เพื่อเป็การปลอบใจเสี่ยวชีเต้าสุดท้ายอันเจิงก็ยอมต่อยไปหนึ่งหมัด
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา การทำลายท่อนไม้ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าเิเนับว่าเป็ขีดจำกัดของเขาแล้ว
ทว่าเสี่ยวชีเต้ากลับดูมีความสุขมากเสียงปรบมือของเขาดังมากเป็พิเศษ ในสายตาของเสี่ยวชีเต้า อย่างไรพี่ชายอันเจิงก็คือบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในโลก
ชวีหลิวเอ๋อเหลือบมองอันเจิงอย่างระมัดระวัง กลัวว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีแต่อันเจิงชินเสียแล้วดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอะไร
“ดูแปลก ๆ นะ”
ชวีเฟิงจื่อยืนพิงประตูมือหนึ่งยื่นออกไปคว้าน้ำเต้าของผู้เฒ่าฮั่วขึ้นมาดื่ม “ถุย ทำไมถึงเป็น้ำเปล่าเล่า?”
ผู้เฒ่าฮั่วกลอกตามองเขา “แล้วผู้ใดบอกเ้าว่าในน้ำเต้าเป็เหล้า?”
ชวีเฟิงจื่อโยนน้ำเต้ากลับไปให้ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “เทียบยาที่หลิวเอ๋อจัดให้พวกเขาข้าเห็นหมดแล้วแม้ข้าไม่เข้าใจเื่การฝึกฝน ไม่รู้เื่การหลอมโอสถแต่สรรพคุณพื้นฐานของตัวยาข้าล้วนชัดเจนดี น่าแปลกที่ยาเทียบเดียวกัน ตู้โซ่วโซ่วดื่มแล้วสามารถปรับปรุงและยกระดับศักยภาพร่างกายได้แต่พออันเจิงดื่มกลับไม่มีผลแม้แต่น้อย ศักยภาพร่างกายของเขาไม่เปลี่ยนแปลงสักนิดทำไมกัน?”
ผู้เฒ่าฮั่วยักไหล่ “ขนาดเ้ายังไม่รู้แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
ชวีเฟิงจื่อตอกกลับ “อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้าข้ารู้ว่าเ้าไม่ใช่คนธรรมดา ต้องเป็ผู้แข็งแกร่งมาจากโลกภายนอกแน่ ๆ”
ผู้เฒ่าฮั่วเบ้ปาก “ตาไม่ดีแล้วล่ะ”
“บอกตรง ๆ ข้าชวีเฟิงจื่อชอบเ้าหนูอันเจิงไม่น้อยทั้งซื่อสัตย์ทั้งมีความรับผิดชอบ น่าเสียดายที่แม้หัวใจของเขาจะสูงส่งแต่ศักยภาพร่างกายกลับต่ำเกินไปบางครั้งข้าก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างอยุติธรรมต่อผู้คนนัก ไยคนที่มีจิตใจดีงามถึงไม่มีสิทธิ์เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับและมีอนาคตที่ดีเล่าโดยเฉพาะเด็กดีอย่างอันเจิง สุดท้ายเขาก็เป็ได้แค่ผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ ไร้ชื่อเสียง”
“เ้าชอบเขาเช่นนั้นเ้ายินดียกชวีหลิวเอ๋อให้แต่งกับเขาหรือไม่?”
“ไม่อย่างแน่นอน!”
ชวีเฟิงจื่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชวีหลิวเอ๋อสามารถบ่มเพาะได้ทั้งยังเป็อัจฉริยะ อนาคตของนางจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่นอน แต่เ้าดูอันเจิงสิศักยภาพของเขาย่ำแย่ขนาดไหน ชาติทั้งชาตินี้เขาคงไม่มีทางแข็งแกร่งขึ้นมาได้นิสัยดีแล้วอย่างไร? ข้าไม่มีทางปล่อยให้ศิษย์ของข้าได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจแน่อนาคตของนางจะต้องแต่งให้กับยอดบุรุษในใต้หล้าเท่านั้น”
ผู้เฒ่าฮั่วหัวเราะเสียงเย็น “เ้าเคยคิดถึงความสุขของนางบ้างหรือไม่?”
“นางรู้หรือว่าความสุขคืออะไร สุดท้ายก็ไม่พ้นข้าต้องช่วยจัดการแทนนางอยู่ดี”ชวีเฟิงจื่อกล่าว
ผู้เฒ่าฮั่วขัดขึ้น “ถ้าร่างกายข้าไม่พิการป่านนี้ข้าคงะโตบปากเ้าจนฟันหลุดไปแล้ว”
ชวีเฟิงจื่อกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าเ้าดูถูกข้าคิดว่าข้ามองความเป็จริงมากเกินไป แต่หากข้าเอาแต่เพ้อฝันถึงชีวิตที่สวยงามแล้วชีวิตในความเป็จริงเล่าจะเป็อย่างไร? ทุกคนต่างก็อยากมีฝันที่สวยงามทั้งนั้นหากแต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่ามันเป็เพียงฝันแล้วจะทำอย่างไรต่อ? หรือจะให้หลิวเอ๋อติดตามอันเจิงขึ้นเหนือล่องใต้ลำบากไปพร้อมกับเขา?ต่อให้นางไม่สนใจ ดึงดันจะติดตามอันเจิงให้ได้แต่อันเจิงเล่าจะคิดอย่างไร? เขาจะดีใจหรือหากต้องให้หลิวเอ๋อคอยปกป้องดูแลเขาอยู่ตลอดเวลาแล้วความภาคภูมิใจของเขาเล่า?”
ผู้เฒ่าฮั่วนิ่งเงียบไปไม่รู้จะพูดอะไรดี
ชวีเฟิงจื่อถอนหายใจพลางพูด “บางครั้งบางทีเื่ของความเหมาะสมก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้าุโอย่างเราๆ นำมาใช้ตัดสินเองตามอำเภอใจ ล้วนถูกบีบบังคับมาจากความเป็จริงทั้งนั้น หากความปรารถนาอันแรงกล้าสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้จริงข้าคงขอให้โลกทั้งใบมีแต่ความสงบสุข ให้คนที่รักกันได้ผูกผมใช้ชีวิตร่วมกันจนแก่เฒ่าไปนานแล้วแต่มันไร้ผล โลกนี้ยังคงเหมือนเดิม ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ส่วนผู้อ่อนแอก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม”
“ดังนั้นผู้เฒ่าฮั่วเอ๋ย...ทุกคนล้วนแต่ต้องผ่าน่วัยรุ่นเด็กวัยรุ่นใครบ้างไม่ปรารถนาชีวิตอิสระแต่ทำไมเมื่อพวกเขาแก่ตัวลงถึงได้กลายเป็คนแบบเดียวกับที่สมัยวัยรุ่นเคยรังเกียจ?”
“นั่นเพราะแก่แล้ว ประสบการณ์ก็มาก พบเจอเื่อะไรมาก็เยอะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่คนน่ารังเกียจเ่าั้ทำต่างหากคือเื่ที่ถูกต้องสมควร...”
ชวีเฟิงจื่อถอนหายใจหนัก ๆ หลายครา ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขาเคยผ่านประสบการณ์แบบไหนมาบ้าง
อีกด้านหนึ่งทางเวทีประลอง......
อันเจิงกำลังยืนอยู่บนเวทีะโด้วยเสียงอันดัง“เมื่อครู่ทุกคนคงได้รู้ถึงขีดจำกัดพลังการโจมตีของตัวเองแล้วดังนั้นพวกเ้าก็น่าจะสามารถคาดเดาถึงขอบเขตพลังการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้ เสี่ยวชีเต้าอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสามหากข้าเดาไม่ผิด โจวมู่ชานที่มาหาเื่เมื่อคราวก่อนน่าจะเป็ลูกศิษย์ที่ทรงพลังที่สุดในหอสมุดมายาพลังโจมตีขั้นสูงสุดของเขา บอกตามตรงข้าคิดว่าไม่ได้ดีไปกว่าเสี่ยวชีเต้าสักเท่าไหร่”
“ขอบเขตจุติ์แท้จริงแข่งขันกันในด้านพละกำลังและความเร็วด้านพละกำลังพวกเราอาจเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะระดับการบ่มเพาะของพวกเรากับพวกเขาในตอนนี้ยังห่างกันมากแต่ในเื่ของความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่แน่พวกเราอาจสามารถเอาชนะได้ขอเพียงแค่อีกฝ่ายโจมตีไม่โดนพวกเรา ต่อให้ระดับการบ่มเพาะสูงกว่าแล้วจะอย่างไร?”
อันเจิงกล่าวต่อ “ขอบเขตจุติ์ไม่ได้แบ่งขั้นของพละกำลังชัดเจนแน่นอนเพียงนั้นรอจนกระทั่งถึงขอบเขตสุมารุก่อน ผู้ฝึกตนจึงจะสามารถรีดเค้นพลังปราณออกมาใช้นอกกายเปลี่ยนเป็ปราณล่องหน ปราณดาบ ปราณกระบี่ หมัดวายุ ฝ่ามือวายุเป็ต้น แต่ในขอบเขตจุติ์เื่นี้พวกเ้าไม่จำเป็ต้องใส่ใจเพราะใช่ว่าทุกคนจะเป็อัจฉริยะสะท้านโลกาอย่างเสี่ยวชีเต้า ดังนั้นแล้ว นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไปข้าอยากให้ทุกคนละทิ้งเื่การทะลวงระดับการบ่มเพาะไว้ชั่วคราวหันมาฝึกฝนความเร็วและเพิ่มปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองก่อน”
ชวีหลิวเอ๋อเอ่ยถาม “แต่ว่าระยะเวลาที่จะไปประลองกับหอสมุดมายาเหลืออีกไม่ถึงสามเดือนแล้วแบบนี้จะทันหรือ?”
อันเจิงพยักหน้าตอบ “ทันแน่นอน”
เขาหันไปถามผู้เฒ่าฮั่ว “หากเข้าไปโดยไม่ใช้พลังบ่มเพาะคงไม่มีปัญหากระมัง?”
ผู้เฒ่าฮั่วพยักหน้าให้ “ไม่มีปัญหา”
“ถ้างั้นก็เยี่ยมไปเลยตอนนี้ทุกคนกลับไปพักผ่อนก่อน นอนให้เต็มที่ ต่อจากนี้ทุกวัน ตอนกลางวันพวกเราจะเน้นเล่นสนุกกินเที่ยวดื่มพอตกกลางคืนข้าค่อยพาพวกเ้าเข้าไปฝึกฝนยังสถานที่แห่งหนึ่ง”
ตราประทับท้าทาย์เป็สถานที่ที่อันตรายมีแนวโน้มจะไปกระตุ้นให้เกิดทัณฑ์์ได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม หลังจากอันเจิงกลับมานอนคิดอย่างละเอียดรอบคอบอีกหลายครั้งเขาพบว่าตราบใดที่ไม่ใช้พลังบ่มเพาะ ฝึกแค่พลังของกล้ามเนื้ออย่างเดียวก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาได้?
ต้องรู้ก่อนว่า หากฝึกแค่พลังกายและกล้ามเนื้อเวลาในตราประทับท้าทาย์จะไม่เดินไป หรือก็คือเวลาแค่สามเดือนของพวกเขาอาจยาวนานถึงสามสิบปี สามร้อยปีหรือกระทั่งสามพันปีได้หาก้าขอเพียงอันเจิงและคนอื่น ๆ ยินยอม พวกเขาสามารถฝึกใช้ความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนองไปจนถึงขั้นสูงสุดได้!
กว่าอันเจิงจะคิดวิธีนี้ออกเืตาแทบกระเด็นมันเป็วิธีการเดียวในตอนนี้ที่จะทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะคนของหอสมุดมายาได้
“คู่ต่อสู้แข็งแกร่งโจมตีทีเดียวพวกเราก็แพ้แล้ว”
อันเจิงกล่าวต่อ “พวกเราอ่อนแอกว่าบางทีพวกเราอาจจะแพ้หากไปท้าชนกับอีกฝ่ายตรง ๆ แต่ก็ไม่เป็ไรสิ่งที่พวกเราต้องทำมีแค่หลบหลีกไม่ให้อีกฝ่ายโจมตีโดนเราส่วนพวกเราออกหมัดไปแบบง่าย ๆ ก็พอแล้ว จำไว้ให้ดี ห้ามไม่มั่นใจในตัวเองเด็ดขาดเพราะในขอบเขตจุติ์อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
ตู้โซ่วโซ่วโบกมือให้เขา “จัดการพวกมันให้น่วม!”
ในวันต่อ ๆ มา การดำเนินชีวิตของคนในนิกายเบิก์ก็เริ่มทำให้คนนอกเข้าใจผิดแต่ก่อนพวกเขายังเห็นเด็ก ๆ เดินเข้าห้องเรียนหรือไม่ก็ไปฝึกฝนที่ลานประลองทุกวันแต่ไม่กี่วันมานี้ หากพวกเขาไม่เล่นกันก็จะนอนหลับพักผ่อน ท่าทีดูไม่แยแสการประลองที่กำลังจะมาถึงสักนิดการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คนของหอสมุดมายาอดไม่ได้รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“นี่จะเป็ไปได้อย่างไร?พวกเขากำลังย่างเนื้ออยู่หรือ?”
เจินจวงปี้ที่ยืนอยู่บนชั้นสามของอาคารเรียนวางกระจกทิพย์ในมือลง“ทั้งวันเอาแต่เล่นไม่ฝึกซ้อม พวกเขามั่นใจว่าตัวเองจะชนะมากขนาดนั้นเชียวหรือ?เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด เด็กพวกนี้พร์ดาษดื่นธรรมดายิ่งไม่มีอาจารย์คอยสอนสั่ง ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ไม่มีทางเอาชนะลูกศิษย์ของพวกเราได้แน่หรือว่าพวกมันจะถอดใจแล้ว?”
เชียวจ่างเฉินอาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของหอสมุดมายาเดินเปลือยท่อนบนออกมาจากห้องข้างๆ คนผู้นี้มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบ กล้ามอกและกล้ามท้องของเขาทำให้ใครหลายคนต้องรู้สึกอิจฉาตาร้อนหญิงสาวนางหนึ่งในอาภรณ์โปร่งบางอิงซบอยู่ในอ้อมอกเขา คลอเคลียกันอยู่แบบนั้นเรือนร่างใต้อาภรณ์เนื้อบางแสดงให้เห็นส่วนโค้งเว้าเด่นชัด ทั้งเอวที่คอดกิ่วกับลำแขนที่เรียวเล็กรวมไปถึงพุ่มไม้สีดำใต้ท้องน้อยนั่นด้วย
หลังจากเชียวจ่างเฉินย้ายเข้ามาอยู่ในหอสมุดมายาเขาก็ปล่อยตัวทำทุกอย่างตามอำเภอใจโดยสมบูรณ์ ไม่เหลือเค้ารอยของรองแม่ทัพแห่งกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กอีกต่อไป
เขาหรี่ตาลง มองไปทางนิกายเบิก์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“ก็แค่อวดอ้างไม่จำเป็ต้องใส่ใจ จวงปี้เอ๋ยพวกมันก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไม่กี่คนเท่านั้น ไยต้องใส่ใจถึงเพียงนี้”
หญิงสาวนางนั้นหัวเราะคิกคักชอบใจดูไปแล้วก็คล้ายกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง มือของเชียวจ่างเฉินยังคงบีบเคล้นลูกบอลสีขาวนั้นอย่างมันมือขยำเล่นจนมันเปลี่ยนทรงไปตามแรงมือของเขา ยิ่งได้ยินหญิงสาวร้องครางเสียงอ่อย เชียวจ่างเฉินก็ยิ่งได้ใจ
“ท่านอาจารย์ใหญ่คงไม่รู้ว่า ตอนนี้เกาซานตัวตั้งแผงรับพนันใหญ่โตขนาดไหนเื่นี้กลายเป็ปัญหาใหญ่ที่ใคร ๆ ต่างก็รับรู้ไปทั่วแล้วหากว่าพวกเราเกิดแพ้ขึ้นมา มีหวังชื่อเสียงของหอสมุดมายาได้ป่นปี้หมดแน่”
“เกาซานตัวก็แค่คหบดีผู้หนึ่งที่วัน ๆ คิดถึงแต่เื่ทำกำไรหาผลประโยชน์แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะทำอะไรล้ำเส้นเขาจะยอมบาดหมางกับหอสมุดมายาของพวกเราเพื่อเด็กไม่กี่คนเชียวหรือ?เขาคงไม่ไร้สมองถึงเพียงนั้น ทุกอย่างที่ทำจึงแค่สร้างภาพให้หลาย ๆคนคิดว่าเด็กพวกนั้นมีโอกาสชนะทำแบบนี้บ่อนพนันของเขาถึงจะยิ่งได้กำไรและใหญ่โตขึ้น แต่เขาก็รู้ด้วยเหมือนกันว่าหากคนของอีกฝั่งชนะจริง ๆความขัดแย้งระหว่างบ่อนพนันของเขากับหอสมุดของพวกเราก็จะยิ่งหยั่งลึกอาจถึงขั้นไม่อาจคืนดีกันได้อีก”
“ยังคงเป็ท่านอาจารย์ใหญ่ที่มองเื่ราวได้อย่างทะลุปรุโปร่งตัวข้านี้ความคิดตื้นเขินเกินไปจริง ๆ”
ขณะที่พูดประโยคนี้ออกไป ดวงตาของเขากลับไม่สามารถเลื่อนออกไปจากหน้าอกของหญิงสาวตรงหน้าได้เลย
“เ้าชอบรึ?”
เชียวจ่างเฉินยิ้มและผลักหญิงสาวคนนั้นไปให้เจินจวงปี้“ข้ายกให้เ้า”
เจินจวงปี้หวาดกลัว “ข้าน้อยไม่กล้า...ไม่กล้าจริงๆ ขอรับ”
“มีอะไรไม่กล้าก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น จวงปี้เ้าจำไว้ให้ดีมิตรภาพระหว่างพี่น้องนั้นยิ่งใหญ่นัก ส่วนผู้หญิงก็แค่สิ่งของชิ้นหนึ่งหากเ้าชอบก็เอาไป ไม่จำเป็ต้องคิดมาก”
“เช่นนั้น...เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
เชียวจ่างเฉินหัวเราะเสียงดังชอบใจ “ไปเถอะๆ”
รอจนกระทั่งเจินจวงปี้โอบหญิงสาวเดินจากไปสีหน้าของเชียวจ่างเฉินจึงค่อย ๆ เ็าลง “ดันกล้าเอาไปจริง ๆ...”
ในสวนด้านหลังของหอสมุดมายาเฉินโจวกำลังยืนมองดอกไม้ดอกหนึ่งด้วยท่าทีเหม่อลอยจวบจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเขาถึงได้สติกลับมาหันกลับไปมองลูกศิษย์กลุ่มนั้นแล้วถามขึ้น “ในกลุ่มของพวกเ้าใครคือโจวมู่ชาน?”
โจวมู่ชานขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบ “ข้าเองเ้าก็คือเด็กใหม่คนนั้นรึ?”
เฉินโจวพยักหน้ารับ “ข้าได้ยินมาว่า เ้าคือหนึ่งในคนที่หอสมุดมายาคัดเลือกให้เป็ผู้ลงประลองในงานครั้งนี้?”
โจวมู่ชานเลิกคิ้ว “ทำไม?หรือเ้า้าท้าดวลกับข้า?”
“ไม่ใช่” เฉินโจวกล่าวปฏิเสธ
โจวมู่ชานพลันยิ้มออกมา “ข้าไม่อยากหาเื่กับคนที่มีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังอย่างเ้าหากเปลี่ยนเป็คนอื่นป่านนี้คงถูกข้าอัดยับไปแล้วรู้หรือไม่?ข้าขอเตือนเ้าไว้ก่อน อย่าได้คิดมาแย่งตำแหน่งของข้า ในหอสมุดมายาแห่งนี้คำพูดของข้าคือที่สุดนับว่าเ้ายังฉลาดพอที่ไม่กล้าท้าดวลกับข้า”
เฉินโจวส่ายหัว “ไม่เลยที่ข้าไม่คิดท้าดวลกับเ้าเพราะเ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเ้ายังไม่ควรค่าพอให้ข้าลงมือ”
สีหน้าของโจวมู่ชานเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน“เ้ากำลังดูถูกข้า!”
“ไม่มีอะไรต้องดูถูกระดับของเ้าแต่เดิมก็ไม่ควรค่าให้ข้าสนใจ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเ้าคือตัวแทนของหอสมุดมายาที่ถูกคัดเลือกให้ไปประลองกับคนพวกนั้นนับว่าเ้ากับข้าก็มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว จำใส่สมองเ้าไว้ให้ดี เ้าสามารถท้าประลองกับใครก็ได้ในกลุ่มนั้นยกเว้นคนที่ชื่ออันเจิงเ้าไม่มีสิทธิ์ท้าดวลกับเขาเพราะเขาเป็ของข้า นอกจากข้าใครก็ห้ามแตะต้องเขา”
โจวมู่ชานหัวเราะขึ้นอย่างโกรธจัด “ไอ้หนูอย่าคิดว่าตระกูลเ้ามีอำนาจแล้วจะมาทำตัวหยิ่งยโสที่นี่ได้ ไม่แน่ว่าป่านนี้ตระกูลของเ้าอาจจะถูกจัดการไปแล้วข้าจะเลือกประลองกับใคร ทำไมต้องฟังเ้าด้วย?”
เฉินโจวรุกขึ้นไปข้างหน้า ศอกใส่หน้าอกของโจวมู่ชานที่ไม่ทันระวังตัวจนร่างเขากระเด็นไปไกลหลายสิบเมตรแม้โจวมู่ชานจะมีร่างกายสูงใหญ่กว่าเฉินโจวมาก แต่นั่นกลับไม่เป็ปัญหาสักนิดหลังจากถูกซัดกระเด็นไปไกล ร่างของโจวมู่ชานก็กระแทกลงกับพื้นอย่างแรงแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ดูท่ากระดูกคงหักไปไม่น้อย
“ในเมื่อเ้าไม่เชื่อฟัง คงมีแต่ต้องกำจัดเ้าทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็คนอื่นที่เชื่อฟังขึ้นมาแทนพวกเ้าทุกคนจำไว้ให้ดี อีกหน่อยหอสมุดมายาแห่งนี้คำพูดของข้าก็คือกฎ ข้าจะพูดทุกอย่างเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นใครไม่ยอมรับอยากจะมาท้าดวลกับข้าก็เชิญเพียงแต่หากมาหนึ่งคนข้าก็จะกำจัดทิ้งหนึ่งคน”
เฉินโจวหมุนตัวกลับไปทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น