อันเจิงทำสิ่งที่คิดว่าตนเองสามารถทำได้จนหมดแล้วที่เหลือก็ได้แต่รอดูความพยายามของพวกตู้โซ่วโซ่วว่าจะไปได้ไกลแค่ไหนอันเจิงมีความมั่นใจในกลยุทธ์ของตนเองไม่น้อยแต่ปัจจัยเดียวที่ไม่แน่นอนก็คือเสี่ยวชีเต้า หากศักยภาพของเสี่ยวชีเต้าถูกค้นพบโดยคนของหอสมุดมายานั่นก็เท่ากับว่าตนเองได้หักหลังความไว้วางใจของแม่นางเยว่แล้วเห็นได้ชัดว่าแม่นางเยว่ไม่ปรารถนาให้เสี่ยวชีเต้าปรากฏตัวต่อหน้าคนของกองทัพแคว้นเยี่ยนไม่อย่างนั้นนางคงไม่ตัดสินใจจากไปเพียงลำพัง
อันเจิงให้ตู้โซ่วโซ่วกับคนอื่น ๆกินดื่มและเล่นสนุกได้อย่างเต็มที่งานอดิเรกหลากหลายถูกงัดออกมาใช้ยามที่พวกเขาต้องอยู่ในนิกายเวลากลางวันนี่ทำให้คนนอกที่สนใจเกี่ยวกับผลของการพนันรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยบางคนถึงกับแสยะยิ้มเย็นคิดในใจว่า นี่เป็การรับประกันชัยชนะของนิกายเบิก์แน่แท้แล้วคนไม่น้อยตัดสินใจเดิมพันข้างของอันเจิงมากขึ้นนั่นส่งผลให้จำนวนเงินเดิมพันฝั่งของนิกายเบิก์เพิ่มขึ้นด้วย ประกอบกับวันนัดประลองที่กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ บ่อนพนันก็ยิ่งใหญ่โต คนที่อยู่ใกล้ ๆ แห่เข้ามาในโลกมายาอย่างคึกคักโรงเตี๊ยมทั้งหลายถูกจองจนเต็มไม่เหลือที่ว่าง
อันเจิงนั่งอยู่บนพื้นหญ้าเพียงลำพังจ้องมองบ่อน้ำเล็ก ๆ ในสวนอย่างเหม่อลอยอันที่จริงในบรรดาคนทั้งหมดเขาคือคนที่กังวลใจมากที่สุดแม้จะวางกลยุทธ์ให้คนอื่นเรียบร้อยแล้วและมั่นใจว่าตู้โซ่วโซ่วกับชวีหลิวเอ๋อสามารถเอาชนะได้แต่หากเขาแพ้ขึ้นมามันก็เป็หายนะของนิกายเบิก์เหมือนกัน เพราะเขาคือผู้นำของนิกายนี้เป็ศูนย์รวมจิตใจของทุกคนที่อยู่ในนิกายเบิก์
“เป็ทุกข์ถึงเพียงนี้เชียว”
น้ำเสียงน่าชังดังขึ้นมาจากทางด้านหลังต่อให้อันเจิงไม่หันหน้ากลับไปมองเขาก็รู้ว่าเ้าของเสียงเป็ใคร
เฉินเซ่าป๋ายปรากฏตัวขึ้นฉับพลันประหนึ่งิญญาเร่ร่อนมือยื่นไหเหล้าส่งให้อันเจิงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ “ดูท่าเ้าเองก็ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นแต่ก็สมควรอยู่ ศักยภาพของเ้าเทียบกับลูกศิษย์พวกนั้นแล้วด้อยกว่ามากจริง ๆข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเ้าไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกเขาได้ทำไมตอนนั้นถึงได้ทำสัญญาแบบนั้นลงไป? ข้าเคยเห็นคนรนหาที่ตายมาก็มากแต่ไม่เคยเห็นใครที่ใช้วิธีตายแบบเ้ามาก่อน”
อันเจิงเหลือบมองไปที่เขาแวบหนึ่ง “ปากเ้าเหม็นยิ่งนัก”
เฉินเซ่าป๋ายถอนหายใจ “เหม็นรึ?ข้าแค่พูดความจริง หรือไม่เ้าลองอ้อนวอนข้าดูสิ? แม้ข้าจะไม่ได้มีความรู้สึกดี ๆ ต่อเ้าเลย หรืออาจถึงขั้นอยากฆ่าเ้าทิ้งด้วยซ้ำแต่ข้าผู้นี้เป็คนมีหลักการตอนนั้นเ้าช่วยข้าสังหารเฉินผู่ทำให้ข้าแก้แค้นได้สำเร็จ หากหนี้บุญคุณนี้ยังไม่คืนข้าก็คงไม่อาจลงมือฆ่าเ้าได้ ดังนั้นเ้าขอร้องข้าสิ ขอให้ข้าช่วยแล้วข้าจะรีบวิ่งไปสังหารลูกศิษย์ของหอสมุดฝั่งตรงข้ามทั้งหมดทิ้งเสียแบบนี้เ้าก็จะชนะได้โดยไม่ต้องสู้ นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหรือ?”
“เ้าไสหัวไปได้แล้ว”
“นี่คือวิธีต้อนรับแขกของเ้ารึ?”
“ข้าไม่ได้เชิญเ้ามาสักหน่อย”
เฉินเซ่าป๋ายลุกขึ้นยืน “ไม่คิดจะขอร้องข้าจริงๆ หรือ?การมีปณิธานเป็เื่ดีก็จริง แต่อย่างเ้าเขาไม่เรียกว่ามีปณิธาน แต่เรียกว่าโง่เง่าต่างหาก!ข้าจะบอกอะไรเ้าสักอย่าง ลูกศิษย์ที่เข้ามาใหม่ของหอสมุดฝั่งตรงข้าม ที่เรียกตัวเองว่าเฉินโจวอะไรนั่นแท้จริงแล้วก็คือเฉินชีอดีตผู้ติดตามของข้า บุตรชายเพียงคนเดียวของเฉินผู่เขาได้รับการสนับสนุนเล็กน้อยจากตระกูลเฉินของข้าในที่ลับ ดังนั้นตอนนี้เขาก็เลยอยากจะลองเล่นสนุกกับพวกเ้าดูบ้างถามว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่มากำจัดเ้าโดยตรง? นั่นเพราะเขาอยากจะสร้างความอัปยศให้กับเ้าในวันประลองต่อหน้าทุกคนอย่างไรเล่า”
“ขอร้องข้าสิ ขอร้องข้าเร็ว”
“เพียงเ้าขอร้องข้า ข้าจะช่วยฆ่าพวกนั้นให้”
“คำว่า ‘ฆ่าคน’ หลุดออกมาจากปากเ้าได้ง่ายดายดีจริง”
“ฝึกฝนแล้วไม่ใช้ฆ่าคนยังจะเหลือความสนุกอะไรอีก?”
เขาจิบเหล้าลงคอไป “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเ้าอวดภูมิยิ่งกว่าตาแก่พวกนั้นนะ?ทั้งที่เป็แค่เด็กน้อยน่าสงสารไร้ที่พึ่งแท้ ๆซ้ำยังถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งมาก่อน ถามจริง ๆ เ้าไม่โกรธแค้นบ้างเลยหรือ? ข้าจะบอกอะไรให้เ้าฟังสักอย่าง เ้าที่เป็แบบนี้ไม่มีอนาคตหรอก อยู่ในยุทธภพหากไม่โเี้ก็ไม่มีที่ให้ยืน”
“ข้าโเี้ เพียงแต่ไม่ชอบฆ่าคนไปเรื่อย”
“พูดอย่างกับเ้าเคยฆ่าคนมาก่อนแต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อเ้าโง่เง่าขนาดนี้ข้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้เฮ้อ...ชีวิตมันช่างลำบากจริง ๆ รับไป...สิ่งนี้ข้าให้เ้า”
เฉินเซ่าป๋ายปลดกระดิ่งเล็ก ๆจากอาภรณ์แล้วโยนมันให้กับอันเจิง “ถ้าเ้ารู้สึกว่ากำลังจะตาย เพียงแค่เขย่าเบา ๆแล้วข้าจะไปช่วยเ้า ข้าแทบจะทนรอที่วันจะชำระหนี้คืนให้เ้าไม่ได้เลยหลังจากใช้หนี้แล้ว ข้าจะได้ทรมานเ้าอย่างสาสมใจเสียที ข้าจะถลกหนังเ้าออกจากนั้นโยนเ้าลงไปในหม้อต้มน้ำแกง แบบนั้นมันคงสะใจน่าดู”
อันเจิงก้มมองดูกระดิ่งที่ถูกโยนมาให้ มันทำขึ้นจากแก้ว้าสลักด้วยลวดลายโบราณแปลกตา แม้อันเจิงจะมีความรู้กว้างขวาง แต่เขาไม่เคยเห็นลวดลายที่สลักอยู่บนกระดิ่งแก้วใบนี้มาก่อนมันเป็เหมือนอักษรที่บิดเบี้ยวแลดูซับซ้อนเป็อย่างมากทว่าขณะเดียวกันมันก็เหมือนเส้นยาวโค้งเว้าที่ลากไปทั่วแบบไม่ตั้งใจ
เฉินเซ่าป๋ายลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก “ถ้าข้าเป็เ้าจะใจกล้าสักหน่อยแล้วปากระดิ่งใส่ตัวข้า”
ปึก!
กระดิ่งแก้วกระแทกเข้าใส่หลังเขาอย่างจัง
เฉินเซ่าป๋ายชะงักกึกหันหลังกลับด้วยความตกตะลึง มองดูอันเจิงที่ก้มเก็บกระดิ่งแก้วขึ้นมาจากพื้นแล้วเก็บเข้าใส่อกเสื้อ“เ้าพูดเองว่าเ้าติดหนี้ข้า”
“หน้าด้าน ไร้ยางอาย”
อันเจิงยักไหล่ของเขา “ใครบอกไม่ใช่ล่ะ”
เฉินเซ่าป๋ายถลึงตาใส่อันเจิงครั้งหนึ่งจากนั้นดึงหมวกที่อยู่บนเสื้อกันลมขึ้นคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าแล้วเดินจากไปเขาไม่ได้ออกไปทางประตูแต่เดินตรงไปที่กำแพง ทันใดนั้น คลื่นพลังบางอย่างที่คล้ายกับระลอกคลื่นน้ำก็ไหลออกมาจากตัวกำแพงและเพียงพริบตาร่างของเฉินเซ่าป๋ายก็หายวับไป อันเจิงหยิบกระดิ่งแก้วออกมาจากอกเสื้ออีกครั้งมองมันอย่างพิจารณา เขารู้สึกได้ว่ามีพลังลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่ในกระดิ่งแก้วใบนี้
เฉินเซ่าป๋ายบัดนี้ได้เข้าร่วมกับนิกายลึกลับนั่นแล้วแต่มันคือนิกายอะไรกัน? อันเจิงเคยเป็ถึงผู้าุโหลักของกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีมาก่อนกรมตุลาการมีหน่วยข่าวกรองที่ใหญ่โตและเข้มแข็งมาก ตามหลักการแล้ว กรมตุลาการสมควรจะเป็หน่วยงานที่เข้าใจยุทธภพนี้ดีที่สุดแต่ตอนนี้อันเจิงรู้แล้วว่าตัวเองตื้นเขินมากขนาดไหน เมื่อเทียบกับโลกทั้งใบ สิ่งที่เขารู้เป็เพียงแค่เื่ผิวเผินเท่านั้นหลังจากได้กลับมาเกิดใหม่ในสถานที่เล็ก ๆ อย่างโลกมายาเขาก็พบว่ายังมีอีกหลายเื่ที่เขาไม่รู้และมีอีกหลายสิ่งที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้
เฉินเซ่าป๋ายดูเหมือนมั่นใจมากว่าเขาสามารถสังหารศิษย์ทุกคนของหอสมุดมายาได้แต่ถ้าเป็แบบนี้แล้ว ทำไมเขาถึงไม่ไปจัดการเก็บเฉินชีทิ้งเสีย?
เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเฉินชีทำไมถึงยอมปล่อยให้เฉินชีแย่งชิงทุกอย่างที่สมควรเป็ของเขาไป แล้วทำเพียงแค่ดูอยู่เฉยๆ?
อันเจิงไม่เข้าใจเพราะมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยหรือทั้งหมดนี้เป็เพราะนิกายลึกลับนั่น?
อันเจิงลุกขึ้นแตะกุญแจที่ห้อยอยู่ที่คอเบาๆ เขาตัดสินใจว่าจะเข้าไปฝึกฝนในตราประทับท้าทาย์ แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ตระหนักได้ว่าเวลานี้ท้องฟ้ายังไม่มืด ความหวังเดียวของเขาก็คืออาศัยการฝึกฝนที่หนักหน่วงกว่าเพื่อเติมเต็มพร์ที่ขาดหายไปของตัวเอง แบบนี้ถึงจะมีโอกาสชนะอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็รู้ว่าความเกลียดชังที่เฉินชีมีต่อตนนั้นฝังลึกขนาดไหนในงานประลองที่กำลังจะมาถึงเฉินชีจะต้องหาโอกาสขึ้นมาเผชิญหน้าตัดสินเป็ตายกับตนแน่นอน
ขณะที่อันเจิงกำลังยืนอยู่เงียบ ๆ จมอยู่กับความคิดของตนจู่ ๆ ผู้เฒ่าฮั่วก็เดินเข้าประตูมา
“มีอะไรหรือ?” อันเจิงถาม
ผู้เฒ่าฮั่วไม่พูดแต่ส่งสัญญาณบอกให้อันเจิงเดินกลับเข้าห้องไป หลังจากที่อันเจิงเข้ามาในห้องผู้เฒ่าฮั่วก็เอ่ยปากถามทันที “เมื่อครู่เ้าพบใครบ้างหรือไม่?”
“ท่านไม่เห็นหรือ?”
“ไม่เห็นอะไรเลย เห็นเพียงแต่เ้ากำลังพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง”
หัวใจอันเจิงไหววูบ จากนั้นเขาก็ตอบไปตามความจริงผู้เฒ่าฮั่วยิ่งฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วมุ่น รอยกดระหว่างคิ้วลึกลงเรื่อย ๆ “ข้าขอดูกระดิ่งแก้วใบนั้นหน่อย”
อันเจิงส่งกระดิ่งแก้วให้ผู้เฒ่าฮั่วมองมันอย่างระมัดระวังครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้น “บนนี้มีไอมารอยู่...”
“ไอมาร?”อันเจิงมองไปที่ผู้เฒ่าฮั่วด้วยความสับสน
ผู้เฒ่าฮั่ววางกระดิ่งแก้วลงบนโต๊ะ “เ้าจับััถึงมันไม่ได้หรอกต่อให้เป็ผู้ฝึกตนที่มีระดับการบ่มเพาะแข็งกล้ากว่านี้ก็ยังยากที่จะััถึงมันได้นั่นเพราะความรู้ในด้านอาวุธของเ้ายังด้อยกว่านักหลอมอย่างพวกข้ามากพวกเรานักหลอมอาวุธอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็พิเศษ อันเจิงเอ๋ยโลกใบนี้ไม่ได้มีแต่อาวุธด้านสว่างอย่างของที่ถูกหลอมออกมาจากหอสถิตดาราหรอกนะด้านมืดเองก็มีการหลอมอาวุธออกมาเช่นกันแต่กรรมวิธีในการหลอมของพวกเขาชั่วช้าเป็อย่างยิ่ง เพื่อยกระดับอาวุธที่หลอมขึ้นพวกเขายอมทำทุกอย่างถึงขั้นไม่เลือกวิธีการเลยทีเดียว”
“อาวุธหรือของวิเศษที่หลอมขึ้นจากวิถีทางที่ถูกต้องพวกเราเรียกมันว่าสมบัติวิเศษหรืออาวุธวิเศษส่วนอาวุธหรือของวิเศษที่หลอมขึ้นโดยใช้วิธีนอกรีตพวกเราจะเรียกมันว่าสมบัติมารหรืออาวุธมาร อันเจิง กระดิ่งแก้วที่อยู่ในมือเ้าอันนี้ก็คือสมบัติมาร”
อันเจิงไม่ค่อยรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ จริง ๆแล้วตลอด่เวลาที่เขาอยู่ที่กรมตุลาการ ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับสมบัติมารมาก่อนในมุมมองของอันเจิง คำว่ามารหรือปีศาจหมายถึงคนชั่วร้ายพวกนั้น แต่จากสายตาของผู้เฒ่าฮั่วที่ฉายแววหวาดกลัวชัดเจนอันเจิงรู้ได้เลยว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา ๆ กระดิ่งแก้วเล็ก ๆ ใบหนึ่งสามารถทำให้ปรมาจารย์นักหลอมอาวุธผู้หนึ่งหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้นี่มันเกินความคาดคิดของเขาไปไกลโขทีเดียว
ผู้เฒ่าฮั่วมองกระดิ่งแก้วเงียบ ๆครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมา “ช่างเถิด มันเป็พรไม่ใช่คำสาป หากเป็คำสาปอย่างไรย่อมไม่อาจหลบพ้นอันเจิง ดวงของเ้านี่มันอัศจรรย์มากจริง ๆ เข้าไปในเทือกเขาชางหมานก็เก็บสมบัติวิเศษระดับขั้นสีม่วงกลับมาได้ทั้งยังได้สวนสมุนไพรกว่าร้อยไร่มาไว้ใน ความโชคดีของเ้าท้าทาย์เกินไปแล้วจริงๆ แม้ว่าตอนนี้เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสมบัติมาร แต่ใช่ว่าจะเป็เื่ไม่ดีเสมอไปเห็นได้ชัดว่าโชคลาภของเ้าไม่ธรรมดาเลย เ้าเคยผ่านเื่อัศจรรย์บางอย่างมาใช่หรือไม่?ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่โชคของเ้าจะท้าทาย์ขนาดนี้?”
อันเจิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “จะเคยผ่านเื่อัศจรรย์มาได้อย่างไรในเมื่อข้าก็แค่เด็กกำพร้าผู้หนึ่ง”
ผู้เฒ่าฮั่วถอนหายใจ “อย่างไรเสียนี่มันก็ผิดปกติจนเกินไปอีกหน่อยเ้าต้องใส่ใจให้มากกว่านี้ไม่แน่อาจมีโชคลาภน่าอัศจรรย์มากมายปรากฏอยู่ตรงหน้าแต่ใช่ว่าทั้งหมดจะเป็เื่ดี คราวก่อนข้าก็เคยพูดกับเ้าแล้วว่า เ้าอาจเป็ผู้ที่ได้รับเลือกจาก์อย่างไรก็ตาม การที่ความอัศจรรย์เกิดขึ้นกับบุคคลหนึ่งซ้ำ ๆ ใช่ว่าจะเป็การอุ้มชูจาก์เสมอไปอาจเป็ไปได้ว่า เมื่อโชคดีของเ้าเดินมาถึงจุดสิ้นสุด อาจเกิดเื่ร้ายแรงยิ่งกว่าตามมาเ้าลองเปรียบเทียบดูสิอย่างข้าตลอดทั้งชีวิตได้รับการอุ้มชูจาก์เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตอนที่ข้าสร้างเตาหลอมส่วนตัวขึ้นจากโลหะรอยสักดวงดาวแล้วเ้าดูสภาพข้าตอนนี้ ดูว่าจุดจบของข้าเป็อย่างไร?”
“ข้าจะระวังให้มากขอบคุณท่านผู้าุโที่ตักเตือน”
ผู้เฒ่าฮั่วส่ายหัวให้ “เ้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ โชคลาภเป็สิ่งที่น่ากลัวนัก แต่เ้าไม่ใช่นักหลอมอาวุธจึงไม่ค่อยใส่ใจ แต่ว่า...ช่างเถิดช่างเถิด!”
เขาเดินออกไปด้วยร่างกายที่สั่นเทาแผ่นหลังของเขาดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน
อันเจิงมองกระดิ่งแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้งในใจถามตัวเองไม่หยุดว่ามันแปลกมากจริง ๆ หรือ? สมบัติมารไอมาร...แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่?
หลังจากผู้เฒ่าฮั่วเดินจากไปอันเจิงก็ยืนเหม่อมองกระดิ่งแก้วอยู่ครู่ใหญ่ กระดิ่งใบนี้ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกตรงไหนบางทีมันอาจจะเป็แค่สิ่งของที่ไว้ใช้สำหรับติดต่อเฉย ๆไม่มีบทบาทการใช้งานนอกเหนือจากนี้อีก
หลังจากท้องฟ้ามืดลงอันเจิงก็เรียกให้ทุกคนมารวมตัวกัน ก่อนจะพาพวกเขาเข้าไปฝึกฝนในมิติของตราประทับท้าทาย์กุญแจของตราประทับท้าทาย์นั้นห้อยอยู่บนคอของอันเจิงดังนั้นอันเจิงจึงสามารถพาทุกคนเข้าไปในตราประทับท้าทาย์ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่จำเป็ต้องถ่อไปถึงแท่นนวดาราให้พวกเขาเกิดความสงสัยไม่อย่างนั้นความลับของแท่นนวดาราคงถูกคนนอกค้นพบไปนานแล้ว
สมบัติวิเศษระดับขั้นสีม่วงชิ้นหนึ่งเพียงพอแล้วที่จะให้เ้าพวกที่มาแทงพนันข้างนอกบุกเข้ามาปล้นชิง
ภายในมิติของตราประทับท้าทาย์ เด็กๆ กำลังฝึกซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น พวกเขาฝึกซ้อมกันอย่างหนัก เหนื่อยแล้วก็พักง่วงมากก็นอน หิวนักก็กิน แต่หลังจากนั้นก็จะลุกขึ้นมาฝึกต่อด้วยความแข็งขัน
อันเจิงปรับปรุงความเร็วของปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายตนเองอย่างมุ่งมั่นนี่เป็หนทางเดียวที่จะทำให้เขาชนะได้ หากต้องเผชิญหน้ากับเฉินชีจริง ๆ
ศึกนี้ของอันเจิงอาจเรียกได้ว่าเป็ศึกที่อันตรายที่สุดเฉินชีเป็เด็กหนุ่มที่มืดมนที่สุดที่อันเจิงเคยเห็นบรรยากาศรอบตัวของเขามืดครึ้มหดหู่ยิ่งกว่าของเฉินเซ่าป๋ายเสียอีกอุปนิสัยของเฉินเซ่าป๋ายดีชั่วอย่างไรก็ยังมีแสงสว่างให้เห็นอยู่บ้างแต่ของเฉินชีมันมีแต่ความมืดมนเท่านั้น
เพื่อไม่ให้ความแตกจนถูกจับได้หลังจากฝึกฝนไปได้ระยะหนึ่งอันเจิงกับคนอื่น ๆ ก็จะออกมาพักผ่อนข้างนอก ดื่มกินเล่นสนุกในระหว่างวันอย่างที่เคยทำเป็กิจวัตรไม่มีใครรู้ว่าจะมียอดฝีมือแอบเข้ามาในนิกายกลางดึกหรือไม่หากทุกคนไม่อยู่ที่นี่ต้องทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยเป็แน่
วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไป เหลืออีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะถึงวันนัดประลองระหว่างสองสำนักศึกษาแล้วทันทีที่พระอาทิตย์ของวันใหม่นี้ขึ้นแตะขอบฟ้า ก็จะเป็เวลาแห่งการตัดสินแพ้ชนะ!
ตกดึก ถนนด้านนอกคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมากพวกเขาถึงขนาดหอบเสื่อหอบหมอนมาปูนอนอยู่บนท้องถนนเพื่อรอเพราะพวกเขาลงพนันไปไม่น้อย ดังนั้นจึงค่อนข้างให้ความสนใจเกี่ยวกับผลของการประลองอิทธิพลของเื่นี้บัดนี้ไปไกลกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มาก
คืนนี้ อันเจิงมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ้าง
เขามองไปยังดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้านนอก มือกำหมัดแน่น