“ข้างกายของเทพเ้าจงมีหนุ่มหน้าสวยลึกลับปรากฏตัวขึ้น เขาเป็ใครกันแน่? นักข่าวของเราได้ขุดค้นออกมาแล้ว ที่แท้เขาชื่อฉินซี นักแสดงที่รับบทบาทเป็ตงฟางปู๋ป้ายในเื่กระบี่เย้ยยุทธจักรที่เคยถูกกล่าวขานกันอย่างร้อนแรงในอินเทอร์เน็ต ฉันเองก็เคยลุ่มหลงภาพฟิตติ้งของเขามาก่อน เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่า เด็กหน้าใหม่ในวงการบันเทิงที่มีใบหน้าโดดเด่นคนนี้ เื้ัจะมีความสัมพันธ์ล้ำลึกกับเทพเ้าจง ทุกคนต่างให้ความสนใจว่าเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับเทพเ้าจงกันแน่...” พิธีกรสาวสวยพูดใส่ไมโครโฟนในมือ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวาน ทว่าทุกคำพูดที่ออกจากปาก ก็ล้วนมีแต่เนื้อหาที่น่ารังเกียจ
ฉินซีที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ขมวดคิ้วเป็ปม ยิ่งดูต่อไป ในใจก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยง จึงปิดโทรทัศน์ไป
ตอนนี้สื่อต่างๆ ไม่ได้สนใจว่าข้อมูลที่ตัวเองนำเสนอจะเป็ความจริงหรือไม่ การใช้ด้ามปากกาและอ้าปากพ่นเื่น่ารังเกียจถือเป็เื่ถนัดของพวกเขาเลยก็ว่าได้ ถึงจะรู้อย่างนั้นแล้ว ทว่านักอ่านกับผู้ชมก็ยังหลงเชื่อในข่าวเ่าั้ ผู้คนที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ต่างใส่อารมณ์พิมพ์คอมเมนต์รุนแรงต่างๆ อย่างไรก็ได้ ฉินซีทั้งเ็ปและเกลียดชังสถานการณ์แบบนี้เป็ที่สุด แต่ในชาติก่อน เพราะไม่เคยโดดเด่นแบบนี้ จึงไม่เคยผ่านความลำบากเช่นนี้ ถือว่าในชาตินี้เขาก็โชคดีได้ััสักครั้งแล้ว
ตอนนี้นี่ดีจริงๆ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าเวยป๋อแล้ว อีกทั้งในหัวยังมีเสียงระบบย้ำเตือนขึ้นเป็ระยะ จำนวนแฟนคลับของคุณกำลังลดลง กรุณารีบเพิ่มระดับความโด่งดัง จำนวนแฟนคลับของคุณกำลังลดลง...”
ฉินซีหนวกหูจนแทบจะเป็บ้า
เขาพักอยู่ที่โรงแรมหลายวันแล้ว ทุกคนต่างก็ไม่ได้เข้ามารบกวนเขาอย่างรู้งาน แต่ฉินซีเองก็ไม่สามารถออกไปไหนตามใจชอบได้ ส่วนเฉินเจวี๋ย หลังจากพาเขามาที่โรงแรมแล้ว อีกฝ่ายก็รีบร้อนออกไปเนื่องจากมีเื่ต้องไปจัดการ สถานการณ์ของฉินซีก้าวเข้าสู่ทางตัน เขาคิดว่า หลังจากกลับมาเกิดใหม่แล้ว จะต้องไม่มีเื่ไหนย่ำแย่ไปมากกว่านี้แล้วแน่...
…...
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า พูดถึงผี ผีก็มา
ฉินซีง่วงนอนมาก จึงเผลอหลับไปด้วยความง่วง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาอย่างร้อนรน
“ฉินซี! ทำไมเพิ่งจะรับโทรศัพท์?” ปลายสายเป็เสียงของเจี่ยงถิงเฟิง มันแฝงไปด้วยความห่วงใยและความร้อนรน ฉินซีคิดไม่ถึงว่าคนที่เป็ห่วงเขาขึ้นมาเป็คนแรกจะเป็เจี่ยงถิงเฟิง
“ขอโทษครับ เมื่อกี้ผมเหนื่อยเกินไปก็เลยนอนหลับไปสักพัก”
น้ำเสียงของเจี่ยงถิงเฟิงร้อนรนมากกว่าเดิม เขาพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ทำไมนายถึงยังหลับลงอีก? นายรู้จักรายการ [ไร้ระยะห่าง] ไหม?”
แน่นอนว่าฉินซีต้องรู้จัก ‘ไร้ระยะห่าง’ เป็รายการพูดคุยเื่ดาราศิลปินที่ได้รับความนิยมและมียอดเรตติ้งสูงมากรายการหนึ่ง
“นายเปิดดูเองเถอะ! ในอินเทอร์เน็ตมีวิดีโออยู่ ของสัปดาห์นี้นะ! รีบดูเร็วเข้า!” เจี่ยงถิงเฟิงพูดเร่งเขา
ฉินซีไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยังเปิดคอมพิวเตอร์ในโรงแรมขึ้นมา จากนั้นก็เข้าไปยังเว็บไซต์วิดีโอเว็บหนึ่ง และค้นหาวิดีโอรายการไร้ระยะห่างของสัปดาห์นี้ เขาคลิกเข้าไปดู ไม่นานพิธีกรสาวก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วตามมาด้วยแขกรับเชิญของวันนี้ รอจนได้เห็นหญิงสาวในชุดเดรสสีแดง แต่งหน้าอย่างละเอียดอ่อนงดงาม รูปลักษณ์น่าหลงใหลเดินออกมา ฉินซีก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นได้
“ยินดีต้อนรับแขกรับเชิญของเราในวันนี้ คุณเหลียนเหล่ย...” พิธีกรสาวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ฉินซีดูต่อด้วยความอดทน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เห็นพิธีกรสาวถามเหลียนเหล่ยขึ้น “กระบี่เย้ยยุทธจักรฉบับใหม่ปิดกล้องกันไปเรียบร้อยแล้วนะคะ ก่อนที่จะเปิดกล้อง ฉันได้ยินว่าในอินเทอร์เน็ตเล่าลือกันอย่างบ้าคลั่งว่า คุณเหลียนจะรับบทเป็ตงฟางปู๋ป้าย ขออนุญาตถามนะคะ ผู้กำกับได้เชิญคุณเหลียนไปจริงๆ หรือเปล่าคะ? แล้วทำไมสุดท้ายผู้รับบทถึงเปลี่ยนตัวนักแสดงไปล่ะคะ? ฉันจำได้ว่าคนที่รับบทเป็ตงฟางปู๋ป้ายดูเหมือนจะเป็คนหน้าใหม่ที่กำลังเป็ข่าวกับเทพเ้าจงใน่นี้ด้วย”
เหลียนเหล่ยเผยรอยยิ้ม สีหน้าขาวซีดนั้นแฝงความผิดหวังอยู่เล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ผู้กำกับได้เชิญฉันไปรับบทตงฟางปู๋ป้ายจริงค่ะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากที่ฉันไปถึงสถานที่ออดิชั่น จู่ๆ ผู้กำกับก็บอกว่าฉันไม่ต้องออดิชั่นแล้ว”
เหลียนเหล่ยไม่ได้ว่ากล่าวฉินซีกับสวี่เทาออกมาตรงๆ แต่วิธีการของเธอล้ำลึกลงไปมากกว่านั้น เธอเลือกใช้วิธีการโจมตีแบบอ้อมๆ ทุกคำพูดเต็มไปด้วยการชักนำให้ทุกคนคิดลึกลงไปราวกับปริศนาหนึ่ง และสุดท้ายก็ได้รู้คำตอบ… อ้อ! ที่แท้ฉินซีก็ได้เข้าไปในกองถ่ายเพราะมีจงซิงอู๋อยู่เื้ั เขาแลกร่างกายเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นไป และทั้งที่สวี่เทาซึ่งเป็ผู้กำกับยอมให้เขาเข้ากองถ่ายไปแล้ว แต่ก็ยังจะมาหลอกเหลียนเหล่ยอีก? นี่มันเกินไปแล้ว!
เมื่อฉินซีได้เห็นภาพนี้ เขาก็คาดเดาขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล แฟนคลับของเหลียนเหล่ยน่าจะโมโหเสียยิ่งกว่าแฟนคลับของจงซิงอู๋เสียอีก อย่างไรกับแฟนคลับของจงซิงอู๋ เขาก็เพียงแย่งเทพบุตรในใจของพวกเขาไป แต่สำหรับแฟนคลับของเหลียนเหล่ยแล้ว เขา ‘แย่ง’ บทบาทของเทพธิดาไป ทั้งยังร่วมมือกับผู้กำกับทำให้เทพธิดาของพวกเขา ‘อับอาย’ อีก นั่นแสดงให้เห็นแล้วเขานั้นทั้งต่ำต้อยและน่ารังเกียจแค่ไหน หากว่าแฟนคลับของจงซิงอู๋และเหลียนเหล่ยลุกฮือ มันก็เหมือนกองทัพใหญ่ 2 กองเข้าล้อมฉินซีและเหล่าแฟนคลับจำนวนน้อยนิดของเขาแล้ว
แม้จะเกลียดชังเหลียนเหล่ยมากแค่ไหน ฉินซีก็ต้องยอมรับว่าครั้งนี้เหลียนเหล่ยทำได้แสบมากจริงๆ!
“ฮัลโหลๆ! นายยังอยู่ไหม?” ฉินซียังคงถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ เสียงของเจี่ยงถิงเฟิงดังมาจากปลายสาย และนั่นสามารถทำให้คนจินตนาการภาพเขาที่กำลังร้อนใจจนเกือบจะะโโลดเต้นขึ้นมาได้
“ยังอยู่ครับ”
“ฉินซี นายตั้งใจจะทำยังไงต่อ?” เจี่ยงถิงเฟิงคาดไม่ถึงว่าน้ำเสียงของฉินซีจะเรียบสงบขนาดนี้ เสียงจากคนปลายสายทำให้ความร้อนรนของเขาลดลงอย่างไม่รู้ตัว
“ยังไม่รู้เลยครับ”
“ไม่รู้?!” เจี่ยงถิงเฟิงพูดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “นายกำลังล้อฉันเล่นหรือเปล่า? คนเขารังแกนายขนาดนี้ นายยังไม่รู้จะทำยังไงอีกเหรอ?”
แต่พูดกันตามความจริงแล้ว ฉินซีก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรขนาดนั้น เื่นี้หากอยากจะจัดการก็แสนจะง่ายดาย ขอเพียงสวี่เทาออกมาแถลงไข โน้มนำความเห็นสาธารณะ หลังจากนั้นก็ให้เหล่าสมาชิกทั้งน้อยใหญ่ในกองถ่ายออกมาปกป้องสักเล็กน้อย เพียงเท่านี้เหล่าแฟนคลับที่เข้ามาด่าฉินซีอย่างบ้าคลั่งก็ย่อมต้องยอมถอย และจะต้องมีคนที่ผ่านไปมาเข้ามาช่วยพูดให้ฉินซีและกองถ่ายแน่ แต่ก็ต้องดูว่าคนในกองถ่ายจะยอมมีเื่กับดาราสาวผู้โด่งดังเพื่อเขาหรือเปล่าเท่านั้น
ฉินซีรู้ดีว่าไม่สามารถอาศัยกำลังของเขาคนเดียวไปจัดการได้ ขอเพียงเขาอ้าปากพูดอะไรออกไป เกรงว่าจะมีแต่คนบอกว่าเขา ‘รู้สึกผิด’ ‘กลบเกลื่อน’ ‘ไม่มีใครว่าอะไรแต่ก็ยังร้อนตัว แสดงว่าทำเื่ไม่ดีเอาไว้จริง’ อย่างแน่นอน
เจี่ยงถิงเฟิงรู้สึกไร้กำลังขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าทั้งที่เขาร้อนใจขนาดนี้ ทว่าเ้าตัวกลับไม่ได้รีบร้อนอะไร เจี่ยงถิงเฟิงกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก จากนั้นเขาพลันคาดเดาเื่ที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมาได้ จึงถามฉินซีอย่างอดไม่ได้ “หรือว่าอาจารย์จะ… จะออกหน้าช่วยนาย?”
“หืม?” ฉินซีตอบสนองกลับมาได้ทันทีว่าอาจารย์ที่เขาพูดถึงคือจงซิงอู๋ ฉินซีไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร “พี่พูดอะไรบ้าๆ น่ะ? เทพเ้าจงอยู่ของเขาดีๆ แล้วจะมาออกหน้าช่วยผมทำไม?”
เจี่ยงถิงเฟิงรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นระรัว แต่ก็ยังถามข้อสงสัยในใจออกไป “นายกับเขา… มีความสัมพันธ์กันยังไงเหรอ?”
“คนแปลกหน้าครับ” ฉินซีหลุดปากพูด รอจนเมื่อพูดออกไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกนัก จึงพูดแก้ขึ้น “ไม่สิ ถือว่าก็พอรู้จักกันบ้างน่ะครับ เพียงเท่านี้แหละ”
“แล้วทำไมเขาถึงต้องขับรถไปส่งนายในเวลาแบบนั้นด้วย? ฉันไม่เชื่อ ถ้านายกับเขาแค่รู้จักกันนิดหน่อย เทพเ้าผู้สูงส่งอย่างเขาจะใส่ใจขนาดนี้เลยเหรอ!” เจี่ยงถิงเฟิงพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ความรู้สึกของเขาแทบจะทะลัก
ฉินซีไม่เข้าใจอาการตื่นเต้นของเจี่ยงถิงเฟิง และก็ไม่สามารถอธิบายเื่เฉินเจวี๋ยออกมาอย่างชัดเจนได้ จึงพูดออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก “ขอโทษนะครับ แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเทพเ้าจงคิดอะไรอยู่”
เจี่ยงถิงเฟิงผิดหวังเล็กน้อย เขามองว่าฉินซีตั้งใจพูดกลบเกลื่อน จึงลดเสียงลงพูด “ฉันเข้าใจแล้ว นาย… ก็ระวังตัวด้วย”
เจี่ยงถิงเฟิงพูดพร้อมกับวางสาย
ฉินซีรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรเจี่ยงถิงเฟิงก็โทรเข้ามาด้วยความเป็ห่วง แต่เขากลับทำให้เจี่ยงถิงเฟิงโกรธเข้าจนได้ เจี่ยงถิงเฟิงจะรู้สึกว่าเขาเป็คนอกตัญญู สนใจเขาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรือเปล่านะ? ฉินซีถอนหายใจ หรือว่าเขาควรโทรกลับไปขอบคุณเจี่ยงถิงเฟิงเสียหน่อยดี?
ในระหว่างที่ฉินซีกำลังไตร่ตรอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฉินซีปิดเว็บไซต์วิดีโอทิ้งไป ก่อนจะก็กดรับสาย “สวัสดีครับ คุณเฉิน” ในที่สุดเฉินเจวี๋ยก็มีเวลาโทรหาเขาสักที ทว่าฉินซียังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะออกไปได้เมื่อไร
“นายรออยู่ที่ห้องนะ ฉันจะให้ผู้ช่วยเข้าไปหา”
“เข้ามาหาผมทำไมเหรอครับ?”
“คุยเื่สัญญา”
“คุยเื่สัญญาอะไรเหรอครับ?” ฉินซีนิ่งไป เฉินเจวี๋ยยังจะเซ็นสัญญากับเขาอีกเหรอ?
“ตอนนี้ถ้านายไม่เลือกร่วมงานกับบริษัทของฉัน แล้วนายจะดิ้นรนขึ้นจากบ่อโคลนเน่าในครั้งนี้ได้ยังไง?” น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยไม่ได้แฝงไปด้วยความโกรธ เขาเพียงอธิบายสถานการณ์ของฉินซีออกมาอย่างราบเรียบ เพื่อย้ำเตือนฉินซีว่านี่คือตัวเลือกดีที่สุดของเขา
ฉินซีเงียบไปหลายวินาที “ครับ”
ชาตินี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทเทียนหม่าหยูเล่ออีกต่อไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะเซ็นสัญญากับบริษัทของเฉินเจวี๋ยไปก็ไม่เสียหายอะไร แม้ว่าตอนนี้เฉินเจวี๋ยจะเพิ่งรับซื้อบริษัทของคนอื่นมา ระบบภายในยังไม่มั่นคงดี แต่ในอนาคตบริษัทนี้จะต้องเจิดจรัสมากแน่ๆ! ถึงตอนนั้นเขาก็จะถือเป็พนักงานที่อุทิศตนเพื่อบริษัทคนหนึ่งแล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้จำเป็จะต้องเข้าไปยังบริษัทที่เทพบุตรคนนั้นอยู่ด้วย ขอเพียงหลังจากนี้เขาโด่งดังขึ้นมา ก็สามารถย่นระยะห่างเข้าไปััเทพบุตรได้อยู่แล้ว จะมีอะไรที่ต้องกังวลอีกเล่า? เมื่อฉินซีคิดเื่นี้ขึ้นมาได้ ก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองโง่เง่าเกินไปแล้ว ถึงได้ไม่ยอมเซ็นสัญญากับเฉินเจวี๋ยไปั้แ่แรก
“อืม” เฉินเจวี๋ยวางสายไป
ฉินซีจึงรอผู้ช่วยของเฉินเจวี๋ยอยู่ที่โรงแรมอย่างว่าง่าย
ผู้ช่วยของเฉินเจวี๋ยเป็นักศึกษาจบจากต่างประเทศคนหนึ่ง เขามีทักษะที่ดีและรู้จักวางแผนอย่างเก่งกาจ รอบคอบ ความสามารถในการจัดการเื่ต่างๆ ก็ชัดเจน เรียกได้ว่าเป็มือซ้ายขวาของเฉินเจวี๋ย
ตอนที่ฉินซีได้พบกับผู้ช่วยก็เป็เวลาหลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง ผู้ช่วยสวมชุดสูทสีดำ มองดูแล้วเหมือนประธานบริษัทมากกว่าเฉินเจวี๋ยเสียอีก ผู้ช่วยนั่งลงตรงหน้าฉินซีอย่างเงียบขรึม แล้วนำสัญญาฉบับหนึ่งวางลงตรงหน้าเขา “รบกวนคุณฉินตรวจดูสัญญาให้ดีด้วยครับ หากไม่มีปัญหาอะไร พวกเราก็สามารถเซ็นชื่อประทับตราได้เลย หลังจากนั้นคุณก็จะถือเป็พนักงานคนหนึ่งของบริษัทเราแล้ว”
แม้เขาจะสนิทสนมกับเฉินเจวี๋ยแล้ว ทว่าก็ยังต้องดูสัญญาให้ละเอียด ฉินซีเปิดสัญญาออกดู แต่ว่าไม่นานสีหน้าก็เขาก็กลายเป็ย่ำแย่
“นี่คือสัญญาที่ประธานของพวกคุณให้ผมเซ็นเหรอครับ?” ใบหน้าของฉินซีราวกับถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำแข็ง ท่าทางของเขาดูหวาดกลัวอีกฝ่าย แต่สีหน้าของผู้ช่วยกลับไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาเบิกตามองช้าๆ แล้วถามฉินซีกลับไป และฉินซีก็รับรู้ได้ถึงความเย้ยหยันในคำพูดของเขา “จะไม่เซ็นสัญญาเลี้ยงดูเหรอครับ? คุณยังคิดจะเซ็นสัญญาศิลปินอย่างเป็ทางการอยู่อีกเหรอ? นั่นเอาไว้ให้เทพเ้าอย่างจงซิงอู๋เซ็นต่างหากล่ะ ไม่ใช่สำหรับคุณ”
ตอนนี้ความหงุดหงิดใจและความโมโหต่างล้วนพุ่งขึ้นไปถึงสมอง ฉินซีรู้สึกราวกับย้อนกลับไปในวันแรกที่เพิ่งกลับมาเกิดใหม่ ตอนที่ผู้ดูแลของเทียนหม่าหยูเล่อหรี่ตามองเขา แล้วพูดโม้เกลี้ยกล่อมเขาว่าจะต้องทำตามกฎที่ใครก็รู้กันถึงจะโด่งดังขึ้นมาได้ ตอนนั้นเขาทำอย่างไรลงไปนะ?
ปาที่เขี่ยบุหรี่ออกไปยังไงเล่า!