“ทำไมล่ะครับ ข้อเสนอของเรายังไม่ดีพอเหรอ?” หางตาของผู้ช่วยถูกยกโค้งขึ้นแสดงความเย้ยหยัน
ฉินซีเหยียดยิ้มมุมปาก สายตากวาดมองไปทั่วห้อง แต่กลับไม่พบสิ่งที่สามารถหยิบจับได้เลย อืม? บนโต๊ะของโรงแรมแห่งนี้ไม่มีที่เขี่ยบุหรี่ แล้วแก้วน้ำล่ะ? อ้อ วางอยู่ที่หัวเตียงนี่นา...
เมื่อเห็นว่าฉินซีไม่พูดอะไรเป็เวลาเนิ่นนาน ผู้ช่วยก็คิดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของฉินซีทะลุปรุโปร่ง เขาจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้นายหน้าบางไม่กล้าเซ็นสัญญาก็ไม่เป็ไร แต่เชื่อฉันเถอะ สุดท้ายนายก็ยังต้องย้อนกลับมาหาฉัน เพียงแต่ตอนนั้นราคาคงจะไม่สูงไปมากกว่านี้หรอก มันอาจต่ำลงไปกว่าตอนนี้อีกก็ได้...”
“หึๆ” ฉินซีเงยหน้ามองพลางเค้นเสียงหัวเราะ หยิบจับอะไรไม่ได้ก็ไม่เป็ไร สำหรับคนโง่เง่าแบบนี้ แค่เจอหมัดซัดเข้าไปก็ร้องไห้หาพ่อหาแม่ได้แล้ว
“หัวเราะอะไร?” สีหน้าของผู้ช่วยเปลี่ยนไป เขาคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะมีท่าทางแบบนี้
ฉินซีนึกภาพหนึ่งขึ้นมาในสมอง...
ผู้ช่วยขมวดคิ้วด้วยความเข้าใจนัก เขาจัดเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป เขาวางท่าเสียยิ่งกว่าเฉินเจวี๋ยเสียอีก
มุมปากของฉินซีโค้งขึ้นเหยียดยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปจับคอเสื้อด้านหลังของผู้ช่วยเอาไว้อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เพราะผู้ช่วยคนนี้ไม่ใช่คนร่างใหญ่ เมื่อฉินซีออกแรงกระชากกลับมาก็เสียหลักลื่นล้ม เขาะโลั่นด้วยความโมโห “ทำอะไรของนาย?!”
ฉินซีกดเขาลงกับพื้น กำหมัดแน่นและเริ่มต่อยไปที่ดวงตาของเขาก่อน ผู้ช่วยส่งเสียงร้องโอดครวญพร้อมทั้งพยายามดิ้นรนหนี ฉินซีต่อยคนจนมีประสบการณ์แล้ว เขาขึ้นคร่อมร่างผู้ช่วย แล้วกดร่างกว่าครึ่งของตัวเองทับอีกฝ่าย นั่นทำให้อีกฝ่ายไร้หนทางจะดิ้นรน จากนั้นเขาก็รัวหมัดชกเต็มแรงจนตาของอีกฝ่ายช้ำคล้ำจนดูคล้ายหมีแพนด้า
หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าคนด้านนอกจะได้ยินเสียงตึงตังจากด้านใน
“ไสหัวออกไป!” ฉินซีโยนเขาออกมานอกประตู
“นายมันโง่เง่า ที่เอาความคิดของตัวเองไปตัดสินคนอื่น! ฉันว่านายก็ดูบอบบางนุ่มนวลดี สู้มานอนกับฉันดีกว่าไหม ฉันอาจจะให้เงินสัก 5 เหมาก็ได้!”
ชาติก่อนเขาต้องจำยอมเพราะถูกบริษัทเทียนหม่าหยูเล่อบีบบังคับ แต่ในชาตินี้เขาจะไม่ยอมอีกต่อไป! รับเลี้ยงดูงั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้นนายทุนของเขาคงต้องกังวลเื่ความปลอดภัยของชีวิตหน่อยนะ
หึๆ ฉินซีหมุนตัวกลับไปเอาสัญญาออกมา ก่อนจะปามันใส่หน้าของผู้ช่วยดัง “เพี๊ยะ” กระดุมชุดสูทและเสื้อเชิ้ตด้านในของผู้ช่วยหลุดออกมาั้แ่แรกแล้ว ตอนนี้ใบหน้าของเขาบวมปูดดูราวกับเพิ่งถูกฉินซีรังแกข่มเหงอย่างรุนแรงไปจริงๆ เขาขบฟันด้วยความโมโห แต่ก็ไม่กล้าว่าร้ายอะไรฉินซีอีก เขาเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ และตอนที่ฉินซีต่อยตีก็ยังรุนแรงมากจนทำให้คนเกิดความจำยอมให้อย่างไม่ทันรู้ตัว
ผู้ช่วยกุมใบหน้าลุกขึ้นมา “ฉินซี ที่บริษัทของเรายินดีเซ็นสัญญากับนาย ก็ถือเป็เกียรติมากแล้ว นายก็แค่คนไร้ชื่อ จะทำถือตัวไปทำไม? คิดว่าแค่หน้าตาดีแล้วจะทำให้โด่งดังขึ้นมาได้เหรอ? บ้าน่า! หน้าตาดีก็มีประโยชน์แค่ตอนหลับนอนกับใครสักคนเพื่อไขว่คว้าโอกาสบางอย่างเท่านั้นแหละ” เขามองฉินซีด้วยสายตารังเกียจ จากนั้นก็รีบลุกเดินออกจากโรงแรม
รอจนเขาเดินไปถึงหน้าลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก บอดี้การ์ดหน้าดำคนหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านใน ผู้ช่วยส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยใบหน้าเยือกเย็น “อู๋ไห่!"
อู๋ไห่ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ท่านประธานให้ฉันมาเซ็นสัญญากับฉินซีน่ะสิ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้ช่วยก็แสดงสีหน้าขุ่นเคือง อู๋ไห่จึงอดถามเขาไม่ได้ “หน้านายไปโดนอะไรมา?”
ผู้ช่วยเหยียดยิ้ม “ก็โดนเ้าฉินซีนั่นต่อยมาน่ะสิ! เขาไม่พอใจข้อเสนอของเรา ฉันก็เลยแนะนำเขาไปนิดหน่อย แต่เขากลับอับอายจนโมโหขึ้นมาเนี่ย!”
อู๋ไห่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขามองออกว่าผู้ช่วยตั้งใจให้เขาออกตัวพูดแทน อู๋ไห่ไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนก็แล้วกัน ฉันยังต้องเฝ้าอยู่ที่นี่”
ผู้ช่วยขบฟันด้วยความโมโห เขาไม่รู้ว่าฉินซีมีดีอะไรนักหนา? แม้แต่อู๋ไห่ ท่านประธานก็ยังส่งมาเฝ้าที่นี่ ก็แค่นักแสดงที่เพิ่งเข้าวงการไม่ใช่เหรอ มีคนสนใจมากมายแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็ดาราดังจริงๆ หรือไง!
ผู้ช่วยกระฟัดกระเฟียดเดินออกจากโรงแรมไป ตอนที่เดินผ่านถังขยะหน้าประตูทางเข้า เขาก็ฉีกสัญญาในมือ ก่อนจะโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
อู๋ไห่มองตามแผ่นหลังของผู้ช่วย ก่อนจะส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ เฟ่ยเฉิงเจ๋อคนนี้นับวันมีแต่จะผยองขึ้นเรื่อยๆ
…...
แม้จะลงมือไปอย่างรุนแรง แต่ฉินซีก็ต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่า การต่อยคนอื่นทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาจริงๆ ความวุ่นวายและน่ารำคาญใจต่างๆ ล้วนปลิวไปตามสายลม เกรงว่าผู้ช่วยคนนั้นรู้สึกความคิดตอนนี้ของฉินซีละก็ เขาคงโกรธจนแทบกระอักเืเชียวล่ะ ฉินซียิ้มมุมปากน้อยๆ นั่งอยู่บนโซฟา เขาพบว่ายังมีสัญญาอีกฉบับตกอยู่ข้างเท้า ฉินซีเก็บมันขึ้นมา ขณะที่กำลังจะฉีกออก เขาก็ชะงักไปเสียอย่างนั้น
แม้เมื่อสักครู่เขาจะเลือกต่อยอีกฝ่ายจนพ่อแม่จำหน้าไม่ได้ แต่กระนั้นเขาก็ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว หากเก็บสัญญาฉบับนี้ไว้ อย่างน้อยก็สามารถนำมาใช้เป็หลักฐานได้ว่าอีกฝ่ายเป็คนยั่วโมโหเขา
ฉินซีพยักหน้า ก่อนจะเก็บสัญญานั้นเอาไว้
ฉินซีขึ้นไปนอนอยู่บนโซฟา ก่อนจะค่อยๆ สงบใจคิดเื่เมื่อสักครู่ขึ้นมาได้
เฉินเจวี๋ยจะให้คนอื่นนำสัญญาแบบนี้มาให้เขาจริงเหรอ? นี่ฟังดูไม่เหมือนนิสัยของเฉินเจวี๋ยสักเท่าไร แม้เฉินเจวี๋ยจะถูกใจใบหน้าของเขาจริง ก็ไม่น่าจะใช้วิธีข่มขู่แบบนี้ ถ้าเฉินเจวี๋ยมีจุดประสงค์จะเลี้ยงดูเขามาั้แ่แรก ตอนที่ชวนให้เขามาเซ็นสัญญากับบริษัทก็น่าจะพูดถึงข้อเสนอนี้ออกมาแล้ว...
ฉินซีรู้สึกสับสน แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น? เมื่อนึกกลับไปถึงตอนที่เฉินเจวี๋ยโทรเข้ามา ฉินซีก็มั่นใจว่าเขาจะส่งคนมาเซ็นสัญญากับตัวเองแน่นอน ทั้งผู้ช่วยคนนี้ก็เป็คนที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับเขา น่าจะมีสิทธิ์ทำอะไรแทนเขาถึงจะถูก
ฉินซีรู้สึกร้อนใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาสะบัดหัวพยายามไล่ความคิดของตัวเองที่ตีกันอยู่ในสมอง ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็ในทางความรู้สึกหรือเหตุผล เขาก็ยังคงเชื่อใจเฉินเจวี๋ยอยู่ดี… แต่ว่าในใจของฉินซีก็อดจะเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาไม่ได้ เขากับเฉินเจวี๋ยเพิ่งรู้จักกันไม่นานนัก แล้วทำไมตัวเองถึงเชื่อใจเฉินเจวี๋ยมากขนาดนั้น? ไม่แน่ว่า เฉินเจวี๋ยกับจี่อวี้เซวียนอาจเป็คนประเภทเดียวกันก็ได้? ถึงอย่างไรวันที่เขาบุกเข้าไปในห้องส่วนตัวด้วยความเข้าใจผิดก็เห็นเฉินเจวี๋ยนั่งร่วมโต๊ะอยู่กับจี่อวี้เซวียน
ฉินซียิ่งคิด ความคิดของเขาก็ยิ่งล่องลอยไปไกล ถึงขนาดนึกไปถึงเมื่อชาติก่อน สุดท้ายในหัวของเขาก็มีแต่ความสับสน และนึกสรุปผลอะไรไม่ออก ฉินซีจึงทำได้เพียงปล่อยวาง สุดท้ายก่อนจะหลับใหลอยู่บนโซฟา ในหัวของฉินซีก็เหลือเพียงความคิดเดียว ถ้าสมมุติว่าเฉินเจวี๋ยสั่งให้บอดี้การ์ดของตัวเองโยนเขาออกไปจากโรงแรม แล้วตัวเขาจะฝ่ากลุ่มนักข่าวออกไปอย่างไร? จะถูกแฟนคลับปาขวดน้ำใส่อีกหรือเปล่า? อ่า... หรือบางทีเขาควรจะกล้าหาญเสียหน่อย จากนั้นก็ออกจากที่นี่กลับไปยังหอพักอย่างสบายๆ ด้วยตัวเอง
น้ำใจที่คนอื่นมอบให้ เมื่อถูกนำกลับคืนไป เขาก็จบสิ้น เขาไม่ควรจะเอาความปลอดภัยของตัวเองไปไว้ในมือของคนอื่น
……
…...
“เขามีความสัมพันธ์ยังไงกับนาย? บอกฉันมาตามความจริง ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนนายเคยบอกกับฉันว่าชอบคนแบบไหน แล้วนี่ไม่ใช่ว่าเป็แบบเขาพอดีเลยหรือไง?” จงซิงอู๋นั่งอยู่ที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ร่างกายของหญิงสาววัย 30 ปีต้นๆ โน้มเข้ามาด้านหน้าเล็กน้อย คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันขณะถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จงซิงอู๋เช็ดแว่นกันแดดในมือพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ “ฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเขาจริงๆ ฉันแค่ไปส่งเขากลับบ้านแทนคนอื่นเท่านั้น”
“แทนใคร?” หญิงสาวถามต่อ ราวกับต้องถามให้ชัดเจนเท่านั้นเธอถึงจะวางใจ
จงซิงอู๋เลิกคิ้วขึ้น “อันนี้… ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
สีหน้าที่เพิ่งจะผ่อนคลายลงเมื่อสักครู่ของหญิงสาวกลับเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง “มีอะไรบอกกันไม่ได้? นอกเสียจากว่านายกำลังหลอกฉัน หรือแอบติดต่อคนคนนี้อยู่ลับๆ!” หญิงสาวตบลงไปที่โต๊ะด้วยความรู้สึกที่ทะลักล้น
“อันน่า เธอคิดมากเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไง? ถ้าฉันมีคนที่ชอบจริงๆ หรือเบี่ยงเบนทางเพศไป ฉันต้องบอกเธอแน่ๆ” จงซิงอู๋วางชาร้อนแก้วหนึ่งลงตรงหน้าหญิงสาวเพื่อพยายามปลอบให้เธอสงบลง
อันน่ากระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “ฉันก็ร้อนใจเพราะนายนั่นแหละ! ถ้าเกิดว่าเป็คนที่นายชอบจริง จะประกาศออกไปก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ยังไงตอนนี้พวกเราก็เป็เทพเ้าดาราดังแล้ว จะชอบใครสักคนก็ไม่ใช่เื่ที่คนอื่นจะมาควบคุมได้ ฉันก็แค่กังวลเื่นายเท่านั้น… นายคงไม่ได้หลงใหลในความงามของเขา เลยอดจะไปเล่นกับเขาไม่ได้หรอกนะ...”
เมื่อเห็นว่าอันน่าคิดจินตนาการออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จงซิงอู๋ก็ทนต่อไปไม่ไหวจึงปาก “เธอรู้ว่าตอนที่ฉันออกไปถ่ายละครนอกสถานที่ มีคนใหญ่คนโตคนหนึ่งมาเยี่ยมชมงานที่กองถ่ายใช่ไหม?”
อันน่าพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก “รู้สิ แต่มันเกี่ยวอะไร...” พอพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็อ้าปากค้างอยู่นาน
“…หรือ หรือจะเป็… คุณคนนั้น?” อันน่าถามเสียงเครียด
“ใช่” จงซิงอู๋พยักหน้า “แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้ยอมรับ แต่ฉันคิดว่าเป็ความสัมพันธ์แบบนี้แหละ เขาดีกับฉินซีมากเกินไป”
อันน่าถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ไม่เกี่ยวกับนายก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้นายก็อยู่ห่างออกจากเขาสักหน่อยนะ คุณคนนั้นจะได้ไม่หึงเอา”
เธอเพิ่งจะพูดจบ โทรศัพท์มือถือของจงซิงอู๋ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบมันขึ้นมาดู สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากดรับสาย “สวัสดีครับ คุณเฉิน”
อันน่ามองสีหน้าของจงซิงอู๋
จงซิงอู๋ได้ยินเสียงของเฉินเจวี๋ยดังออกมาจากปลายสาย มันเยือกเย็นทว่ากลับไพเราะ และคำพูดที่เขาพูดออกมาก็ทำให้หยาดเหงื่อของจงซิงอู๋หลั่งไหลออกมาด้วยความกลัว
“ทำไมวันนั้นนายกับฉินซีถึงถูกแอบถ่ายได้?”
จงซิงอู๋รีบอธิบาย “ตอนนั้นไม่ทันสังเกตน่ะครับ เป็เพราะผมประมาทไปเอง ที่ฉินซีไม่รู้ตัวเป็เื่ปกติ แต่ผมกลับไม่ทันรู้”
เฉินเจวี๋ยนิ่งเงียบไปเล็กน้อย “จัดการประกาศออกไปหรือยัง?”
“ถ้าคุณยังไม่ได้บอกอะไร ทางผมก็ไม่กล้าทำอะไรตามใจครับ” จงซิงอู๋รีบแสดงความบริสุทธิ์ใจ เขาไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าประกาศกับสาธารณะออกไป ถ้าไปสร้างความเกลียดชังให้ฉินซีอย่างไม่ทันระวัง นั่นคงเป็เื่ผิดมหันต์...
“นายแค่ออกมาพูดให้ฉินซีก็พอ เื่อื่นนายไม่จำเป็ต้องใส่ใจ”
“แล้ว… แล้วฝั่งเหลียนเหล่ยล่ะครับ ้าให้ผมจัดการไหม?” จงซิงอู๋พูดเพียงครึ่งเดียว แต่อีกฝ่ายก็เข้าใจแล้ว
“เหลียนเหล่ยนั่น... นายจัดการเถอะ” เฉินเจวี๋ยมีนิสัยตรงไปตรงมา ขอเพียงมั่นใจว่าจงซิงอู๋ไม่ได้จะเข้าใกล้ฉินซี สำหรับเขาแล้ว แค่นั้นก็เพียงพอ
หลังจากวางสายไป จงซิงอู๋ก็เพิ่งพบว่า ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เขาทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ “ฉันบอกแล้ว… คุณเฉินจะต้องชอบฉินซีแน่” ไม่อย่างนั้นเขาจะทำเสียงแข็งขนาดนั้นทำไมกัน?