบมือของเฉินเจวี๋ยอย่างเป็ธรรมชาติ คิ้วของเฉินเจวี๋ยจึงยิ่งขมวดแน่นเข้าหากันมากขึ้น แต่เขากลับไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยกันอย่างสงบสุข แผนการที่ตั้งใจจะออกจากโรงแรมของฉินซีถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว
เมื่อเทียบกับอิสระแล้ว ชีวิตก็ยังสำคัญกว่าอยู่ดี… ถ้าเื่นี้ยังไม่ถูกจัดการ เขาก็คงไม่กล้าออกไปเดินตามท้องถนนแล้ว
เสียง “ติ๊ง” ดังขึ้น ประตูลิฟต์เปิดออก พวกเขาเดินออกไปด้วยกัน ในตอนนั้นมือขวาของเฉินเจวี๋ยกดเบอร์หนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว
“ฮัลโหล จงซิงอู๋ นายพาบอดี้การ์ดสองคนนั่งรถมาโรงแรมฟู่หรงได้เลย จะมีคนรอรับอยู่ที่โถงใหญ่”