หานหลินเยว่ในฐานะหลานสาวของเขาหน้าแดงด้วยความละอายใจ
เฟิ่งเฉี่ยนหรี่ตาลงรู้สึกยุ่งยากใจ นางต่อให้เขาสองก้าวและยังพลิกกลับมาเอาชนะอีกฝ่ายได้ เขายังคงดื้อด้านไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน!
ทว่า หากเขายังคงยืนกรานไม่ยอมแพ้เช่นนี้ต่อไป นางเองก็ทำอะไรเขาไม่ได้
สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เฮือกหนึ่ง นางฝืนฉีกยิ้มออกมา “ได้! ท่านไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ก็ประลองกันจนกว่าท่านจะยอมรับความพ่ายแพ้ก็แล้วกัน!”
นางเป็คนเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ยอมใช่ไหม เช่นนั้นก็ประลองกันจนกว่าจะท่านจะยอมรับความจริง!
เพราะนอกจากวิธีนี้แล้ว นางไม่มีวิธีอื่น ดังนั้นนางจึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับหานไท่ฟู่
“แต่ตอนนี้ข้าหิวแล้ว ข้าจะไปกินอาหารเที่ยง พวกเราค่อยมาประลองกันต่อใน่บ่าย!”
กระดานเมื่อสักครู่แม้จะเอาชนะได้ แต่ก็เป็การเอาชนะอย่างใจหายใจคว่ำ!
การเดินหมากด้วยตำแหน่งเทียนหยวนของหานไท่ฟู่ร้ายกาจจริงๆ นางถูกกดดันบีบคั้นั้แ่เริ่มเดินหมาก และหากนางไม่เจตนาหลอกล่อเขา ให้อีกฝ่ายสนใจแต่สถานการณ์ศึกตรงหน้า ทันทีที่ถูกเขาพบระหว่างนางลอบสร้างค่ายกล เช่นนั้นหมากกระดานนี้นางคงต้องพ่ายแพ้!
อีกทั้งมีบทเรียนจากสองกระดานแรกก่อนหน้านี้ ครั้งหน้าหากนางใช้ค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมอีกคงเป็เื่ยากยิ่งกว่ายาก
การทำลายค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมนั้นยาก แต่การขัดขวางไม่ให้นางสร้างค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมกลับเป็เื่ง่ายดาย!
ดังนั้น นางไม่อาจเดินหมากกับเขาต่อไปอีก นางจำเป็จะต้องสุขุมหนักแน่น คิดกลยุทธ์การศึกใหม่ๆ ออกมา!
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ หานไทฟู่เองก็ไม่คัดค้าน เขาแพ้ติดๆ กันสองกระดาน เขาจำเป็ต้องตั้งสติใหม่อีกครั้ง ไตร่ตรองหาสาเหตุที่ทำให้เขาพ่ายแพ้
“ได้ เช่นนั้นพวกเราประลองกันต่อตอนบ่าย!”
หานหลินเยว่อ้าปากคิดจะขัดขวางเขา ทว่าสุดท้ายยังคงปิดปากสนิทและเงียบงัน
ออกมาจากชุมนุมเดินหมากเทียนหยวน เฟิ่งเฉี่ยนเงียบสงบเหมือนมีเื่หนักใจ
มู่ชิงเซียวััได้จึงถามอย่างเอาใจใส่ “เฉียนเฉี่ยน เ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
เฟิ่งเฉียนถอนใจ “ประลองอีกครั้งตอนบ่าย ข้ากลัวว่าจะเป็ฝ่ายพ่ายแพ้”
มู่ชิงเซียวประหลาดใจ “จะเป็ไปได้อย่างไรกัน ข้าดูท่าทางเ้าหนักแน่นเช่นนั้น คิดว่าเ้ากุมชัยชนะเอาไว้ในกำมือแล้วเสียอีก”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มขม “ข้าสามารถเอาชนะหานไท่ฟู่ได้ ล้วนอาศัยค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยม แต่ตอนนี้เขาย่อมต้องหาวิธีป้องกันการสร้างค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมแล้ว ข้าคิดจะนำมันออกมาใช้อีกเกรงว่าจะเป็เื่ยาก ตอนนี้ข้าเองก็คิดค่ายกลการศึกใหม่ไม่ออก ยากเหลือเกิน!”
มู่ชิงเซียวขมวดคิ้ว “เช่นนั้นทำอย่างไรดี”
สายตาของเฟิ่งเฉี่ยนมองไปข้างหน้า นางหรี่ตาลง “ตอนนี้คงได้แต่อาศัยโชคชะตาแล้ว!”
มู่ชิงเซียวสงสัย
ภายในห้องพิเศษของชุมนุมเดินหมากเทียนหยวน ผู้คนที่ล้อมรอบเข้ามาดูการเดินหมากแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงหานไท่ฟู่และหานหลินเยว่สองปู่หลาน
หานไท่ฟู่ถือหมากไว้ในมือ ทางหนึ่งจัดวางหมากลงไปบนกระดาน อีกทางหนึ่งบ่นงึมงำ “นางเด็กคนนี้วางกับดักล่อข้าทีละก้าวๆ ได้อย่างไรกัน ข้าถึงกับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ช่างประหลาดนัก ประหลาดเหลือเกิน!”
หานหลินเยว่นั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านปู่ ท่านจะประลองการเดินหมากในตอนบ่ายกับนางไม่ได้อีกเ้าค่ะ!”
หานไท่ฟู่ถลึงตา “เหตุใดจึงประลองไม่ได้”
หานหลินเยว่วิเคราะห์สาเหตุอย่างใจเย็น “นางต่อให้ท่านสองก้าว ยังสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะท่านได้ เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าฝีมือการเดินหมากของนางมิสามัญ อีกทั้งหลังจากผ่านการประมือกันมาสองกระดาน นางรู้และเข้าใจวิธีการเดินหมากของท่านพอสมควร หากยังคงประลองต่อไป ยังไม่แน่ว่าท่านจะเอาชนะนางได้”
หานไท่ฟู่แบมืออย่างไม่พอใจ “เป็ไปไม่ได้! ข้าเห็นนางใช้เป็แต่ค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมเท่านั้น! ขอเพียงข้าระมัดระวังไม่ให้นางตั้งค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมสำเร็จ นางย่อมเอาชนะไม่ได้!”
หานหลินเยว่กลับไม่คิดเช่นนั้น “เช่นนั้นหากนางเปลี่ยนกลยุทธ์เล่า นางสามารถใช้ค่ายกลโบราณเช่นเจดีย์สามเหลี่ยม ยากที่จะรับรองว่านางจะใช้ค่ายกลโบราณอื่นที่มีความร้ายกาจเทียบเทียมกับค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมไม่เป็ ทันทีที่นางเปลี่ยนกลยุทธ์ การเดินหมากของท่านนั้นเป็ลักษณะการเดินหมากช้าและมั่นคง ยากที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรับมือในชั่วครู่ ข้ากลัวว่า...”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุดของหานไท่ฟู่ นางจึงรู้สึกตัวว่าได้กล่าววาจาล้ำเส้นแล้ว หานหลินเยว่รีบกล่าวขออภัย “ท่านปู่ ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ความหมายของข้าคือ...”
หานไท่ฟู่แบมือออกแล้วถอนใจ “เ้าไม่จำเป็ต้องอธิบาย! นางเด็กคนนั้นพูดถูกอยู่อย่างหนึ่ง! ข้าน่ะแก่แล้ว กำลังวังชาสู้พวกเ้าคนหนุ่มสาวไม่ได้!”
“ท่านปู่...” หานหลินเยว่คิดจะแก้ต่างให้ตัวเอง
หานไท่ฟู่ตัดบท “แต่ข้าได้รับปากนางไปแล้วว่าจะประลองกับนางอีกครั้งในตอนบ่าย จะให้ข้าเสียคำพูดบ่อยๆ ไม่ได้กระมัง นี่มันน่าขายหน้าเกินไป!”
หานหลินเยว่มุมปากกระตุก ในใจคิดว่าท่านมิได้เสียคำพูดเป็ครั้งแรกเสียหน่อย ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คนมากมาย หรือเื่นี้ไม่น่าขายหน้า
แต่ปากนางกลับพูดว่า “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ การประลองที่จะมีขึ้นในเดือนหน้าไม่ต้องยกเลิก!”
“ไม่ยกเลิกหรือ” หานไท่ฟู่ไม่เข้าใจ
“ใช่แล้วเ้าค่ะ ไม่ต้องยกเลิก!” ดวงตาของหานหลินเยว่เปล่งประกายวิบวับเมื่อศีรษะตั้งตรง นางยกยิ้มอย่างมั่นใจ “ตอนบ่าย ให้หลานเดินหมากแทนท่าน!”
ดวงตาทั้งคู่ของหานไท่ฟู่เป็ประกาย
ภายในห้องครัวของจวนสกุลมู่ กลิ่นหอมของเนื้อที่โชยออกมาเป็พักๆ นั้นครอบคลุมไปทั่วคฤหาสน์สกุลมู่
คนที่เข้ามาล้อมรอบห้องครัวมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนล้วนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความอยากอาหาร
“ฝีมือการทำอาหารของป้าหลิวก้าวหน้าเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน หอมเหลือเกิน แทบจะหลอกล่อหนอนตะกละในท้องข้าออกมาแล้ว!”
“ป้าหลิวอันใดกัน เป็แม่นางเฟิงที่ทำอาหารอยู่ข้างใน!”
“แม่นางเฟิงหรือ ใช่แม่นางเฟิงที่รักษาอาการป่วยของไท่ฟู่จนหายหรือไม่”
“นอกจากนางแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีก หากว่าด้วยเื่การปรุงอาหารแล้ว ข้าเลื่อมใสเพียงแม่นางเฟิงเท่านั้น!”
“ครั้งก่อนที่แม่นางเฟิงทำข้าวผัดไข่ทำให้ข้าตะกละจะแย่ ครั้งนี้นางกำลังทำหมูสามชั้นในน้ำซอสหรือ หอมเหลือเกิน!”
“น่าเสียดายที่ต่อให้หอมและอร่อยกว่านี้พวกเราก็ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง!”
“ได้ดมกลิ่นก็ยังดี เ้าไม่คิดว่าลำพังแค่ได้กลิ่นก็อร่อยแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว!”
ภายในห้องครัว เฟิ่งเฉี่ยนปรุงหมูสามชั้นในน้ำซอสด้วยท่วงท่าชำนิชำนาญ จานที่หนึ่ง จานที่สอง จานที่สาม...กระทั่งทำจานที่สิบเสร็จ!
“พี่ใหญ่มู่ ท่านส่งหมูสามชั้นในน้ำซอสไปให้มู่ไท่ฟู่จานหนึ่งเถิด! เหลือไว้ให้ข้าจานหนึ่ง ที่เหลือแบ่งปันให้คนภายในจวน!”
มู่ชิงเซียวเรียกสติของตนคืนมาอย่างมิง่ายดายนัก เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เ้าใช้อาหารจานนี้ชนะใจเซียนพิษ และได้รับตำราพิษที่เขาสะสมมาใช่หรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะเบาๆ “ถูกต้อง เพื่อทำอาหารจานนี้ ข้าและเซวียนหยวนเช่อ...อุ๊บ ข้าหมายถึง ข้าและฮ่องเต้ต้องเสียแรงไปไม่น้อย”
แววตาของมู่ชิงเซียวเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ เขาพูดกับนางด้วยความจริงใจ “เฉียนเฉี่ยน ขอบคุณเ้า! เ้าช่วยท่านปู่ของข้า ข้ายังไม่เคยขอบคุณกับเ้าด้วยตนเอง! ข้าเคยพูดไว้ ขอเพียงเ้ารักษาท่านปู่จนหายดี ชาตินี้ข้ายินดีจะเป็ช้างม้าวัวควายให้เ้า ข้าพูดได้ทำได้!”
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง นางรีบโบกไม้โบกมือ “พี่ใหญ่มู่ ท่านอย่าได้พูดเช่นนี้เป็อันขาด! พวกเราเป็สหาย อย่าได้พูดว่าจะเป็ช้างม้าวัวควาย ข้ารับไม่ไหวหรอกนะ!”
มู่ชิงเซียวหัวเราะเบาๆ ทว่าไม่เอ่ยวาจา แววตาของเขาเปล่งประกายราวกับสายน้ำในฤดูวสันต์
หลังจากมู่ชิงเซียวออกไปแล้ว ภายในห้องครัวเหลือเฟิ่งเฉี่ยนเพียงคนเดียว นางรีบเรียกระบบขึ้นมาทันที นางเปิดระบบจับรางวัล
จานทรงกลมหลากสีเคลื่อนตัวออกมา...
เฟิ่งเฉี่ยนภาวนาในใจว่าหากนางจับ《ตำราทักษะการเดินหมากล้อม》ได้อีกสักครั้งก็คงดี นางจะได้นำมันมาใช้ในการเดินหมากตอนบ่าย หากทักษะการเดินหมากล้อมของนางไม่อาจแหวกแนวหรือก้าวหน้าขึ้น ก็คงได้แต่นั่งรออยู่เฉยๆ
ทว่าตามประสบการณ์ที่ผ่านมา โดยปกติแล้วหากนาง้าอะไรมักจะไม่ได้สิ่งนั้นเสมอ ดังนั้นนางจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนัก ถือเสียว่าแล้วแต่โชคชะตาก็แล้วกัน
ติ๊ง--
ผลการจับรางวัลออกมาแล้ว!
เฟิ่งเฉี่ยนปิดตาลงทันที นางไม่กล้ามอง