ตอนที่จงซิงอู๋ได้รับโทรศัพท์เขายังมึนงงอยู่เล็กน้อย แต่เฉินเจวี๋ยเป็คนโทรมาด้วยตัวเอง เขาจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เขารีบหยุดการถ่ายโฆษณาที่กำลังทำ และไปขอผู้กำกับออกมาก่อน จากนั้นก็พาผู้จัดการและบอดี้การ์ดสองคนขับรถไปยังโรงแรมฟู่หรง
หลังจากมาถึงประตูทางเข้าโรงแรมแล้ว จงซิงอู๋ก็ยังได้เห็นผู้คนล้อมอยู่หน้าประตูมากมายจาก้ารถ เหมือนว่าจะมีคนสวมชุดตำรวจอยู่ด้วย หัวใจของจงซิงอู๋เต้นระรัวขึ้นมา เขาแลบลิ้นเลียปากอย่างไม่รู้ตัว แล้วพูดพึมพำกับอันน่า “อันน่า อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลย...”
อันน่าร้อนใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก เธอเป็ผู้จัดการให้จงซิงอู๋มานานหลายปี ไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับอะไร เธอก็ผ่านมันมากับเขาตลอด ตอนนี้เธอได้เติบโตจากสาวน้อยในตอนนั้นแล้ว แต่ความห่วงใยที่มีต่อจงซิงอู๋ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สัญชาตญาณของเธอแม่นยำมาก และตอนนี้สัญชาตญาณได้บอกกับเธอว่า บางทีเด็กชายที่ชื่อฉินซีอาจถูกโจมตีเข้าที่นี่ และไม่แน่ว่าคนที่ก่อเื่อาจจะเป็แฟนคลับที่บ้าคลั่งของจงซิงอู๋ก็ได้ เธอหวังเป็อย่างยิ่งว่า คนใหญ่คนโตคนนั้นจะไม่เอาความโกรธมาลงที่จงซิงอู๋
ตัวรถจอดนิ่งอยู่หน้าทางเข้าโรงแรม มีตำรวจเข้ามาขวางพวกเขาไว้ “ขอโทษนะครับ แต่ตอนนี้ที่นี่กำลังตรวจสอบคดีกันอยู่ รบกวนไม่เข้ามาใกล้สถานที่เกิดเหตุนะครับ”
จงซิงอู๋เปิดประตูรถลงไป “คุณเฉินเรียกให้ผมมาพบน่ะครับ”
นายตำรวจเข้าใจขึ้นมาทันที จึงรีบเปิดทางให้ “ถ้าอย่างนั้นเชิญพวกคุณเข้าไปเลยครับ” จงซิงอู๋มีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนั้น เมื่อนายตำรวจเห็นใบหน้าของเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหลอกตัวเองแน่ จึงปล่อยให้พวกจงซิงอู๋เข้าไปอย่างราบรื่น
“วางใจเถอะ อันน่า คุณเฉินไม่มีทางเอาความโกรธมาลงที่ฉันหรอก” จงซิงอู๋รู้ประโยชน์ที่ตัวเองมีต่อเฉินเจวี๋ยดี อีกไม่นานเขาก็จะยกเลิกสัญญามาเข้าร่วมทีมของเฉินเจวี๋ยแล้ว แม้เฉินเจวี๋ยจะไม่พอใจเขา แต่อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางทำลายอนาคตของตัวเองเพียงเพราะเื่นี้แน่ อย่างไรต้นเงินต้นทองก็มีประโยชน์กว่าจงซิงอู๋ที่สูญเสียความเป็เทพเ้าไปมากนัก เฉินเจวี๋ยเป็นักธุรกิจ ทั้งยังมีนิสัยใจคอไม่เลว ดังนั้นเฉินเจวี๋ยก็ไม่น่าจะใส่อารมณ์อะไรกับเขามากนัก
จงซิงอู๋สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะพาอันน่ากับบอดี้การ์ดเข้าไปยังหน้าประตูห้องเฉินเจวี๋ย
แน่นอนว่าบอดี้การ์ดถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอก จงซิงอู๋เคาะประตู ก่อนที่ฉินซีจะเป็คนเดินมาเปิดประตูให้
ตอนที่ฉินซีเห็นจงซิงอู๋ ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความตกตะลึง เมื่อสักครู่ตอนที่เฉินเจวี๋ยโทรศัพท์ไป เขาก็อยู่ข้างๆ แน่นอนว่าเขาได้ยินแล้วว่าจงซิงอู๋จะมา ฉินซีเผยยิ้มขึ้น “อาจารย์จง เชิญเข้ามาเลยครับ”
เมื่อจงซิงอู๋เดินเข้าไป ในตอนนั้นเขาเพิ่งจะได้รู้ว่า แม้จะเตรียมใจมามากเท่าไร แต่เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าเฉินเจวี๋ย ก็ยังอดแข้งขาอ่อนไม่ได้ คนที่ดูน่าเกรงขามตลอดเวลาแม้จะไม่ได้โกรธเคืองอะไรอย่างเฉินเจวี๋ย ไม่ใช่คนที่ดาราที่เพิ่งฉายแสงขึ้นมาในภายหลังอย่างเขาจะเทียบได้
“นั่งลง” เฉินเจวี๋ยยกอาหารและเครื่องดื่มออกมา เขาวางอาหารและเครื่องดื่มเ่าั้ลงตรงหน้าฉินซี จากนั้นก็พูดขึ้นเรียบๆ “ได้ยินอู๋ไห่บอกว่านายรีบร้อนจะออกไปก็เลยยังไม่ได้ทานอาหารเช้า”
จงซิงอู๋ถึงกับขนลุกซู่ พระเ้า เขากำลังได้เห็นเฉินเจวี๋ยที่เข้าใจคนอื่นและยังใส่ใจอ่อนโยนอยู่เหรอ?! พระเ้า นี่มันไม่ใช่เพราะเขาตาลายหรือเห็นภาพหลอนไปเองใช่ไหม? ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเขาจะได้รู้เื่สุดยอดเข้าแล้ว จะถูกฆ่าปิดปากหรือเปล่าเนี่ย… จงซิงอู๋คิดสะระตะ
ฉินซีเองก็รู้สึกอายขึ้นมาเหมือนกัน เขาหยิบอาหารบนโต๊ะใส่ปากเงียบๆ บ้างก็ยังยกเครื่องดื่มขึ้นดื่ม แม้เครื่องดื่มจะค่อนข้างหวานแสบคอ แต่ตอนนี้ขอแค่ทำให้อิ่มท้องได้ก็พอแล้ว...
เพราะเฉินเจวี๋ยสามารถอ่านสีหน้าของคนอื่นได้ เมื่อเห็นฉินซีขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ ก็รีบนำโทรศัพท์มือถือข้างกายขึ้นมาโทรไปที่ล็อบบี้ “สวัสดีครับ ช่วยส่งอาหารเช้าแบบจีนขึ้นมาหนึ่งชุดด้วยครับ”
“แค่ก… แค่ก...” ฉินซีสำลักเครื่องดื่มออกมา เขาไอจนตัวโยนอยู่สักพัก
ในที่สุดเฉินเจวี๋ยก็ออกปากพูดเข้าประเด็น
“จงซิงอู๋ วันนี้มีคนทำร้ายฉินซีไปแล้ว ถ้าคนพวกนั้นเป็แฟนคลับของนาย นายจะทำยังไง?” น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยฟังดูเนิบนาบ แต่สายตาที่มองมายังจงซิงอู๋กลับไม่ชวนให้เขาสบายใจนัก
จงซิงอู๋ยืดหลังตรงขึ้นโดยอัตโนมัติ ท่าทางของเขาดูราวกับกำลังรายงานเื่จริงจังมากอยู่ “ถ้าเป็แบบนั้น ผมจะแถลงออกสู่สาธารณะเพื่อยับยั้งแฟนคลับของตัวเอง หากแฟนคลับกระทำ ศิลปินย่อมต้องเป็คนรับหน้า นั่นมันช่วยไม่ได้นี่ครับ” จงซิงอู๋เองก็กดดันมาก แต่ตอนนี้เขาควรจะแสดงความรับผิดชอบออกมา
เฉินเจวี๋ยพยักหน้า “แล้วนายตั้งใจจะแถลงเื่ของพวกนายตอนไหน?”
“ทางผมสามารถจัดการได้ตลอดครับ หลักๆ คือจะร่วมมือกับทางฉินซีอย่างไร ตอนนี้ฉินซีมีผู้จัดการแล้วหรือยังครับ?” จงซิงอู๋ถาม
เฉินเจวี๋ยมองข้ามความเห็นของฉินซีไป จากนั้นก็พูดขึ้นโดยไม่สนใจอะไร “อืม ฉันจะจัดหาให้เขาสักคน”
จัดหาอะไรล่ะ? จะเป็อย่างผู้ช่วยคนนั้นอีกไหม? ฉินซีบ่นอุบอิบในใจ
“ถ้าแบบนั้นทางฝั่งพวกผมจะออกไปอธิบายก่อน จากนั้นก็ค่อยให้ฉินซีแถลงอีกที แล้วให้กองถ่ายของพวกเราเสริมอีกหน่อย ผลลัพธ์น่าจะออกมาดีนะครับ” จงซิงอู๋เลือกวิธีการตรงๆ แต่เกิดผลมากที่สุด บางครั้งพวกกองกำลังที่ซุ่มอยู่ในอินเทอร์เน็ตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะควบคุมได้ ดังนั้นจึงมีแต่ต้องให้เ้าตัวออกมาแถลงอย่างชัดเจนเท่านั้น และจงซิงอู๋ก็จะยับยั้งแฟนคลับของตัวเองไปด้วย
“ทางที่ดีควรมีคนลากเหลียนเหล่ยลงมาด้วย” เฉินเจวี๋ยพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น
จงซิงอู๋พยักหน้า “เื่นี้ผมเตรียมการไว้แล้ว คืนนี้จะมอบเซอร์ไพรส์ให้เหลียนเหล่ยอย่างแน่นอน” จงซิงอู๋พูดขณะที่ดวงตาเผยประกายความเกลียดชัง สำหรับคนที่ชอบกวนน้ำให้ขุ่นในวงการบันเทิง แม้จะเป็ผู้หญิง มันก็ยังทำให้คนรังเกียจมากอยู่ดี
ฉินซีนั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเขากำลังเข้ามานั่งเป็พยานแก่เื่ใหญ่ในวงการบันเทิงเื่หนึ่งด้วยความมึนงง… ทั้งสองคนกำลังพูดคุยเื่วิธีการกำจัดคนที่เข้ามาสร้างปัญหา ทั้งยังตรงไปตรงมามากอีก… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครๆ ต่างก็ชอบอิทธิพลและความโด่งดัง
เพราะด้วยอิทธิพลของเฉินเจวี๋ยและชื่อเสียงของจงซิงอู๋ หากจะจัดการเื่นี้ มันก็แสนง่ายดาย
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเจวี๋ยยุ่งมาก และจงซิงอู๋ไม่กล้าลงมือทำอะไรโดยพลการ ดูเหมือนว่าเื่นี้ก็คงถูกจัดการเรียบร้อยไปนานแล้ว
สามารถบอกได้เพียงการโจมตีในวันนี้ ทำให้เฉินเจวี๋ยโมโหขึ้นโดยสมบูรณ์ การที่สามารถเกิดเื่แบบนี้ขึ้นภายใต้การป้องกันของอู๋ไห่ได้ ฉินซีเดาว่า มันคงทำให้เฉินเจวี๋ยรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังกระตุกหนวดเสือ รนหาที่ตายแท้ๆ!
ฉินซีไม่สามารถแทรกการสนทนาระหว่างเฉินเจวี๋ยและจงซิงอู๋ได้ จึงทำได้เพียงทานอาหารตรงหน้าอย่างเศร้าใจ เนื่องจากมันถูกแช่ไว้ในตู้เย็นก็เลยทั้งแห้งและแข็ง ยิ่งทานเข้าไป ก็ยิ่งรู้สึกกลืนไม่ลง และในตอนนั้นเอง เสียงกริ่งห้องก็ดังขึ้น เสียงพนักงานส่งผ่านมาจากด้านนอก “สวัสดีค่ะ อาหารเช้ามาส่งแล้วค่ะ”
อู๋ไห่เปิดประตู พนักงานเข็นรถอาหารเช้าเข้ามา จากนั้นก็นำอาหาร้าวางลงบนโต๊ะ มันหลากหลายละลานตาไปหมด จงซิงอู๋เดาะลิ้นขึ้น ก่อนจะถอนใจออกมา เอ็นดูขนาดนี้เชียว...
แต่เ้าตัวอย่างเฉินเจวี๋ยและฉินซีกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย พวกเขาต่างก็สงบนิ่งมาก
จงซิงอู๋รู้สึกราวกับถูกเย้ยหยันด้วยความรักของคนตรงหน้า เขากระแอมไอก่อนจะพูดเื่อื่น “ให้ผมอยู่ที่โรงแรมด้วยจะดีกว่าไหม?”
“ไม่ต้อง” เฉินเจวี๋ยปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า “นายอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะทำให้นักข่าวนำไปซุบซิบมากขึ้น”
แม้จงซิงอู๋จะเสียใจ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันเป็อย่างนั้นจริง เขาถอนหายใจ “ถ้าแบบนั้นผมไปสถานีตำรวจสักหน่อยดีกว่า เื่ที่ควรทำ ตอนนี้ก็ควรเริ่มได้แล้ว”
เฉินเจวี๋ยพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนสงสัยไปถึงตัวเหลียนเหล่ยก็ได้”
จงซิงอู๋พยักหน้าโดยไม่ได้รู้สึกว่าทำเื่ผิดมาแม้แต่น้อย “ใช่ จะได้ทำให้เหลียนเหล่ยได้ลิ้มลองรสชาติของการถูกวิจารณ์จากสาธารณะเสียบ้าง”
ฉินซีทานอาหารเช้าชุดใหม่ไปเงียบๆ มันทั้งหอมและอุ่น สบายสุดๆ ไปเลย
เห็นได้ชัดว่าเป็เื่ที่เกี่ยวกับเขา แต่เขากลับไม่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้ ความรู้สึกบอบบางแบบนี้ไม่ดีเลยจริงๆ! แต่ความซาบซึ้งอย่างน่าประหลาดนี่มันอะไรกัน… การถูกปกป้องมันดีแบบนี้เองสินะ?
ฉินซีนึกส่ายหน้าในใจ ก่อนจะสลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากหัว
จงซิงอู๋พาคนของเขากลับไปแล้ว
พนักงานก็ไปแล้ว
แม้แต่อู๋ไห่ก็ยังตามออกไปด้านนอกแล้ว
ภายในห้องเหลือเพียงฉินซีและเฉินเจวี๋ย มือที่คีบเกี๊ยวทอดของฉินซีหยุดชะงัก เมื่อเฉินเจวี๋ยถามเขา “ทำไมถึงไม่เซ็นสัญญานั่น?” ฉินซีสบตากับเฉินเจวี๋ย เขายังคงมองความคิดของเฉินเจวี๋ยไม่ออก ฉินซีวางตะเกียบลงอย่างอึดอัด แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ทำไมคุณเฉินถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะ คุณคิดว่าผมจะรับข้อเสนอแบบนั้นได้เหรอครับ?”
“ทำไมถึงจะรับไม่ได้?” เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้วเข้าหากัน เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แต่กลับไม่ได้แสดงออก “ปกติแล้วบริษัทอื่นจะให้ส่วนแบ่งนักแสดงหน้าใหม่แค่ 3:7 แต่นายกลับได้ตั้ง 4:6 นายยังไม่พอใจอีกเหรอ? รอให้นายอยู่ในบริษัทครบ 5 ปี บริษัทก็จะแบ่งหุ้นให้นาย แบบนี้ยังไม่ดีอีกเหรอ? ทุกๆ ปีบริษัทจะจัดทริปท่องเที่ยวสำหรับนักแสดงให้ 1 ครั้ง บริษัทออกเงินให้นายได้ไปพักผ่อน นายยังไม่พอใจอีกเหรอ? บริษัทรับผิดชอบงานทุกอย่างของนาย ไม่ว่าจะหาบทหรือรับงานโฆษณา แบบนี้ยังดีไม่พออีกหรือยังไง?”
ยิ่งเฉินเจวี๋ยพูดต่อไปเท่าไร สีหน้าของฉินซีก็ยิ่งใมากขึ้นเท่านั้น เขาค่อยๆ อ้าปากกว้าง และแสดงท่าทีมึนงงออกมาอย่างหาได้ยาก
นี่มันไม่ถูกต้อง… มันไม่เหมือนสัญญาที่ผู้ช่วยเอามาให้เขาเลยนี่!
“คุณ… คุณ...” ฉินซีส่งเสียงขัดขึ้นอย่างอดไม่ได้
เฉินเจวี๋ยปิดปากเงียบ
ในที่สุดฉินซีก็ได้โอกาสพูด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยับยั้งความโทสะและความไม่สบายใจเอาไว้ ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น “ไม่ใช่เดือนละ 200,000 เหรอครับ?” ตอนนั้นผู้ช่วยคนนั้นมองมาที่เขาด้วยความเย้ยหยัน ความหมายของมันก็คือ หรือว่าได้เดือนละ 200,000 นายก็ยังไม่พอใจอีกเหรอ? นายคิดว่าตัวเองล้ำค่ามากเหรอ? อยากจะทำตัวเป็สาวงามสูงส่งอย่างในโบราณหรืออย่างไร?
ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินเจวี๋ย “อะไร 200,000? ฉินซี ต่อให้ฉันจะมอบโอกาสเซ็นสัญญาให้นาย แต่ก็ไม่มีทางให้นายได้เงินไปฟรีๆ หรอกนะ และแน่นอนว่าถ้าในแต่ละเดือนนายได้งานโฆษณาเยอะ ฉันก็ไม่มีทางให้เงินนายแค่ 200,000 หรอก”
ฉินซีและเฉินเจวี๋ยต่างััได้ถึงความผิดปกติ
ใบหน้าของเฉินเจวี๋ยมืดมนลง “สัญญาที่นายได้มาล่ะ? ยังอยู่ไหม? เอามาให้ฉันฉบับหนึ่งสิ”
ฉินซีเตรียมเอาไว้แล้ว “เอ่อ ผมเอาไว้ที่ห้องน่ะครับ”
เฉินเจวี๋ยลุกขึ้น “ฉันไปเอาเป็เพื่อน”
“ได้ครับ” เมื่อฉินซีรู้สึกว่าน่าจะเป็การเข้าใจผิดกัน สิ่งติดค้างในใจก็คลายออก เมื่อต้องเชิญหน้ากับเฉินเจวี๋ย เขาก็ไม่ได้อึดอัดและเว้นระยะห่างแบบนั้นอีกแล้ว
เฉินเจวี๋ยกลับไปที่ห้องกับฉินซี ฉินซีนำสัญญาส่งให้เฉินเจวี๋ยดู ในใจของฉินซียังรู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อย อย่างไรสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นก็แย่เกินไปแล้ว มันเป็การตั้งราคาค่าตัวให้กับคนคนหนึ่งอย่างชัดเจน
เฉินเจวี๋ยพลิกสัญญาในมือดู ไม่นานสีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ถึงขีดสุด หลังจากนั้นหลายนาที เฉินเจวี๋ยก็สะบัดสัญญานั่นลงบนโต๊ะอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง “ปัง”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนี้ ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้ ตอนนี้ หรือหลังจากนี้ก็ตาม” เฉินเจวี๋ยพูดออกมา น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นะเืเป็อย่างมาก บางทีมันอาจจะเจือไปด้วยความโมโหที่มีต่อสัญญานี้