ดึกแล้วแต่อันเจิงนอนไม่หลับ เพราะห้องพักของเขาอยู่ติดกับถนนจึงได้ยินเสียงจากด้านนอกชัดเป็พิเศษ
เวลานี้ข้างนอกจุดไฟสว่างจ้าถนนทั้งสายคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมากเพื่อแย่งชิงทำเลที่ดีที่สุดในการชมการประลอง หลายคู่ถึงขั้นวางมวยกัน ในโลกมายาแห่งนี้การต่อยตีไม่ใช่เื่แปลกแต่อย่างใดเพียงแค่ข้ามองเ้า เ้ามองข้า แค่นี้พวกเขาก็ลงมือต่อยตีกันได้แล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า พรุ่งนี้จะเป็นัดแรกของการประลองระหว่างหอสมุดมายากับนิกายเบิก์ทุกคนต่างอยู่ในสภาวะตื่นตัวดังนั้นเหตุผลสำหรับการต่อยตีจึงยิ่งไม่จำเป็เข้าไปใหญ่
เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียงเอ็ดตะโรด้านนอกทำให้อันเจิงอดยิ้มขมขื่นไม่ได้ เสี่ยวชีเต้ากับคนอื่น ๆเติบโตรวดเร็วมาก ต่างจากเขาที่เหมือนกับย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้าเสียที
ตามหลักการแล้ว ผู้บ่มเพาะทุกคนจะสามารถััถึงทะเลปราณของตนเองได้นี่เป็สิ่งพื้นฐานที่สุด อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันอันเจิงไม่เคยััถึงทะเลปราณของตนเองได้เลยสักครั้งแล้วเขาจะเอาที่ไหนมาฝึกฝน
เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างออกแต่แล้วสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
ตู้โซ่วโซ่ว ชวีหลิวเอ๋อและเสี่ยวชีเต้า ทั้งสามคนบัดนี้ยืนอยู่ด้านนอกด้วยความเป็ระเบียบเรียบร้อยทันทีที่เห็นอันเจิงปรากฏตัว ทั้งสามก็โค้งตัวลงะโเรียกด้วยเสียงอันดังก้อง “ท่านผู้นำนิกาย”
อันเจิงชะงักกึกรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมากะทันหัน
ชวีหลิวเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากรวบรวมความกล้าของตนเองได้แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงดัง“ไม่ว่าผลของวันพรุ่งนี้จะเป็อย่างไร เ้าก็ยังเป็ผู้นำนิกายของพวกเราเสมอในสายตาของคนอื่น ๆ พวกเขาอาจมองพวกเราเป็แค่เด็กมองว่านี่เป็เพียงการละเล่นสนุก ๆ เท่านั้น แต่นั่นไม่สำคัญที่สำคัญคือพวกเรารู้อยู่แก่ใจดีว่าพวกเรานั้นจริงจังขนาดไหนเพียรพยายามมากขนาดไหน อันเจิง บางทีเ้าก็กดดันตัวเองมากเกินไปแล้วเ้าอาจคิดว่าตัวเองไม่ได้ให้เวลาพวกข้าบ่มเพาะมากพอแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เ้าทำล้วนเป็สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราเสมอ สำหรับพวกเราแล้วไม่มีใครสามารถแทนที่ตำแหน่งของเ้าในหัวใจพวกเราได้ทั้งนั้น”
ตู้โซ่วโซ่วโบกกำปั้นไปมาหลายครั้งก่อนจะพูดขึ้น“มาพยายามไปด้วยกันเถอะ ไม่ต้องกังวลถึงผลแพ้ชนะ หากเกิดแพ้ขึ้นมาจริง ๆอย่างมากก็แค่ติดตามเ้าออกพเนจรไปทั่วหล้า”
เสี่ยวชีเต้าก็เอากับเขาด้วย ะโขึ้นเสียงดัง“มาพยายามไปด้วยกัน!”
อันเจิงพูดด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “แม้ข้าจะเคยพูดว่าข้าเป็ผู้นำนิกายของพวกเ้าแต่นั่น...นั่นก็แค่เื่ล้อเล่นเท่านั้น ข้าแค่หลอกพวกเ้าเล่นด้วยความสามารถของข้าไม่เหมาะจะเป็ผู้นำนิกายเลยสักนิดข้าไม่มีกำลังเพียงพอจะยืนหยัดหรือประคับประคองที่นี่ไม่ให้ล้มลงไปได้”
“แต่พวกเราจริงจัง จริงจังมากด้วย” ชวีหลิวเอ๋อแย้งขึ้นพร้อมยกมือขึ้นทัดผมที่ถูกลมพัดมาเบาๆ
“ใช่แล้ว” ตู้โซ่วโซ่วพูดเสริม “ดังนั้นเื่ตลกของเ้าตอนนี้ไม่ใช่เื่ตลกอีกต่อไปเ้าคือผู้นำนิกายของพวกข้า เป็อาจารย์ใหญ่ของพวกข้า และก็เป็อาจารย์ของพวกข้าด้วย”
ที่หน้าประตูห้องชวีเฟิงจื่อกอดแขนผู้เฒ่าฮั่วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “เ้าเด็กพวกนี้...ทำไมข้าถึงร้องไห้ล่ะ”
ผู้เฒ่าฮั่วพยายามดึงแขนออกหลายครั้งด้วยท่าทีรังเกียจแต่ก็ไม่เป็ผลสุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยให้ชวีเฟิงจื่อกอดไว้อย่างนั้น
ชวีเฟิงจื่อยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประทับใจสั่งน้ำมูกเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อของผู้เฒ่าฮั่วจนเปรอะไปหมด ผู้เฒ่าฮั่วทนไม่ไหวอีกต่อไปหันหน้ากลับมาฟาดน้ำเต้าใส่หัวชวีเฟิงจื่อแรง ๆ ครั้งหนึ่ง
“แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว”
อันเจิงหัวเราะพลางพูดขึ้นทั้งน้ำตา “ในเมื่อพวกเ้ายินดีถูกข้าหลอกเช่นนั้นข้าก็จะหลอกพวกเ้าต่อไป หลอกให้พวกเ้าติดตามข้าเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆเอาละ ตอนนี้ไปพักผ่อนกันได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพวกที่อยู่ข้างนอกนั่นนอนหลับให้เพียงพอ แล้วพรุ่งนี้พวกเราไปพยายามให้ถึงที่สุดด้วยกันพวกเราอาจพ่ายแพ้แต่พวกเราจะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด”
ตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆโค้งตัวลงพร้อมกันอีกครั้งอย่างเป็ระเบียบ หลังจากทำความเคารพเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปทว่าเดินไปได้เพียงครึ่งทางตู้โซ่วโซ่วก็หันหน้ากลับมามองอันเจิงแล้วพูดกับเขา “ในใจของข้าเ้าเป็ผู้ชายที่หล่อที่สุด”
อันเจิงหลุดหัวเราะพรืดพยักหน้าให้เขาซ้ำ ๆ หลายครั้ง
อันเจิงสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าผลของวันพรุ่งนี้จะออกมาเป็อย่างไรก็ไม่สำคัญอีกบัดนี้เขาได้เปลี่ยนแปลงทั้งตู้โซ่วโซ่ว ชวีหลิวเอ๋อ เสี่ยวชีเต้าหรือแม้แต่ตัวชวีเฟิงจื่อ พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะไว้วางใจซึ่งกันและกันแล้ว
พวกเขาไม่ได้ถูกสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายและโสโครกของโลกมายาทำให้แปดเปื้อนหัวใจเ่าั้ยังคงไว้ซึ่งความดีงาม แม้อีกหน่อยจะต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางแต่อันเจิงได้วางรากฐานสำหรับการดำรงชีวิตของพวกเขาเอาไว้แล้ว
อันเจิงตระหนักได้ว่า สิ่งที่เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดไม่ใช่การยกระดับการบ่มเพาะของทุกคนแต่เป็การสอนให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดูแลซึ่งกันและกันและไว้วางใจซึ่งกันและกัน
เดินมาถึงหน้าประตูห้อง เห็นชวีเฟิงจื่อกอดแขนผู้เฒ่าฮั่วร้องไห้ไม่หยุดผู้เฒ่าฮั่วถามเขาว่าจะไปที่ไหน อันเจิงชี้นิ้วออกไปด้านนอก “เพิ่งนึกได้ว่าพวกเรายังไม่มีชุดดีๆ ใส่ พรุ่งนี้อย่างน้อยก็น่าจะสวมใส่อะไรที่เป็ทางการสักหน่อย เลยจะไปหาดูว่ายังมีร้านตัดเสื้อเปิดอยู่บ้างหรือไม่”
ผู้เฒ่าฮั่วส่ายหัวของเขาเบา ๆ “นี่ก็ดึกมากแล้วร้านตัดเสื้อที่ไหนจะยังเปิดอยู่กัน หรือต่อให้เปิดอยู่จริง ๆ ก็ตัดชุดเสร็จไม่ทันใช้วันพรุ่งนี้หรอกต้องบอกว่าพวกเ้าโชคดีที่มีข้าผู้เฒ่าฮั่วอยู่ด้วย ผู้เฒ่าฮั่วที่ทำได้ทุกอย่าง”
เขาดึงกล่องออกมาจากใต้เตียงเปิดมันออกแล้วเลือกเสื้อผ้าออกมาหลายชุดโยนให้กับอันเจิง “ข้าตัดเอง ไม่ต้องสงสัยรับรองได้ว่าพอดีตัวแน่นอน”
อันเจิงหัวเราะร่วนถามกลับพร้อมรอยยิ้ม “มีอะไรที่ผู้เฒ่าฮั่วทำไม่เป็บ้าง?”
ผู้เฒ่าฮั่วยืดอกขึ้นเชิดหน้าพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ขอแค่ทำขึ้นจากมือคู่นี้ ผู้เฒ่าฮั่วทำได้ทุกอย่าง”
อันเจิงหอบเสื้อผ้าหลายชิ้นเดินออกไปแล้วทิ้งพวกมันไว้ที่หน้าประตูห้องของพวกตู้โซ่วโซ่ว
หลังจากกลับมาถึงห้องเขาก็ลงมือผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดของอันเจิงถูกออกแบบและตัดให้เหมือนกับชุดของผู้ใหญ่ ดังนั้นเวลาใส่จึงดูเคร่งขรึมและน่าเคารพเป็อย่างมากอาภรณ์สีดำที่คลุมยาวไปถึงข้อเท้าไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป ทั้งใส่แล้วไม่ทำให้เขาดูอ้วนหรือผอมจนเกินควรชุดนี้ทำให้อันเจิงดูเป็ผู้ใหญ่ขึ้นมากเหมือนกับว่าเขาเป็ผู้นำนิกายนิกายหนึ่งจริง ๆ
ในตำแหน่งหน้าอกด้านซ้ายของชุด ผู้เฒ่าฮั่วยังปักตัวอักษรไว้อีกสองคำ...เบิก์
หลังจากสวมชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยเขาก็พร้อมที่จะก้าวออกจากประตูไปเป็วีรบุรุษของโลกแล้ว
เขามองดูตัวเองผ่านกระจกสัมฤทธิ์ จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดให้กำลังใจตัวเอง“สถานการณ์อันตรายมากกว่านี้เป็ร้อยเป็พันเท่าเ้าก็เคยรับมือมาแล้วไม่เป็ไรหรอก เ้าต้องประสบความสำเร็จแน่”
พระอาทิตย์เลื่อนขึ้นจากขอบฟ้าคนที่อยู่ข้างนอกบัดนี้ปิดกั้นถนนจนหมด แน่นขนัดเสียจนน้ำสักหยดยังไม่อาจลอดผ่านไปได้ที่หน้าประตูของนิกายเบิก์มีผู้คนเบียดเสียดเนืองแน่น คนเหล่านี้น่ากลัวมากพวกเขาทั้งทุบทั้งเตะประตูและกำแพงของนิกาย ะโด้วยเสียงดัง “ออกมา! ออกมา!ออกมา!”
เมื่ออันเจิงเดินออกมาจากห้อง ตู้โซ่วโซ่วและคนอื่นๆ ก็จัดการตัวเองเสร็จสรรพแล้ว ทุกคนอยู่ในชุดสีดำเหมือนกันหมด มันเป็ชุดประจำนิกายที่ตัดขึ้นอย่างพอดีตัวตู้โซ่วโซ่วหลังจากใส่แล้วก็ดูผอมลงมาก คืนที่ผ่านมาแม้ว่าทุกคนจะนอนหลับไม่สนิทนักแต่ดูเหมือนทุกคนจะยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่าดี
ผู้เฒ่าฮั่วเดินไปอย่างช้า ๆยื่นมือออกไปดันประตูนิกายให้เปิดออกคนที่อยู่ข้างนอกแยกออกตัวออกไปยืนอยู่ริมสองฝั่งถนนทันที โบกไม้โบกมือะโด้วยเสียงดังลั่น“ต้องชนะ! ต้องชนะ!”
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ทำเพราะความประทับใจ แต่พวกเขาได้ลงเดิมพันเอาไว้แล้ว
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หนวดเฟิ้มคนหนึ่งะโใส่หน้าอันเจิง “ข้าลงเดิมพันฝั่งพวกเ้าไว้ไปจัดการพวกมันซะ อย่าได้แพ้เป็อันขาด ไม่งั้นข้าจะฆ่าพวกเ้าทิ้งเสีย”
อันเจิงเอียงคอเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ะโขึ้นเหวี่ยงหมัดใส่ขากรรไกรของชายฉกรรจ์ร่างั์อย่างแรงร่างใหญ่โตกระเด็นออกไปร่วงลงท่ามกลางฝูงชนไม่รู้ว่ามีกี่คนที่พลอยซวยไปด้วยกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ขากรรไกรของชายฉกรรจ์ถูกแรงอัดจนเละฟันร่วงลงมาหลายซี่ ปากของเขาก็เต็มไปด้วยเือันเจิงมองดูฝูงชนที่ยุ่งเหยิงด้วยใบหน้าราบเรียบ
วินาทีนี้เองทุกคนพากันเงียบกริบพวกเขามองไปยังเด็กหนุ่มอายุสิบปีตรงหน้า จู่ ๆก็รู้สึกว่าดวงตาของเด็กหนุ่มผู้นี้น่ากลัวแต่ขณะเดียวกันก็น่านับถือยิ่งนัก
ฉากที่ยิ่งใหญ่นี้ทำเอาลูกศิษย์ของหอสมุดมายาซึ่งแต่เดิมมั่นใจว่าพวกเขาชนะแน่เปลี่ยนเป็ลนลานตึงเครียดขึ้นมาพวกเขายืนอยู่หน้าทางเข้าหอสมุดและมองไปที่อันเจิง เนื่องจากมีคนอยู่มากเกินไป ตอนนี้พวกเขาเองก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วลูกศิษย์คนหนึ่งของหอสมุดมายามองไปยังฝูงชนที่อยู่ด้านนอกด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “พวกเราชนะแน่ใช่หรือไม่...เด็กพวกนั้นก็แค่แกล้งทำเป็เก่งใช่หรือไม่?”
ไม่มีใครตอบคำถามเขา เพราะนี่ก็เป็ครั้งแรกที่เหล่าลูกศิษย์ของหอสมุดมายาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้
บนถนน ชายชุดดำจำนวนหลายร้อยคนเข้ามาแยกฝูงชนออกจากกันใครหน้าไหนที่ชักช้าก็จะถูกพวกเขาฟาดด้วยไม้ ราวกับได้พบเจอเทพเ้าที่น่ากลัว คนที่อยู่บนถนนต่างพากันล่าถอยออกไปยืนอยู่สองข้างทางกระนั้นก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยถูกอัดไปชนกับต้นไม้และกำแพงชายชุดดำเ่าั้หลังจากจัดการผู้คนบนถนนเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็เดินไปคุ้มกันคนผู้หนึ่ง ซึ่งคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือเกาซานตัวเ้าของบ่อนการพนันในโลกมายา
อันเจิงไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนจึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็ชายฉกรรจ์หยาบกร้านแต่เมื่อได้เห็นตัวจริงอันเจิงพบว่า ข่าวลือของโลกมายาช่างไม่น่าเชื่อถือเกาซานตัวไม่ได้ดูหยาบกร้านเลย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้วางท่าเย่อหยิ่งด้วย
เขาสวมชุดที่ทำขึ้นจากผ้าฝ้ายจังหวะการเดินดูสุขุมไม่รีบร้อน ฝีเท้ามั่นคงสม่ำเสมอพอให้ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังตามเขาได้ทันบรรยากาศรอบตัวเขาดูคล้ายกับบัณฑิต ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นของทองแดงอย่างพ่อค้า แต่กลับมีกลิ่นอายเหมือนม้วนตำราเรียน
“นายท่านเล็ก”
เมื่อเกาซานตัวเห็นอันเจิงเขาก็ก้มหัวให้เล็กน้อย “นี่คงเป็ครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันชื่อของข้าคือเกาซานตัว”
อันเจิงพยักหน้าตอบ “ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรแค่อยากถามว่า้าให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก่อนเริ่มการประลองหรือไม่”
“เสียงดังหนวกหูดังนั้นก็เลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง”
เกาซานตัวขานรับในลำคอครั้งหนึ่งจากนั้นเขาก็หันหน้ากลับไปพูดกับฝูงชน “คนที่อยู่บนถนนใครก็ตามที่พูดคุยกันให้ตัดลิ้นของพวกมันทิ้งเสียเริ่มตัดเดี๋ยวนี้”
ชายชุดดำกระจายตัวออกไปทันทีใครก็ตามที่ะโหรือพูดคุยเสียงดังจะถูกตัดลิ้นทิ้ง แต่ในที่นี้มีคนอยู่มากเกินไปหลีกเลี่ยงไม่ได้หากจะมีบางคนไม่ได้ยินที่เขาพูด หรือไม่ก็จงใจทำให้เกิดเื่ขึ้นชายชุดดำไม่พูดพร่ำทำเพลง เห็นคนเริ่มก่อเื่ก็เข้าไปกระชากตัวออกมาจากฝูงชน แล้วดึงลิ้นของเขาออกมาตัดทิ้งทันทีคนที่มุงอยู่รอบ ๆ แยกย้ายกันราวผึ้งแตกรัง ใบหน้าของแต่ละคนซีดขาว ฉายแววหวาดกลัวชัดเจน
“พอก่อนถ้ามันะโอีกค่อยตัดก็ยังไม่สาย” อันเจิงกล่าวกับเกาซานตัว
เกาซานตัวขานรับแล้วจึงหันไปออกคำสั่งอีกครั้ง“ในเมื่อนายท่านเล็กมีคำสั่งลงมา เช่นนั้นก็ไว้ชีวิตพวกมันชั่วคราว อีกเดี๋ยวถ้าใครหน้าไหนไม่ดูตาม้าตาเรือกล้าปากมากส่งเสียงดังก็ไม่จำเป็ต้องตัดลิ้นพวกมันให้ลำบากอีก พวกเ้าฆ่าทิ้งได้เลย”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ขานรับอย่างพร้อมเพรียงคนที่อยู่รอบ ๆ ไม่มีใครกล้าพูดอีก
“ยังมีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่?” เกาซานตัวถาม
อันเจิงตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้า”
เกาซานตัวรีบหมุนตัวกลับไป “นายท่านเล็กของนิกายเบิก์ยังไม่ได้กินข้าวเช้าพวกเ้ารีบไปเตรียมมา เลือกที่ประณีตหน่อยอย่าได้เอาเนื้อปลาเนื้อวัวที่พวกเ้ากินเป็ประจำพวกเ้าหยาบกร้านจนเคยชินแล้ว หาร้านที่สะอาดแล้วก็อย่าลืมเอามามาก ๆ”
ชายฉกรรจ์หลายร้อยคนะโรับคำแล้วรีบวิ่งออกไปทันทีแน่นอนว่าหน้าอย่างพวกเขาไม่มีทางจ่ายเงินซื้อแน่ เพราะหลังจากผ่านไปเพียงสิบนาที โต๊ะตัวใหญ่ก็ถูกตั้งขึ้นกลางถนนบนโต๊ะวางขนมขบเคี้ยวและอาหารว่างซึ่งทำขึ้นอย่างประณีตไว้มากมายยิ่งไปกว่านั้นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เ่าั้ยังคงถืออาหารเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้าก็มีหลายสิ่งหลายอย่างซ้อนกันอยู่ถัดจากโต๊ะนี้ไป
“กินข้าวกันเถอะ”
ตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆ โน้มตัวลง “ขอรับท่านผู้นำนิกาย”
“ท่านผู้นำนิกาย?”
เกาซานตัวตะลึงงัน จากนั้นอดไม่ได้หัวเราะออกมาเห็นว่าอันเจิงกำลังมองมาที่ตัวเองก็รีบร้อนอธิบาย “อย่าได้ใส่ใจ ข้าก็แค่...กลั้นไว้ไม่อยู่”
อันเจิงไม่สนใจเขา บอกตู้โซ่วโซ่วให้ไปเรียกผู้เฒ่าฮั่วและชวีเฟิงจื่อออกมาตอนนี้ทุกคนในนิกายเบิก์มารวมกันครบแล้วพวกเขานั่งลงบนโต๊ะอาหารที่ล้อมรอบไปด้วยผู้คนมากมายกำลังมุงดูอยู่
ไม่นำพาสายตาผู้อื่นที่มองมาพวกเขายังคงแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจังว่า อาหารจานไหนอร่อยหรือไม่อร่อย ไม่สนใจว่าลูกศิษย์ของหอสมุดมายาฝั่งตรงข้ามตอนนี้ตื่นเต้นตัวสั่นจนแทบเป็โรคประสาทแล้ว
เจินจวงปี้ยืนอยู่หน้าประตูเขารู้สึกว่าแค่บรรยากาศฝ่ายตนก็พ่ายแพ้ให้กับฝั่งนั้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงหงุดหงิดเล็กน้อยหมุนตัวกลับมา“เปิดประตูซะ ให้คนข้างนอกเห็นว่าความอดทนของลูกศิษย์หอสมุดมายาไม่แพ้ผู้ใด”
ประตูทางเข้าของหอสมุดมายาเปิดกว้าง ลูกศิษย์หลายร้อยคนในชุดเครื่องแบบสีขาวเดินออกมาเป็แถวยืนเรียงอยู่ตลอดแนวสองฝั่งของถนน เจินจวงปี้เดินตามออกมาหลังจากนั้นด้านหลังของเขาคือศิษย์ที่จะลงประลองในศึกครั้งนี้ หนึ่งในนั้นมีเฉินโจวอยู่ด้วย
ท้ายที่สุดคนที่ลงเดิมพันฝั่งของหอสมุดมายาก็ยังคงมีมากกว่าหลังจากเห็นว่าลูกศิษย์ของหอสมุดมายาเดินออกมาแล้วเสียงให้กำลังใจก็ดังกระหึ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชายฉกรรจ์ชุดดำเ่าั้พวกเขาก็รีบหุบปากลงทันทีทำเอาบรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ ส่งผลให้ลูกศิษย์ของหอสมุดมายากระอักกระอ่วนกันเป็แถว
“กินอิ่มแล้วหรือยัง?”
เจินจวงปี้ยกนิ้วชี้ไปที่อันเจิง “ถ้าอิ่มแล้วก็รีบมาสู้กันให้เสร็จๆ ไป!”
อันเจิงวางตะเกียบลงช้า ๆหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากของเขาแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน “สามยก”
“ได้ สามยก” เจินจวงปี้กล่าว “ถ้าชนะสองในสามก็ถือว่าเป็ผู้ชนะ”
อันเจิงส่ายหน้า “ไม่ใช่หากพวกข้าแพ้แม้แต่ยกเดียวจะถือว่าฝั่งข้าแพ้เลย”
เขายืนขึ้นและเดินไปยังเจินจวงปี้ช้า ๆ “ถ้าทั้งสามยกพวกเราไม่ชนะพวกเราจะไสหัวไปจากโลกมายาเอง”